LOGIN“พี่มึงทำไมหน้าเป็นแบบนั้น?”
มหาสมุทรเป็นฝ่ายเอ่ยถามเพื่อนในทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนออกไปไอ้พี่ธีต์มันดูสภาพปกติดี แต่ทำไมขากลับเข้ามาถึงมีสีหน้าไม่สู้ดี แถมยังเอามือลูบปลายคางตัวเองไม่หยุด
“โดนหมาไล่กัดมาวะ”
“หมา? ในร้านมีหมาด้วยเหรอวะ”
“เออ กูบอกว่าหมากัดมา มึงรู้เท่านี้พอ”
คนเจ็บกระแทกเสียงใส่หน้าเพื่อนแล้วค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปนั่งลงบนโซฟาเบา ๆ เพราะนอกจากปลายคางที่ยังเจ็บจนชาอยู่นั้น อาการจุกที่ช่องท้องยังดันขึ้นมาจนถึงคอเลยก็ว่าได้ ‘ไอ้เด็กเปรตนั่นหมัดหนักฉิบหาย’
“คงจะไปพูดจาไม่เข้าหูหมา หมาเลยแว้งกัดเข้าให้”
คราวนี้วาโยเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง ดูเหมือนความลับของธีต์ที่เจ้าตัวพยายามจะปกปิดเอาไว้นั้น ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของวาโยไปได้
“เออ ได้ทีเยาะเย้ยกูเลยนะมึง แล้วนี่อะไร พูดเยอะผิดปกติ”
“หึ แค่เบื่อพวกปากไม่ตรงกับใจ”
เจ้าชายน้ำแข็งยกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งตามแบบฉบับของคนนาน ๆ พูดที
ทางด้านมหาสมุทรที่เหมือนถูกกันออกจากบทสนทนาได้แต่มองหน้าเพื่อนรักทั้งสองคนสลับกันไปมา ก่อนจะหันหน้าไปถามวาโยในสิ่งที่ตนสงสัย “ไอ้โยมึงพูดถึงเรื่องอะไรวะ กูตามไม่ทัน”
“....”
“ไอ้โย!”
แม้จะตะเบ็งเสียงใส่เพื่อนจนคอโก่ง แต่วาโยหาได้สนใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมก้าวขาออกไปยังประตูที่ธีต์เพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามาหลังจากเพิ่งไปฟัดกับหมามาจนเจ็บตัว
“ไอ้โยกลับมาคุยกับกูให้รู้เรื่องก่อน”
ปัง!
เสียงปิดประตูดังขึ้นบ่งบอกว่าวาโยได้เดินออกจากห้องไปเป็นที่เรียบร้อย ทำเอามหาสมุทรเริ่มหงุดหงิด แม้จะมีน้องข้าวฟ่างนั่งคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ แต่ก็ไม่วายหันไปฟ้องเพื่อนอีกคนที่นั่งหน้าเหยเกลูบคางป้อย ๆ
“พี่มึง ดูไอ้โยดิ มันไม่สนใจกูเลย”
“พอเลยไอ้หมุด กูยิ่งมึนหัวอยู่”
“นี่พวกมึงเป็นเพื่อนกูจริงไหม ทำไมไม่มีใครสนใจจะพูดกับกูเลย น้องข้าวฟ่างครับ พี่หมุดเสียใจ”
หัวทุยของคนพูดซบลงไปที่ไหล่บอบบางของหญิงสาวข้างกาย ภาพตรงหน้าทำเอาธีต์นึกหมั่นไส้ “รำคาญลูกตา” เสียงเข้มโพล่งขึ้น แต่ก็ถูกอีกคนสวนกลับอย่างรวดเร็ว
“นั่นมันปัญหาของมึง ไม่ใช่ของกูครับ”
“ส่งเหล้าขวดนั้นมา”
“ปกติแดกรัมนี่ นึกไงจะกินเหล้า”
เนื่องจากทุกทีที่ดื่มด้วยกัน ไอ้พี่ธีต์จะดื่มแค่รัม ส่วนไอ้โยรายนั้นวิสกี้ยาว ๆ พวกเหล้าหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ จึงเป็นหน้าที่ของเขาในการรับผิดชอบด้วยกรอกลงใส่ปากของตัวเอง
“กูบอกให้ส่งมา”
“เหล้าแรงนะพี่มึง เมาขึ้นมากูหามไม่ไหวนะ”
“ถ้ามึงยังไม่หยุดพูดมาก กูรับรองได้เลยว่า คนที่จะถูกหมากัดเป็นรายต่อไปคือมึง ไอ้หมุด!”
