Home / วาย / การันต์กันธีต์ / บทที่ 9 : เช็ดอ้วกให้พระเอกมันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ

Share

บทที่ 9 : เช็ดอ้วกให้พระเอกมันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ

Author: โบกร
last update Last Updated: 2025-10-17 00:31:28

“มึงนี่มัน!”

หลังจากใช้เวลาขี่ไอ้นวลจากร้านมาถึงคอนโดร่วมครึ่งชั่วโมง เขาก็พาคนเมาขึ้นมาส่งถึงห้องจนได้ แต่เหมือนอยู่ใกล้ไอ้เวรนี่ทีไร มีอันให้ต้องซวยทุกที

โอ้กกกกก!

เสียงอาเจียนยกใหญ่เนื่องจากรอบนี้กานยกมือขึ้นมาปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ทัน ทำให้ของเหลวปนเศษอาหารที่ยังย่อยไม่หมดพุ่งเข้าใส่เนื้อตัวของเขาจนเปรอะเปื้อน อีกนิดเดียวเขาจะพามันไปที่ห้องน้ำอยู่แล้ว เสือกโก่งคอหันมาอ้วกใส่ไหล่เขาก่อนจนได้

“กูปล่อยให้นอนจมกองอ้วกเลยดีไหมวะ”

เขาปล่อยคนเมาลงกองกับพื้นห้อง แล้วหันมาสำรวจเนื้อตัวตนเอง ทั้งของเหลว และเศษอาหารตอนนี้ติดไปตามเสื้อที่เขาสวมใส่ กลิ่นคาวคละคลุ้งไปรอบตัวจนต้องยกมือขึ้นมาบีบจมูก

“ทุเรศฉิบหาย”

บ่นออกมาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก พลางก้มลงมองคนเมาที่ตอนนี้หลับทับกองอ้วกบางส่วนอยู่บนพื้น แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนดีที่จะมาหิ้วมันขึ้นมา แล้วพาไปล้างเนื้อล้างตัวเหมือนในละครแน่นอน นี่ชีวิตจริง อ้วกเหม็นฉิบหายขนาดนี้ ใครมันนึกพิศวาสลงกันวะ ‘เขานี่ขมคอจนอยากอ้วกตาม’

“กูไม่ยอมเหม็นอ้วกมึงคนเดียวหรอกนะ”

กานเดินตัวปลิวเข้าไปยังห้องอาบน้ำ โดยถือวิสาสะใช้ห้องน้ำของอีกฝ่ายทันที แววตาใสมองไปยังบรรยากาศรอบ ๆ ของห้องน้ำ แล้วได้แต่นิ่งอึ้งกับขนาดที่ใหญ่ของมัน ห้องน้ำที่หอเขาจะอาบน้ำหรือขี้เยี่ยวก็อยู่ในห้องเดียวกัน แต่ที่นี่กลับถูกแบ่งแยกโซนเปียกและแห้งเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน ร่างสูงโปร่งรีบถลกเสื้อที่เปื้อนอ้วกออกจากตัว แล้วเปิดฝักบัวชำระล้างกาย สบู่เหลวยี่ห้อหรูที่ทั้งชีวิตไม่เคยได้ใช้มาก่อน ถูกบีบลงไปบนฝ่ามือหนา ก่อนที่เจ้าตัวจะลูบไล้มันไปตามผิวกาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ เตะเข้าที่ปลายจมูกทำให้เขาคลายความหงุดหงิดที่ถูกอ้วกใส่ไปก่อนหน้านี้ลงไปได้บ้าง

กานใช้ห้องน้ำอยู่พักใหญ่ เขาลองเล่นผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำที่วางกองสูงท่วมหัวโดยไม่สนใจว่าเจ้าของห้องในตอนนี้จะมีสภาพอย่างไร หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบผ้าขนหนูสีขาวขึ้นมาพันรอบเอวแล้วเดินออกมาวนหาห้องแต่งตัว จนไปเจอเข้ากับตู้แนวยาวที่เปิดออกมาแล้ว ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ถูกแขวนตามเฉดสีอยู่มากมาย

