LOGINบทที่ 3 อดีตที่ไม่ยอมถูกฝัง
ภายในตำหนักไท่ฮวา กลิ่นยาจีนอวลไปทั่ว เสียงสวดมนต์ของนางกำนัลแผ่วเบา ราวกับพยายามกลบความเงียบอึมครึมที่อบอวลอยู่ในอากาศ
หญิงชราผู้หนึ่งนั่งพิงเบาะปักดิ้นทอง ดวงหน้าใต้เครื่องประดับอันวิจิตรยังคงเปี่ยมด้วยอำนาจ
“นางกลับมาแล้วจริง ๆ”
เสียงของไท่หวงไท่โฮว่เอ่ยขึ้นราวกระซิบ หากทุกคนในห้องต่างได้ยินชัดเจน
นางกำนัลชราผู้ติดตามรับใช้มาหลายสิบปีก้มต่ำอย่างระมัดระวัง
“เพคะ… เจิ้งซูเฟยกลับมาในฐานะมารดาของฝ่าบาท”
“มารดา…” ไท่หวงไท่โฮว่แค่นหัวเราะเยาะ
“สิบห้าปีที่ผ่านมา ข้าเป็นผู้เลี้ยงฮ่องเต้ข้าเป็นผู้สั่งสอนเขาจนก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ วันนี้จะมีใครจำได้หรือไม่ ว่าเจิ้งซูเฟยเคยถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ”
สายพระเนตรเยียบเย็นหรี่ลงช้า ๆ
“หรือโลกนี้…ลืมง่ายนัก”
นางลุกขึ้นยืน แม้กาลเวลาจะพรากความอ่อนเยาว์ไป แต่ราศียังคงเปี่ยมล้น ดุจสตรีผู้เคยก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวังหลัง เหยียบย่ำผ่านซากศพของสตรีนับพัน หากไร้ฝีมือและเล่ห์กล คงไม่มีทางอยู่รอดมาจนวันนี้ได้ ผ่านมาถึงสองรัชศก… วังหลังแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ในกำมือของนาง เพียงหนึ่งสายตาที่เหยียดลงมาก็เพียงพอให้ผู้คนหวาดกลัว ราวกับเงาของนางปกคลุมไปทุกมุมของราชสำนัก
ใต้หล้านี้… อยู่ใต้กำมือของสตรีเพียงนางเดียวไม่ว่าราชบัลลังก์จะเปลี่ยนผ่านกี่พระหัตถ์ อำนาจเบื้องหลังกลับไม่เคยเปลี่ยนเจ้าของ
เจิ้งซูเฟยถูกจองจำอยู่บนยอดเขาไร้ซึ่งข่าวคราวใดเล็ดลอดลงมา บุตรชายของนางก็ย้ำอยู่เสมอว่ามิได้มีเยื่อใยต่อสตรีผู้นั้นอีกแล้ว การลงโทษเพียงแค่ขังไว้ มิใช่เพราะเมตตา หากแต่ไม่ประสงค์จะเป็นผู้ลงมือสังหารมารดาของโอรสตนเอง ในวันนั้นนางยังพอเข้าใจและยอมผ่อนแรงลงให้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ภาพของสตรีผู้นั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายจากความคิดราวกับไม่เคยมีตัวตน
“นาง… ไม่ควรมีลมหายใจมาถึงวันนี้”
ถ้อยคำแผ่วเบานั้นไม่ใช่ทั้งคำสั่งหรือคำถาม หากแต่เป็นรำพึงที่แฝงพิษราวคมมีด ลึกลงไปในน้ำเสียงมีความหวาดหวั่นที่ไม่เคยยอมรับออกมา เพราะสตรีเพียงผู้เดียวนี้ คือคนหาญกล้าพอจะทำให้บุตรชายของนางคิดท้าทายอำนาจ สตรีเดียวที่ทำให้บุตรชายของนางคิดแข็งข้อ
“เพคะ…”
นางกำนัลข้างกายลังเล ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“หม่อมฉันพอจะสืบทราบได้ว่า…หลังนางถูกปลดและถูกขังที่อาราม บุตรชายคนสนิทของขุนนางกรมพระคลังที่หนีออกจากเมืองหลวงครานั้น ท่านผู้นั้น…ตายไปเมื่อห้าปีก่อน”
“ตาย…”
“เพคะ และดูเหมือนว่าก่อนตาย เขาได้เขียนบันทึกบางอย่างทิ้งไว้…”
ไท่หวงไท่โฮว่หยุดนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นหากบันทึกนั้นมีอยู่จริงหากมันตกถึงมือฮ่องเต้