“โหดจังวะ อะ เอาไป แดกให้เหมือนวันนี้คือวันสุดท้ายในชีวิตไปเลย”
เหล้านอกชั้นดีบรรจุถึง 1 ลิตรถูกยื่นมาตรงหน้าของธีต์ เขายื่นมือออกไปรับมันมาถือเอาไว้ แต่แทนที่จะเทลงใส่แก้วแล้วยกดื่มอย่างที่เพื่อนทำ ฝ่ามือหนากลับเปิดฝาขวดออกแล้วยกทั้งขวดขึ้นกระดกราวกับกำลังดื่มน้ำเปล่า
มหาสมุทรเบิกตามองด้วยความตกใจ ที่จู่ ๆ ผีห่าซาตานที่ไหนมันมาเข้าสิงเพื่อนเขาจนทำให้ยกเหล้าขึ้นดื่มแบบนั้น ทั้งที่ปกตินิสัยไอ้พี่ธีต์จะชอบดื่มจากแก้ว ค่อย ๆ จิบไปเรื่อย ๆ เพราะต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศเสียมากกว่า
“เห้ย! พี่มึง ค่อยๆ แดกดิ ยกขนาดนั้นได้นอนในชักโครกแน่ ๆ”
“เรื่องของกู”
“กูรู้ครับว่าเรื่องของมึง แต่ยกกระดกแบบนั้น มันเมาไว ฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาลกูจะขำให้ฟันกรามหักเลยคอยดู”
“เสือก!”
“งั้นเชิญพี่มึงแดกตามสบายเลย จะกินอีกสักโหลกูก็จ่ายไหว”
แม้ว่าเขาจะพูดจาติดตลกออกไปเช่นนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตนก็ไม่อยากให้ไอ้พี่ธีต์มันเมาหัวราน้ำจนกลับบ้านไม่ไหว “ดีนะวันนี้ไม่ได้ขับรถมา” เนื่องจากก่อนมา เขาส่งโลเคชันร้านให้ทุกคน และย้ำหนักหนาว่าให้เรียกรถจากแอปมา เพราะขากลับอย่างไรก็ไม่พ้นพากันเมา ซึ่งมันไม่สมควรแก่การขับรถในยามที่ไร้สติ เพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับคนอื่นได้ แต่ประโยคต่อมาของเพื่อนทำเอาไอ้หมุดคนนี้ไมเกรนแทบขึ้น
“ใครบอกกูเรียกรถจากในแอปมารับ กูขับมาเองต่างหาก”
“เดี๋ยวก่อน นี่พี่มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มที่กูส่งไปเหรอ ว่าไม่ให้ขับรถมา”
“อ่าน แต่อยากขับเอง ขากลับก็เรียกคนมาขับให้ดิ สมัยนี้แอปเขามีบริการเรียกคนขับโว้ย”
“แล้วไป งั้นแดก ๆ ไปเถอะ กูขี้เกียจจะคุยกับพี่มึงแล้ว”
คนชวนส่ายหน้าอยู่สองสามที จากนั้นจึงเลิกให้ความสนใจแก่คนเจ้าปัญหา ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้เรือนผมสีแดงในยามที่แสงไฟจากภายในร้านสาดส่องเข้ามา มันยิ่งดูโดดเด่นขึ้นเป็นเท่าตัว จนน้องข้าวฟ่างสาวสวยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้แล้วพิงศีรษะเล็กลงไปที่ต้นแขนแกร่งอย่างออดอ้อน
“วันนี้พี่หมุดกลับกับข้าวฟ่างไหมคะ”
“ขึ้นอยู่กับว่าน้องข้าวฟ่างอยากให้พี่กลับด้วยหรือเปล่า”
“ข้าวฟ่างก็ต้องอยากให้พี่หมุดกลับด้วยอยู่แล้วค่ะ”
“ได้สิครับที่รัก”
สองหนุ่มสาวพูดคุยกันหวานหยด ทำราวกับว่าทั้งห้องนี้นั่งกันอยู่แค่สองคน ทางด้านคนโสดอย่างธีต์ยิ่งได้มานั่งดูเพื่อนพลอดรักกับสาวด้วยแล้ว ใจของเขามันยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ‘ทำไมคนหล่อ ๆ แถมบ้านรวยนิสัยดีอย่างเขาถึงโสดได้นะ’ แม้ภายในห้องจะมีเพื่อนสาวของน้องข้าวฟ่างนั่งอยู่ แต่อย่างนั้นหางตาของชายหนุ่มก็ไม่เหลียวแล เพราะเขาไม่ชอบถูกจีบ เขาชอบตามจีบมากกว่า