“กูตายแล้วเกิดใหม่กลับมาใส่อีกรอบจะหมดตู้ไหมวะ เยอะขนาดนี้”

ชายหนุ่มไม่อยากรื้อข้าวของของอีกฝ่ายมากนัก จึงเลือกหยิบเสื้อยืดเรียบ ๆ ที่สกรีนตัวอักษรภาษาอังกฤษว่าบาเลนอะไรสักอย่างออกมาใส่ ซึ่งมองจากสายตาแล้ว เสื้อน่าจะราคาไม่แพงมากนัก จากนั้นก็ควานหากางเกงขาสั้นจนไปเจอเข้ากับตู้กางเกงบอลเลยเลือกหยิบขึ้นมาใส่ต่อ

“ถือว่ากูยืมก่อนแล้วกัน โทษฐานที่มึงอ้วกใส่เสื้อผ้ากู นี่กูเลือกเสื้อยืดตัวถูก ๆ ในตู้มึงเลยนะเว้ย”

เขายืนพูดกับตัวเองอยู่หน้ากระจก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกไปยังจุดที่ปล่อยร่างสูงให้นอนจมกองอ้วก ซึ่งขณะนี้ไอ้ภาระมันยังคงหลับสนิท แต่ดูท่ามันจะเป็นคนนอนดิ้นเอาเรื่อง เพราะตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยเศษอาหารและของเหลวเลอะอยู่แทบทุกจุดของร่างกาย

“อี๋ กูจะอ้วก”

ภาพเบื้องหน้าช่างไม่น่าอภิรมย์ในสายตาของคนมอง กานเบนสายตาไปทางอื่น โดยไม่เดินเข้าไปใกล้ หรือแตะเนื้อต้องตัวอีกคนแต่อย่างใด เพราะเขาถือว่าหน้าที่พลเมืองดีในการพาคนเมามาส่งบ้านจบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงก้าวเท้าเดินอ้อมคนเมาเพื่อกลับออกไปยังประตูทางเข้า โดยไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้กองอ้วกแม้แต่น้อย

แกร่ก แกร่กแกร่ก!

“ไม่นะมึง”

ประตูแบบอัตโนมัติที่เขาเคยใช้เพียงแค่สองครั้ง ครั้งแรกคือตอนมาช่วยเจ้าของห้องทำวิจัย ส่วนครั้งที่สองคือตอนนี้ ที่ขาเข้ามาไอ้ภาระมันกดรหัสบางอย่างตรงหน้าประตูเลยทำให้พวกเขาทั้งคู่เข้ามาได้

“คราวก่อนตอนให้กูไปซื้อข้าว ก็เปิดเข้าออกได้เลยนี่”

เขาพูดกับตัวเองอย่างหัวเสีย พลางมองไปยังประตูที่มีเครื่องหน้าตาแปลก ๆ ติดตั้งเอาไว้ โดยไม่รู้ว่าต้องกดปุ่มอะไรยังไงให้มันเปิดออกมา “ถ้ากดมั่วมันจะพังไหมวะ” เมื่อยืนชั่งใจอยู่พักใหญ่แล้วคิดว่าการไล่กดทีละปุ่มคือหนทางสู่อิสระ จึงเอื้อมมือเตรียมไปกด แต่จิตใต้สำนึกฝั่งดีของเขามันร้องเตือนขึ้นมาเสียก่อน

“กระจกรถยังข้างละแปดแสน แล้วประตูพังกูไม่เสียอีกเป็นล้านเลยเหรอวะ”

คนไม่ทันเทคโนโลยีได้แต่ถอนหายใจ เนื่องจากของพวกนี้มันไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันของตนอยู่แล้ว อย่างประตูที่หอยังเป็นกุญแจไขเข้าไปอยู่เลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องประตูอัตโนมัติแบบนี้ ไอ้กานมันใช้เป็นซะที่ไหนเล่า