ทุกสิ่งที่นางทำมา หลายสิบปีแห่งการกุมอำนาจนี้…อาจพังทลายลงในชั่วคืนเดียว
“นางกลับมาเพราะพร้อมแล้ว” ไท่หวงไท่โฮว่เอ่ยเสียงเย็น “เพื่อล้างแค้น”
เงาสลัวจากแสงตะเกียงทอดผ่านใบหน้าเคร่งเครียดของสตรีชรา
“นับแต่นี้ไป…ทุกย่างก้าวของเจิ้งซูเฟย ต้องไม่หลุดรอดสายตา นางจะไม่ได้นั่งอยู่ในวังนี้อย่างสงบ แม้แต่วันเดียว”
ในวังหลังไม่มีคำว่า ‘เพื่อนเก่า’ มีแต่ศัตรูที่ยังมีลมหายใจ การกลับมาของเจิ้งซูเฟย คือฝันร้ายที่ไท่หวงไท่โฮว่เคยเก็บซ่อนด้วยมือเปื้อนเลือดของผู้คนมากมาย แต่เมื่ออดีตลุกขึ้นจากหลุม… ใครกันที่จะต้องกลับไปฝังอยู่แทน
เช้าวันใหม่ในวังหลวง
เสียงฆ้องเปิดสภาขุนนางดังขึ้นก้องไปทั่วตำหนักเหวินฮวา ขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ยืนเรียงรายตามลำดับชั้น หน้าตาเคร่งขรึม
พระที่นั่งสูงกลางท้องพระโรง
ฮ่องเต้หนุ่มนั่งอย่างสง่าบนบัลลังก์ทองคำ ดวงเนตรเรียบเฉยดังน้ำในบ่อฤดูหนาว ไม่มีผู้ใดอ่านความคิดออก
ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งนามว่า อู๋ไถ่จง ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง
เขาคืออดีตขุนนางกรมธรรมศาสตร์ ผู้เคยถวายฎีกาเรียกร้องความบริสุทธิ์ให้เจิ้งฮองเฮาเมื่อสิบห้าปีก่อน…แต่เงียบหายไปพร้อมกับคำสั่งถอดยศ
“ฝ่าบาท…”เสียงของเขาชรานัก แต่แน่วแน่
“หม่อมฉันมีเรื่องต้องกราบทูล” ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ
“เชิญ”
“เมื่อสิบห้าปีก่อน หม่อมฉันเคยถวายฎีกา แต่ถูกสั่งให้เงียบ…วันนี้ ข้าจะขอเอ่ยซ้ำอีกครั้งเจิ้งซูเฟย… ไม่เคยเป็นกบฏ!”
เสียงฮือฮาดังทั่วท้องพระโรงเหล่าขุนนางแลสบตากัน บางคนหน้าเปลี่ยนสี บางคนสบถในลำคอ
“อู๋ไถ่จง! เจ้ายังกล้าพูดชื่อนางอีกหรือ!”
เสียงขุนนางฝั่งไท่หวงไท่โฮว่กลุ่มหนึ่งร้องขึ้น
แต่เขากลับยืดอก “ข้าเคยเห็นด้วยตา ว่าคำสั่งปลดนางออกมาเร็วผิดปกติ ก่อนผลสอบสวนจะเสร็จสิ้นด้วยซ้ำ มีผู้บงการเบื้องหลัง…แต่ไม่มีใครกล้าแตะ!”
“แล้วเจ้าจะให้ราชสำนักทำสิ่งใด!”
“ให้นางผู้ถูกปลดกลับมาครองตำแหน่งไทเฮาเช่นนั้นหรือ”
ก่อนที่เสียงเหล่านั้นจะดังขึ้นอีก คนอีกผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาอย่างเงียบงัน
“ถ้าเป็นมารดาของฮ่องเต้ไซร้ก็ควรได้รับเกียรติฐานะที่สมควร”
เสียงของ หยางต้าหลาง แม่ทัพใหญ่แห่งชายแดนดังขึ้น เขาไม่ใช่คนในวัง ไม่เคยข้องเกี่ยวกับไท่หวงไท่โฮว่ แต่ชื่อเสียงในราชสำนักมากพอให้ทุกคนเงียบ
“พระราชมารดา…แม้เคยถูกเข้าใจผิด แต่เมื่อความจริงเริ่มเปิดเผย เหตุใดเราจะไม่เปิดโอกาสให้นางชี้แจงหรือราชสำนักนี้… กลัวความจริงมากกว่ากลัวแผ่นดินสั่นสะเทือน”
ฮ่องเต้เงียบ ดวงเนตรของเขาสั่นไหวเพียงเล็กน้อย
ขุนนางฝั่งไท่หวงไท่โฮว่บางคนเริ่มแสดงท่าทีลังเล เพราะแม้ไท่หวงไท่โฮว่จะยิ่งใหญ่เพียงใด… แต่หากกระแสความเห็นในราชสำนักเปลี่ยน
แม้แต่ตำแหน่งของนางก็อาจไร้หลักยึด
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