เหล้าขวดใหญ่ในมือคือหนทางพ้นทุกข์ทางใจของชายหนุ่ม มันถูกยกขึ้นดื่มติด ๆ กันอยู่หลายที จนในที่สุด น้ำสีอำพันในขวดแก้วทรงกลมหลงเหลืออยู่เพียงค่อนขวด เป็นจังหวะเดียวกับที่วาโยโทรศัพท์เข้ามาหาพอดี
“ว่างายยยย เพื่อนร้ากกก” น้ำเสียงยานคางบ่งบอกได้ดีว่าธีต์โดนฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงานเข้าให้แล้ว
“กูกลับก่อน พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”
“เรื่องรายยย ให้กูไปช่วยมึงม้ายยย”
“ช่วยตัวเองก่อนเถอะมึง”
“ฉบายม๊ากกกก”
ตู้ด ตู้ด ตู้ด
ยังไม่ทันที่ปลายสายจะได้พูดสิ่งใดต่อ ธีต์กลับเป็นฝ่ายยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดปุ่มวางไปเป็นที่เรียบร้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเมาเข้าให้แล้ว เมื่อหันไปมองไอ้หมุดก็เห็นว่าตอนนี้มันกับสาวแทบจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว คิดได้ดังนั้น เขาจึงขอตัวกลับก่อน“หมุด กูกลับละน้าา”
“มึงเรียกรถหรือยัง”
“เรียกแล้ววว กูไปล่ะ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนด้วยความโงนเงน เขากำลังพ่ายแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงของโลกจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเสียเดี๋ยวนี้ ในมือยังคงกำกุญแจรถและโทรศัพท์เอาไว้แน่น ก่อนจะยกมืออีกข้างที่สวมนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
“จะตีหนึ่งแล้วเหร๋อวะ”
เวลาในตอนที่เขานั่งดื่มเหล้าย้อมใจมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนหรูได้ชี้ไปที่เลขหนึ่ง เข้าสู่วันใหม่เป็นที่เรียบร้อย
คนเมาจึงรีบเดินลงจากชั้นสองของร้าน โดยลืมเรื่องของกานไปเสียสนิท แต่แม้ว่าเขาจะเมาจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ธีต์ยังสามารถประคองตัวเองจนเดินมาถึงรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถได้สำเร็จ
“กูว่ากูถือออกมาแล้วนะ กุญแจรถไปหนายวะ”
ความทรงจำสุดท้ายของคนเมาบอกว่าตนถือกุญแจรถติดมือมาแล้ว แต่ทำไมพอมาถึงรถ เขากลับหามันไม่เจอ สองมือใหญ่คลำไปตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่ก็ไม่พบของที่ต้องการ
“อยู่ไหนลู้กกก ออกมาหาพ่อเร้ววว จิ๊บ จิ๊บ ๆ”
เขาโน้มตัวลงไปตามพื้นปูนรอบ ๆ รถ พร้อมกับพยายามใช้สายตาอันฝ้าฟางเพ่งมองไปรอบ ๆ บริเวณ เพื่อหากุญแจรถเจ้าปัญหา “จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ” อีกทั้งยังไม่ยอมหยุดร้องเรียกกุญแจรถด้วยถ้อยคำแปลก ๆ
“ใครมันมาร้องหาไก่แถวนี้วะ”
กานที่เพิ่งเอาขยะออกมาทิ้งถามขึ้นกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่เขากำลังเดินกลับเข้าไปภายในร้าน เพื่อเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน เพราะมันถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่จากไอ้เสียงจิ๊บ ๆ เมื่อครู่ที่ได้ยินแว่วเข้ามาในหู มันทำให้ร่างสูงโปร่งต้องหยุดอยู่ใกล้ ๆ กับลานจอดรถแล้วกวาดสายตามองหาต้นเสียง แต่เมื่อไม่เห็นใครสักคนเลยคิดว่าตัวเองอาจจะถูกรับน้องเข้าให้แล้ว