สุดท้ายจำใจเดินคอตกกลับเข้าไปด้านในห้องอีกครั้ง แต่จังหวะที่เดินมาถึงร่างที่นอนจมกองอ้วกอยู่กานก็หน้ามุ่ยลงกว่าเดิม เพราะดูท่าแล้วเขาต้องนอนร่วมห้องและใช้ออกซิเจนร่วมกันกับมัน ใจอันห่อเหี่ยวนำพาร่างกายอันอ่อนล้าเดินหลบกองอ้วกและขยะเปียกบนพื้นมุ่งตรงไปยังโซฟาขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นมุมที่เขาเคยมาช่วยเจ้าของห้องทำวิจัยเมื่อคราวก่อน

“โถ่…ชีวิตกู”

ตัดพ้อกับตัวเองแล้วทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวไปบนโซฟา เมื่อคิดไปว่าตื่นมาพรุ่งนี้เช้า เจ้าของห้องจะต้องโวยวายที่เห็นเขานอนอยู่ในห้องมัน แค่นึกภาพหน้าตากวนตีนของไอ้ภาระยามสร่างเมาเขาก็เบื่อเต็มทน

“ช่างแม่ง กูง่วง ขอนอนก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องไหนเครียด ๆ แล้วยังมาไม่ถึง ให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้โว้ย”

พูดปลอบใจตัวเองเสร็จ เปลือกตาก็ค่อย ๆ ปิดลง กานหลับลงไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เนื่องจากเจ้าของร่างสูงโปร่งนั้นเหนื่อยล้าจากงานที่ทำไม่พอ เขายังต้องใช้พลังงานไปมากในการหามคนเมาขึ้นคอนโด

ค่ำคืนนี้จึงเป็นคืนแรกที่สองหนุ่มได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน หากแต่คนหนึ่งนอนหลับใหลอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ภายใต้เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน เนื้อตัวหอมกรุ่น ผิดกลับอีกคนที่ยังอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวานและนอนจมกองอ้วกของตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเลยตลอดทั้งคืน

ความหมายของการนอนร่วมห้องของเราจึงไม่เหมือนกัน…

 

07:08 น.

“อ่า หนักหัวชะมัด”

น้ำเสียงงัวเงียพร้อม ๆ กับเปลือกตาที่ค่อย ๆ เปิดขึ้นเมื่อแสงแดดจากภายนอกสาดส่องเข้ามาถึงตัว ธีต์ในท่านอนคว่ำหน้าจมกองอ้วกที่เริ่มแห้งไปแล้วบ้างบางส่วน ยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะบีบคลึงเบา ๆ แต่กลิ่นตุ ๆ ที่ลอยเข้ามาเตะปลายจมูกของเขาทำเอาคนที่เพิ่งสร่างเมาลืมตาตื่นอย่างไว

“อ้วกใครวะ”

คำถามแรกผุดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตัวเองนอนเอาหน้าถูกองอ้วกอยู่ “อ้วกกู” เขาพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่สมองจะเริ่มประมวลภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา

“อ่า อ้วกกูสินะ”

เพราะภาพสุดท้ายที่จำได้คือเขากำลังเดินหากุญแจรถ จากนั้นทุกอย่างรอบกายก็ตัดฉับไป กลายเป็นภาพสีดำเข้ามาแทนที่ จึงคิดไปเองว่าเพื่อนคนใดคนหนึ่งเป็นคนมาส่งตนที่คอนโด และพวกมันคงทิ้งเขาให้นอนที่พื้น จากนั้นเขาก็อ้วกออกมาใส่ตัวเอง เลยมีสภาพเป็นอย่างที่เห็น

“แม่บ้านจะด่ากูไหมวะเนี่ย”