“ผีหลอกกูปะวะ”
“จิ๊บ ๆ อยู่ไหนลู้กกกก”
“เห้อ ตกใจหมด”
เสียงผ่อนลมหายใจดังออกมาจากริมฝีปากได้รูป เมื่อเขามองเห็นแผ่นหลังของใครบางคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้าง ๆ รถสีส้ม ‘แต่เอ๊ะ ทำไมรถมันคุ้น ๆ ตาของเขาจัง’
“ไอ้หัวขี้!”
กานเผลอสบถฉายาที่ตั้งให้อีกฝ่ายออกมาเสียงไม่เบานัก จนเจ้าของเรือนผมสีส้มที่กำลังง่วนอยู่กับการหากุญแจรถลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันหลังกลับมาดู
“อะ อ้าวววว นึกว่าใคร รุ่นน้องงงนี่หนา”
ไม่รู้เพราะความเมาหรือเขาจงใจยั่วยุอีกฝ่าย ตรงจังหวะคำว่ารุ่นน้องธีต์ถึงได้ลากเสียงยาวกว่าปกติ
“ตีหนึ่งแบบนี้มึงมาร้องหาไก่ไปต้มกินอะไรอยู่ตรงนี้”
“ใครว่าพี่ธีต์หาก่ายยย ไม่มี๊”
คนเมายืนเซไปทางซ้ายที ก่อนจะเอนมาทางขวาที เพราะไม่สามารถทรงตัวให้ยืนตรงขณะพูดกับรุ่นน้องได้ กานซึ่งเห็นสภาพของคนตรงหน้าแล้วถึงกับส่ายหัว “สภาพแบบนี้ขับรถออกไป กูให้ไม่พ้นโค้งหน้าได้ตกข้างทางตายแน่นอน”
“น้องกานพู้ดไม่เพราะ”
คราวนี้ธีต์เดินตรงเข้ามากาน พร้อมกับยกนิ้วชี้ของตัวเองไปจ่อที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย โดยคนที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่ยืนนิ่ง
“พี่ธีต์จะขับโร้ดได้ไงครับ กุญแจยังหาไม่เจอเล้ยย”
พูดจบแล้วผละตัวเองถอยห่างออกจากน้อง แต่ไม่ลืมส่งยิ้มหวานให้จนตาหยี
“เมาแล้วพูดจารื่นหูขึ้นมาเลยนะมึง”
“ม่ายย พี่ธีต์เป็นคนพู้ดเพราะ”
“เออ ๆ เพราะก็เพราะ แล้วนี่เพื่อนมึงไปไหน ใครจะขับรถให้ อย่าบอกนะว่าขับกลับเอง”
“ช่ายยย พี่ธีต์ขับกลับเอ้งง”
“กูจะบ้าตาย เพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าขับออกไปได้ลงข้างทางตายก่อนถึงบ้านแน่ สภาพนี้”
ฝ่ามือหนายกขึ้นตบที่หน้าผากของตัวเองเบา ๆ ไอ้พวกเมาแล้วขับถ้าไปตายคนเดียวเขาจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ถ้าเกิดปล่อยให้ไอ้หัวขี้มันขับออกไปทั้งที่สติไม่เต็มร้อยแบบนี้ เกิดไปชนชาวบ้านชาวช่องคนที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรขึ้นมา มีแต่จะไปทำคนเขาเดือดร้อน
“เอางี้ จอดรถมึงทิ้งไว้นี่แหละ เดี๋ยวกูไปส่ง ขืนกูปล่อยมึงขับกลับคนเดียว แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น กูจะบาปไปด้วย”
“ด้ายสิค้าบบบ”
พอเหล้าเข้าปากพฤติกรรมก้าวร้าวรวมไปถึงคำพูดชวนตบกะโหลกของธีต์พลันหายไปจนหมด ร่างสูงพยายามยืนให้ตรงด้วยสองขาของตัวเองตามคำสั่งของรุ่นน้อง แต่ถึงอย่างนั้นมันยังคงเอนเอียงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ดี
“เออ ๆ มายืนพิงรถไว้ ยืนแบบนี้กูกลับออกมาได้ลงไปกองนอนที่พื้นกันพอดี”
จากสภาพแล้วเขาคิดว่าหากปล่อยให้อีกคนยืนอยู่ตรงนี้ระหว่างรอตนวิ่งกลับเข้าไปเอากระเป๋า ขากลับออกมาไอ้ภาระนี่คงทิ้งตัวลงบนพื้นแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นจึงเดินเข้าไปจับแขนอีกฝ่ายแล้วพยุงมันไปยืนพิงรถเอาไว้ “พิงรถอยู่ตรงนี้ อย่าเสือกเดินไปไหนล่ะ เดี๋ยวกูไปเอากระเป๋าแล้วจะรีบออกมา”
“ค้าบบบบบ ขอบคุณค้าบบบ”
กันธีต์ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้หลงเหลือเอาไว้แต่เด็กชายธีต์ที่ว่านอนสอนง่าย จนกานเองยังอยากให้เวลาที่อีกคนไม่เมา ทำตัวแบบนี้บ้าง เขาคงอยากนับถือมันในฐานะรุ่นพี่ขึ้นมา
ร่างสูงโปร่งกวาดมองความเรียบร้อยตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อเห็นทุกอย่างโอเคจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ร้าน เขาใช้เวลาอยู่สักพัก เพราะต้องรอลาคุณปูน รวมถึงรอข้าวที่ป้านีจะให้ห่อกลับบ้าน เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงรีบเดินมายังลานจอดรถของร้านทันที
“กูว่าแล้วไง”
กานหยุดมองคนที่เขาย้ำหนักหนาว่าให้ยืนพิงรถเอาไว้ ขณะนี้ร่างสูงใหญ่พอ ๆ กับเขา แต่จะมีกล้ามเนื้อมากกว่าได้ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น โดยเอาตัวพิงไปที่ท้ายรถของตัวเอง เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิท แถมจังหวะหายใจเข้าออกยังสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
“ตื่นก่อนมึง ตัวเท่าควายมานอนหลับแบบนี้กูแบกไม่ไหวหรอกนะ”
เขาพยายามเรียกให้คนเมาลืมตาตื่น แต่ไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกยังไง กลับไม่มีวี่แววว่าไอ้ภาระจะรู้สึกตัวขึ้นมาเลยสักนิด
แปะ แปะ
ฝ่ามือหนาตบเบา ๆ ไปที่แก้มทั้งสองข้างของมัน จนในที่สุดความพยายามของเขาก็ประสบความสำเร็จ ธีต์ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
“มาแล้วหรออ อึก”
“อย่ามาอ้วกใส่ตรงนี้นะมึง โดนปรับเงินนะโว้ย”
สองมือใหญ่ยกขึ้นปิดปากอีกคนอย่างรวดเร็ว “ไปลุก กูจะไปส่งกลับคอนโด” เขารออยู่สักพักเพื่อให้ไอ้ภาระมันกลืนทุกอย่างที่เตรียมจะขย้อนออกมากลับลงไปทางเดิม ก่อนจะค่อย ๆ ดึงร่างปวกเปียกของมันขึ้นมาประคองเอาไว้ และพาเดินมุ่งตรงไปยังไอ้นวลคู่ใจที่จอดอยู่ในโซนของจักรยานยนต์
“ค่อย ๆ เดิน ก้นมึงนั่งมอไซค์ได้ไหมวะ”
“นั่งด้ายยยย ฉบายม๊ากกก”
“เออ ๆ เอ้ายืนนิ่ง ๆ”
เมื่อมาถึงรถกานจำต้องปล่อยให้อีกคนยืนด้วยลำแข้งไปก่อน เพราะเขาต้องหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่ โชคยังดีที่ใต้เบาะรถของเขามีหมวกกันน็อกสำรองเพราะบ่อยครั้งที่เพื่อนมักจะขอซ้อนท้ายอยู่เป็นประจำ ดังนั้นการมีหมวกกันน็อกสองใบเลยเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เขาไม่ต้องถูกตำรวจกรุงเทพฯ โบกนั่นเอง
หมับ!