หลังจากทำใจกับกลิ่นเหม็นได้แล้ว จึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะก้มลงมองผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองบนพื้นแล้วได้แต่เบะปากด้วยความขยะแขยง ขนาดเขายังเหม็นอ้วกตัวเองขนาดนี้ แล้วแม่บ้านเข้ามาเจอสภาพนี้จะรู้สึกยังไง

“แดกรัมกับน้ำมะม่วงปั่นต่อไป”

เพราะทุกครั้งในยามที่ต้องไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน เขาจะดื่มแค่สองอย่างคือ รัม ไม่ก็น้ำมะม่วงปั่น แต่เมื่อคืนนึกห้าวเป้งอยากลองข้ามสายพันธุ์ไปแดกเหล้า บวกกับอารมณ์หงุดหงิดที่มีต่อเด็กเปรตนั่น เลยเผลอลืมตัวแดกเหล้าเพียวเยอะไปหน่อย

เจ้าของห้องเดินตรงไปยังโต๊ะวางของข้างประตูทางเข้าเพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องสำรองขึ้นมา หลังจากพยายามมองหาเครื่องที่ใช้อยู่เป็นประจำ แต่กลับไร้วี่แวว ร่างสูงยืนพิงไปกับผนังห้องแล้วกดเข้าแอปสั่งอาหาร เลือกจิ้มสั่ง ‘น้ำมะม่วงปั่น’ หวานปกติแก้วใหญ่สุด เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ แต่อาการเมาค้างยังคงหลงเหลืออยู่ ทำให้เขาเดินเซเล็กน้อย จังหวะนั้นเองหางตาดันเหลือบไปเห็น ‘ปลายเท้า’ ของใครบางคนนอนอยู่บนโซฟา

“กูพาสาวมาห้องด้วยเหรอวะ”

คราแรกคิดว่าตนพาสาวขึ้นห้อง แต่พอเดินเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ขนาดของฝ่าเท้าและท่อนขาที่มีขนประปราย บ่งบอกว่าร่างที่นอนอยู่ไม่ใช่ผู้หญิง ‘แม่มึงไอ้ธีต์ มึงล่อผู้ชายมาเลยเหรอวะ’

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะพาผู้ชายสักคนมานอนด้วย เนื่องจากส่วนตัวเขาเป็นไบ จะหญิงหรือชายถ้าชอบก็คือชอบ

“เหี้ย!!”

เจ้าของห้องเผลอร้องขึ้นอย่างลืมตัว โชคยังดีที่เขายกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน เมื่อกี้เขาชะโงกหน้าไปมองหน้าของแขกที่กำลังครอบครองโซฟาเขาอยู่ จากที่คิดว่าคงเป็นผู้ชายจากบาร์เมื่อคืน แต่ใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มยิ้มหวานราวกับฝันดีอยู่นั้น กลับกลายเป็น ‘ไอ้เด็กเปรต’ ไปได้ยังไง

“เหี้ย!!”

เจ้าของห้องเผลอร้องขึ้นอย่างลืมตัว โชคยังดีที่เขายกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน เมื่อกี้ที่ชะโงกหน้าไปมองใบหน้าของแขกซึ่งกำลังครอบครองโซฟาของตนอยู่ จากที่คิดว่าคงเป็นผู้ชายจากบาร์เมื่อคืน แต่ใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มยิ้มหวานราวกับว่ากำลังฝันดีอยู่นั้น กลับกลายเป็น ‘ไอ้เด็กเปรต’ ไปได้ยังไง

เขาเลยเลือกที่จะมองสำรวจเครื่องหน้าของอีกฝ่ายในยามหลับ เพราะหากคนตรงหน้าตื่นขึ้นมา อย่าได้หวังเลยว่าจะมีโอกาสได้มายืนมองหน้ามัน ‘ถ้าไม่เจอตีนมันก่อนอย่างเมื่อคืน’ ใบหน้ากวน ๆ ตอนหลับไม่ต่างจากเด็กชายตัวเล็ก ๆ ไร้พิษสง แต่อย่าได้ให้มันตื่นเชียว ฝ่าตีนนี่หนักโคตร ๆ

แต่แทนที่คนตื่นก่อนจะปลุกอีกคน ธีต์กลับเดินตรงเข้าไปอาบน้ำ เขาจัดการตัวเองในเวลาไม่ถึง 10 นาที และทำทุกอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผิดจากเวลาปกติที่อยู่คนเดียว เพราะมันจะมีเสียงโป้กป้ากดังขึ้นตั้งแต่ตื่นนอน

ร่างสูงในชุดเสื้อและกางเกงตัวใหม่ ในมือหิ้วถังน้ำและไม้ม๊อบออกมาเพื่อเตรียมสะสางบางสิ่งบางอย่าง

…สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

‘กันธีต์ลงมือถูอ้วกและทำความสะอาดพื้นห้องด้วยตัวเองโดยไม่รอแม่บ้านอย่างทุกที’

เจ้าของห้องขะมักเขม้นอยู่กับการทำความสะอาดคราบอ้วกของตัวเอง ทำไปก็เบะหน้าไป สุดท้ายเหม็นจนทนไม่ไหวจึงเดินไปหยิบหน้ากากอนามัยมาสวมแล้วรีบจัดการกองอ้วกตรงหน้าให้แล้วเสร็จ พอเรียบร้อยก็ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นจนหอมฟรุ้งไปทั่วทั้งห้อง ปิดท้ายด้วยการเดินไปเปิดเครื่องฟอกอากาศทุกตัวในห้องเพื่อช่วยขจัดกลิ่นและทำให้อากาศภายในห้องกลับมาสะอาดอีกครั้ง

เมื่อจัดการกับสิ่งสกปรกเสร็จ เป็นเวลาที่น้ำมะม่วงปั่นมาถึงพอดี เนื่องจากเห็นว่ามีอีกคนนอนอยู่ในห้อง เขาจึงได้โทรไปขอให้พี่ไรเดอร์เพิ่มออเดอร์เป็นสองแก้ว น้ำมะม่วงปั่นถูกนำไปแช่เอาไว้ในตู้เย็น ส่วนเจ้าของห้องตอนนี้เปลี่ยนหน้าที่ไปรับบทเป็นพ่อครัวอยู่หน้าเตา ยืนปรุงข้าวต้มทะเลจากของเหลือ ๆ ในตู้เย็นหม้อใหญ่

‘ถ้าไอ้หมุดกับไอ้โยมาเห็นในสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันต้องคิดว่าเขาทำข้าวต้มเผื่อไอ้กานแน่นอน แต่ไม่ใช่โว้ย เขากินเยอะเลยต้มไว้เผื่อเอาไว้สำหรับตัวเองต่างหาก กลัวไม่อิ่มเถอะ’

 

08:00 น.

“อื้อ~”

เปลือกตาคู่สวยค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ก่อนละหลับลงอีกครั้งเมื่อแสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามากระทบม่านตาเข้าอย่างจัง ร่างสูงโปร่งที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาบิดเนื้อตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสายอย่างที่เคยทำเป็นประจำวันทุกวันในยามตื่นนอน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอาหารบางอย่างลอยมาตามอากาศเตะเข้าที่ปลายจมูกโด่งรั้นอย่างจัง จนทำให้คนที่ไม่อยากตื่นจากการหลับใหลจำต้องลุกขึ้นมานั่งทั้งที่ยังปิดเปลือกตาอยู่

“หอมจัง”

สมองในตอนเช้ายังคงประมวลผลได้ไม่ดีมากนัก จนทำให้หลงลืมไปว่าตัวเองไม่ได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงแคบ ๆ ภายในห้องพักเท่ารูหนู หากแต่กำลังนั่งบิดขี้เกียจอยู่บนโซฟาหลักล้านอยู่บนคอนโดหรูใจกลางกรุงต่างหากเล่า

…ความรู้สึกแรกคือคิดว่าตัวเองกำลังฝัน คงเป็นฝันแน่ ๆ ที่เช้าขนาดนี้ได้กลิ่นอาหารหอมฟรุ้งไปทั่วห้อง

แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่ใจคิด เมื่อเสียงคุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาท จนทำให้ร่างกายทุกส่วนตื่นตัว เจ้าของร่างสูงโปร่งเบิกตาโพลงอย่างรวดเร็ว

“ไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วค่อยมากิน”

“.....”

ไร้เสียงตอบรับใด ๆ มีแต่ใบหน้าเหวอ ๆ ส่งกลับไปยังคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“เอ้า ตื่นแล้วก็ลุกสิ มึงจะนั่งจ้องหน้ากูเพื่อ”

ธีต์มองเด็กเปรตที่เอาแต่จ้องหน้าเขาแถมยังไม่ยอมพูดจาด้วยแววตาเรียบนิ่ง เขาหรืออาบน้ำแต่งตัวเสร็จไปตั้งนาน อีกทั้งยังเข้าครัวทำอาหารไว้จนเย็นชืด ไอ้เด็กเปรตตรงหน้ายังไม่มีท่าทีจะตื่น ครั้นจะปลุกก็กลัวว่าตัวเองจะบาปที่ไปรบกวนเวลาการนอนของมัน เลยได้แต่นั่งเฝ้า ไม่สิ เขาแค่นั่งเช็คสื่อต่าง ๆ บนโซเชียลคร่าเวลาเท่านั้น แต่แทนที่มันจะทำตามอย่างที่เขาบอก กลับตอบปัดเขาเสียยาวเหยียด

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูกลับเลย โทษทีที่ถือวิสาสะนอนห้องมึง เมื่อคืนกูเข้ามาได้ แต่ขาจะกลับ ประตูมันเปิดไม่ออก”

“กินข้าวก่อนค่อยไป พอดีกูทำข้าวต้มจากของเหลือในตู้เย็น มันหม้อใหญ่ กินคนเดียวไม่หมดหรอก”

“กูไม่-”

“ทำไม กินข้าวกับกูมึงกลัวหรือไง?”

ประโยคท้าทายมาพร้อมสายตาเย้ยหยันของคนพูด ทำเอาคนฟังลมแทบออกหู แต่เขาต้องสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ เพราะหลวงตาเคยบอกว่า ถ้าเราตื่นนอนแล้วรู้สึกอย่างไร ตลอดทั้งวันนั้นอารมณ์จะเป็นเช่นนั้น ดังนั้น หากวันนี้เขาตื่นมาแล้วหงุดหงิด ทั้งวันคงมีเรื่องให้ปวดหัวจนแทบระเบิด

“ใครบอกกูกลัว ไร้สาระ”

“งั้นก็ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน”

“ล้างแค่หน้าได้ไหมมึง กูไม่มีแปรงสีฟัน”

“แล้วเมื่อคืนมึงแปรงฟันยังไง”

เขาถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่ได้แปรง เพราะเมื่อเช้าในตอนที่อาบน้ำ เขาไม่เห็นร่องรอยของการเปิดตู้เก็บของแล้วหยิบแปรงสีฟันอันใหม่ออกมาใช้ แต่ประโยคต่อมาของมันกลับทำเอาเขาอึ้งกว่า

“บีบยาสีฟันใส่นิ้ว” ไม่พูดเปล่า กานยกนิ้วชี้ขึ้นมาชูระหว่างกึ่งกลางใบหน้า “แล้วก็ทำแบบนี้” จากนั้นก็ยัดนิ้วเดิมเข้าไปในปาก แล้วทำการสาธิตวิธีการแปรงฟันของตัวเองให้อีกคนได้ดู

“กูไม่น่าไปคาดหวังอะไรจากคำตอบของมึงเลยกาน”

“เอ้า วิธีนี้มันดีกว่าไม่แปรงนะโว้ย อย่างน้อยยาสีฟันก็ถูกถูไปกับฟันกูแหละวะ”

“แล้วทำไมไม่เปิดดูในตู้เก็บของ มันมีของใช้สำรองอยู่ มึงนี่มันโง่บรมจริง ๆ”

“พูดอะไรของมึง ตู้ที่ไหน กูไม่เห็นว่าจะมีสักตู้”

“กระจกที่มึงส่องในห้องน้ำ บนอ่างล้างหน้า มันเปิดออกมาได้ ด้านหลังเป็นตู้เก็บของใช้ที่กูให้แม่บ้านเขาซื้อมาสำรองเอาไว้”

“ใครจะไปรู้วะ คิดว่าเป็นแค่กระจก ห้องมึงนี่ให้คนอยู่แน่นะ กูนึกว่าห้องของลูแปง ลึกลับซับซ้อนเกิน กูเข้าไม่ถึง”

บ่นออกไปด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ พลางยกมือขึ้นมากอดอกเอาไว้แน่น เมื่อเริ่มคิดได้ว่าตัวเองนั้นเป็นพวกล้าหลัง เปิดประตูไม่ได้ก็แล้ว ไหนจะพวกเฟอร์นิเจอร์ล้ำ ๆ ของพวกคนรวยอีก

“เออ ลองเปิดดูแล้วหยิบแปรงสีฟันออกมาใช้ได้เลย ข้าวต้มชืดหมดแล้ว”

“!!”

ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ กานลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเดินสะบัดก้นไปทางห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาพ้นห้องรับแขก สมองน้อย ๆ มันเพิ่งฉุกคิดว่าต้องขออนุญาตเจ้าของห้องเสียก่อน

“มึง เสื้อยืดนี่ยืมก่อนได้ไหม เมื่อคืนมึงอ้วกใส่เสื้อกูอะ”

ธีต์มองไปยังเสื้อสกรีนลายบาเลนของตัวเองที่อยู่บนร่างของอีกคน “เอาไปเลย กูยกให้” เอ่ยบอกเสร็จเตรียมลุกไปยังครัว แต่เสียงไอ้เด็กเปรตกลับเรียกเขาเอาไว้อีกหน

“มันไม่แพงใช่ไหม มึงถึงยกให้กูง่าย ๆ”

“เออ กูซื้อมาจากตลาดมือสอง 199 มั้ง มึงเอาไปเลย ส่วนเสื้อมึงทิ้งไว้นี่แหละ เดี๋ยวให้แม่บ้านซักให้ แล้วกูจะเอาไปคืนที่มหาลัย”

“เค ดีล ตามนั้นเลย”

กานตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง เมื่อสิ่งที่ตนคิดเมื่อคืนว่าเสื้อตัวนี้คงไม่ได้ราคาสูงมากนักเป็นจริง จากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระยามเช้าเพื่อออกมานั่งกินข้าวต้มฟรีก่อนกลับ

‘แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะเจออีกฝ่ายอ้วกใส่จนเสื้อเหม็น แต่ก็ไม่เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะเช้านี้ได้เสื้อฟรีไม่พอ มีคนซักเสื้อให้พร้อมข้าวฟรีอีกด้วย ถือว่าไม่เลวร้ายนัก’

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • การันต์กันธีต์   ตอนจบ : วันเกิดปีนี้พี่ธีต์ไม่ต้องฉลองคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะ

    “ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 48 : ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอสินะ

    “ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 47 : แม่ยายและว่าที่ลูกสะใภ้หมายเลขหนึ่ง

    ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 46 : คำบอกรักจากพี่ธีต์ที่ไปไม่ถึงคนฟัง

    “กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 45 : ความรักของพ่อ ความรักของแฟน

    “คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 44 : ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

    โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status