เมื่อใส่ให้ตัวเองเสร็จแล้ว จึงหยิบหมวกอีกใบสวมลงไปบนหัวของไอ้ภาระด้วยน้ำหนักมือไม่เบานัก แล้วจึงหันไปขึ้นคร่อมไอ้นวล ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งตบไปที่เบาะด้านหลังของตัวเองเบา ๆ
“ขึ้นมา”
คนฟังทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ร่างสูงก้าวขาขึ้นมอเตอร์ไซค์ด้วยความชำนาญ อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของคนเมามันเคยชินกับการนั่งบิ๊กไบค์ของวาโยมาก่อน
“นั่งดี ๆ ดิวะ”
“พี่ธีต์นั่งดีแล้วว”
คำว่านั่งดีแล้วช่างสวนทางกับการกระทำมาก เพราะธีต์ในตอนนี้นั่งเอียงไปฝั่งขวามือจนแทบจะตกมอเตอร์ไซค์อยู่รอมร่อ คนขับเห็นท่าไม่ดี จึงคว้าสองมือใหญ่มากอดเอวตัวเองเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ถอดเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ออกจากตัว แล้วนำมันใช้แทนเชือกด้วยการอ้อมแขนเสื้อข้างหนึ่งไปด้านหลังของไอ้ภาระ โดยที่แขนเสื้ออีกข้างยังอยู่บริเวณด้านหน้าของเขา
กานใช้เสื้อแขนยาวมัดตัวภาระเข้ากับตัวเอง เพื่อกันไม่ให้มันพลัดตกระหว่างทางกลับคอนโดอีกฝ่าย
“กอดเอวกูไว้ด้วยนะมึง ตกมาตายคู่เลยนะทีนี้”
ธีต์ทำตามทันที เขากอดเอวคนตรงหน้าแน่น ไม่พอยังพิงตัวเองไปกับแผ่นหลังของกานอีกด้วย
“ไอ้ธีต์ มึงกอดกูแน่นขนาดนี้ไม่สิงตัวกูเลยล่ะ ห้ะ”
“ได้เหร๋ออออ”
เสียงอู้อี้ที่ข้างหู ยิ่งทำให้กานต้องพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุด ตอนนี้เขาต้องสงบศึกกับมันก่อน และทำหน้าที่ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่อยากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดให้คนเมาขับรถไปชนใครเขา
“ใจร่ม ๆ นะไอ้กาน ท่องไว้ถ้ามึงไปส่งมัน คนอื่นบนท้องถนนจะได้ปลอดภัย”
เขาหมุนกุญแจแล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ จากนั้นค่อย ๆ ขี่ไอ้นวลออกไปจากบริเวณลานจอดรถด้วยความเร็วที่ลงเดินน่าจะถึงจุดหมายปลายทางเร็วกว่า สายลมอ่อน ๆ ปะทะเข้าสู่ผิวกาย แววตาสุกใสภายใต้หมวกกันน็อกใบโปรดมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่นาน ๆ ทีจะมีรถสวนเขามาสักคัน ‘ชีวิตในตอนกลางคืนนี้มันสงบสุขกว่าตอนกลางวันเสียจริง
“ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ
“ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ
ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่
“กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่
“คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ
โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ







