LOGIN“มึงมั่นใจนะ ว่าข้าวต้มถ้วยนี้ทำจากของเหลือในตู้เย็น”
น้ำเสียงแปลกใจมาพร้อมสีหน้าฉงนหลังจากที่เขาเพ่งมองชามข้าวต้มที่ถูกนำมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าโดยเจ้าของห้อง ข้าวต้มจากของเหลือในตู้เย็นที่คิดว่าคงเป็นเพียงข้าวต้มหมูง่าย ๆ แต่ที่เห็นตรงหน้าในถ้วยมันแทบไม่มีเม็ดข้าวอยู่เลย เพราะว่าอัดแน่นไปด้วยเนื้อปลาแซลมอน หอยตัวสีเทา ๆ หน้าตาแปลก ๆ กุ้งตัวโตคับชาม ดังนั้นจะมาใช้คำว่าของเหลือไม่ได้ ช่างเป็นคำที่ห่างไกลจากสิ่งที่เขาเห็นนัก
“อืม ของเหลือ”
ธีต์พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเขาเองไม่ได้โกหกอีกฝ่ายแต่อย่างใด ก็ในเมื่อของที่เอามาทำข้าวต้มเช้านี้มันเป็นของเหลือในตู้เย็นจริง ๆ เนื่องจากวันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ ถือเป็นวันที่ของสดในตู้เย็นหมดพอดี ต้องรอแม่บ้านซื้อเข้ามาเติมให้ช่วงบ่าย ๆ
ส่วนคนฟังทำได้เพียงส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำตอบ แต่มือยังไม่ยอมหยิบช้อนตักข้าวต้มขึ้นมากิน “แบบนี้กูเรียกของดี”
“มึงก็พูดเวอร์ไป”
“จริงนะ ไว้มีโอกาสจะพาไปกินของเหลือในแบบฉบับกู เผื่อมึงจะเข้าใจคำว่าของเหลือมากขึ้น”
“พูดมาก รีบแดกไปเถอะ”
“เออ”
กานจำใจหยิบช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาคำโต วันนี้ตื่นมาท่าจะโชคดีไปตลอดทั้งวัน เพราะลาภปากได้กินอาหารดี ๆ กับเขาตั้งแต่เช้า เขาละความสนใจจากอีกคนที่ตอนนี้นั่งกินข้าวต้มอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม
“อร่อยวะ” เอ่ยชมออกมาอย่างลืมตัวเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของอาหาร
“มีอีกเป็นหม้อ ไม่อิ่มเดินไปตักเอง”
“ห่อกลับบ้านได้ปะ”
“จะยกหม้อกูกลับไปเลยก็เรื่องของมึงถึง ตละกละฉิบ!”
แม้จะบ่นทิ้งท้าย แต่น้ำเสียงและสีหน้ายังคงเรียบนิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดออกมาแต่อย่างใด ธีต์ยกยิ้มมุมปากเบา ๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าวต้มแล้วเห็นคนตรงข้ามเอาแต่ละเมียดละไมกับอาหารอย่างกับกลัวว่ามันจะหมด จนพ่อครัวจำเป็นอย่างเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ
“โถ่ นานทีปีหนจะได้กินของดี กูไม่เกรงใจนะ” เมื่อไม่ได้ถูกห้ามก็เข้าทางไอ้กานเต็ม ๆ
มื้อเช้าอันแสนเรียบง่ายของวันจบลงด้วยการเติมข้าวต้มถึง 3 รอบ แถมขอถุงพลาสติกจากเจ้าของห้องมาห่อข้าวต้มที่เหลือกลับไปกินที่บ้านอย่างปากว่า แต่ก่อนที่กานจะขอตัวกลับนั้น ธีต์ดันเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“เมื่อคืนมึงมาส่งกูได้ยังไง” น้ำเสียงสงสัยปนอยู่ในคำถามขณะนั่งเอนกายอยู่บนโซฟา
“ขี่มอไซค์มาสิ”
“คันที่มึงขี่ชนรถกู?”
“เออ แล้วจะทำไม มึงก็ยังตื่นมาสบายดี หรือขี้กากขึ้นก้นมึง?”
“ไอ้กานอย่ามากวนตีนกูแต่เช้า”
“ช่วยไม่ได้ เผื่อคนรวยอย่างมึงคิดแบบนั่นนี่หว่า”
ใบหน้านวลสะบัดไปอีกทาง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมากอดอยู่บนอก ธีต์มองจริตของเด็กเปรตแล้วแทบหลุดขำออกมา ‘มันคิดว่าตัวเองตัวเล็กบอบบางหรืออย่างไรถึงได้ทำท่างอนตุบป่องแบบนั้นออกมา’
“กูแค่สงสัย แล้วเมื่อคืนมึงไปทำงานที่ร้านนั้นเหรอ”
“ก็มีหมาแถวนี้ตามกัดกูจนตกงาน ชีวิตมันก็ต้องหางานใหม่ทำ”
“ถ้ากูเป็นหมา มึงก็หมาแหละ ไม่งั้นจะพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่องเหรอ”
“ไอ้ธีต์!!”
ตะเบ็งเสียงใส่รุ่นพี่จนคอเป็นเอ็น เมื่อถูกอีกฝ่ายยอกย้อนกลับมาว่าเขาเองก็เป็นหมาเหมือนมัน ‘กูตกงานเพราะใครยังมีหน้ามาถามอีกนะมึง’
“พอ ๆ ขี้เกียจจะเถียงกับมึง สรุปมึงทำงานที่ร้านเมื่อคืนว่างั้น”
“เออ!!” ตอบออกไปห้วน ๆ ด้วยความโมโหที่เริ่มปะทุขึ้นมา
“แล้วคนที่มึงชงเหล้าอยู่ด้วย…แฟนมึงเหรอ”
“.....”
“บาร์เทนเดอร์คนนั้น” คนถามเจาะจงไปยังตัวบุคคลที่ตนสงสัย แต่เหมือนเขาจะคิดผิดที่ไปคาดหวังคำตอบดี ๆ จากไอ้เด็กเปรตตรงหน้า เพราะคนอย่างมันไม่เคยจะพูดจากับเขาดีเกินหนึ่งวินาที จนอดสงสัยไม่ได้ว่า มันรอดจากฝ่าตีนแล้วโตมาเป็นควายขนาดนี้ได้ยังไง ก็ดูเอาเถอะคำตอบของมัน
“ไม่เสือกนะครับ”
3 ชั่วโมงต่อมา
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เสียงริงโทนชวนคิดถึงสมัยรุ่นคุณปู่คุณย่าดังออกมาจากโทรศัพท์เครื่องจิ๋วของกานที่กำลังนั่งช่วยไอ้หัวขี้ทำวิจัยอยู่ในห้องนั่งเล่น ฝ่ามือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับเมื่อเห็นว่าปลายสายคือเบอร์ของเพื่อนรัก
“ว่าไงพร้อม”
“มึง วันนี้มึงต้องมาช่วยกูกับไอ้ดลทำงานกลุ่มนะ”
“วันนี้เหรอวะ โทษทีกูลืมไปเลย”
“เออ รีบมา ไม่ลืมนะว่าที่นัดที่ไหน”
“ไม่ลืม ๆ เดี๋ยวกูออกไปหาเลย”
เสียงสัญญาณถูกตัดไปแล้ว กานเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้หัวขี้ ก็พบว่าอีกฝ่ายจ้องหน้าเขาอยู่ด้วยสีหน้าตึง ๆ จึงรีบบอกออกไปก่อนที่มันจะแดกหัวเขาเข้าให้
“มึง คือว่าวันนี้กูต้องไปช่วยเพื่อนทำงานกลุ่มอ่ะ”
“แล้ว?”
“มึงช่วยตัวเองไปก่อนนะเรื่องวิจัย”
“มึงนี่นะ ธุระเยอะกว่าพ่อกูอีกมั้ง”
“เอาหน่า เดี๋ยวกูมาช่วยใหม่วันหลัง นี่มึงต้องขอบคุณกูนะ เมื่อคืนไม่ได้กูมึงได้ตามหาไก่ต้มกินทั้งคืนอยู่ข้างร้านเหล้าแน่ ๆ”
คนฟังเอนตัวลงไปบนโซฟา เขากลอกตามองบนด้วยความระอากับสารพัดเหตุผลที่รุ่นน้องเจ้าเล่ห์มันหยิบยกขึ้นมา แล้วตั้งแต่ตื่นก็ขยันทวงบุญคุณเสียด้วยนะ แดกข้าวต้มเสร็จยังใช้เขาล้างถ้วยให้ มาตอนนี้ขอไม่ใช่ช่วยงานต่ออีก
“เออ ก่อนไปก็อย่าลืมถือข้าวต้มไปกินด้วย มันเหลือกูไม่กินอีกแล้ว ถ้า-”
ธีต์กำลังจะพูดต่อ แต่กลับถูกอีกคนโพล่งสวนขึ้นมาดื้อ ๆ ราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในหัว
“ถ้ามึงไม่เอากลับไป กูก็จะเอาไปทิ้งอยู่ดี มึงจะพูดแบบนี้ใช่ปะ”
ท้ายเสียงกานฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับทำหน้าตาใสซื่อขัดกับรูปร่างจนคนมองเบือนหน้าหนีด้วยความเบื่อหน่าย “แล้วแต่มึงจะคิด แต่กูไม่มีถุงพลาสติกห่อให้มึงหรอกนะ มีแค่กล่องข้าวที่กูไม่ได้ใช้ เลยเอามาห่อไว้ให้” แววตาคมหันไปมองบริเวณโต๊ะในโซนครัวเพื่อบอกให้อีกคนเดินไปหยิบติดมือกลับบ้าน
“ไว้เดี๋ยวกูกินเสร็จจะเอากล่องข้าวมาคืนให้”
“ไม่ต้อง กล่องข้าวธรรมดา ๆ เก็บไว้กูก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี”
“เออ ๆ มึงนี่ไม่ได้ใช้ของเยอะจังนะ ตั้งแต่เสื้อนี่แล้ว”
ฝ่ามือทั้งสองข้างดึงชายเสื้อยืดที่ตัวเองสวมใส่ออกไปตรงหน้าของเจ้าของด้วยท่าทางทะเล้น อย่างกับลูกกำลังโชว์ของเล่นใหม่ให้พ่อดู
“กูมีอีกเยอะ ไว้กูอ้วกใส่มึงคราวหน้าก็เข้าไปเลือกเอา”
“งั้นกูไปละนะ”
“อืม”
กานลุกขึ้นเดินไปเก็บข้าวของส่วนตัวที่แทบจะไม่มีอะไรติดตัวของเขามาเลยนอกจากกุญแจรถและกระเป๋าสะพายใบเก่า ร่างสูงหันกลับมามองรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง เพื่อสำรวจดูว่าตัวเองลืมของไว้ที่ห้องศัตรูหรือเปล่า เพราะเขาไม่อยากกลับขึ้นมาอีกหน แต่เมื่อสายตากวาดมองไปยังพื้นที่เมื่อคืนเคยเป็นเตียงนอนของไอ้หัวขี้ แถมยังเต็มไปด้วยเศษซากของอ้วกมากมาย ร่างกายที่ปกติดีกลับรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาเมื่อภาพเหตุการณ์ของเมื่อคืนพรั่งพรูเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง
“มึงล้างอ้วกเองเหรอ” ถามออกไปเมื่อเห็นว่าตอนนี้พื้นมันสะอาดสะอ้านดีแล้ว แม้จะขมคออยู่ก็ตาม
“เปล่า กูโทรเรียกพนักงานรับจ้างทำความสะอาดขึ้นมาทำก่อนที่มึงจะตื่น จะให้รอแม่บ้านประจำมาช่วงบ่ายกูคงทนไม่ไหว ทำไมมึงคิดว่ากูจะล้างอ้วกตัวเองออกเองรึไง”
ประโยคโกหกยาวเหยียดถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป เขาโกหกในทุกคำที่เพิ่งพูดออกไป เพราะเมื่อเช้าเขาเป็นคนทำความสะอาดกองอ้วกเอง แถมแม่บ้านที่จะเข้ามาทำความสะอาดที่ห้อง ปกติเขาจ้างอยู่แค่คนเดียว ซึ่งเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูกันมา โดยจะเข้ามาดูแลห้องให้เขาทุกเย็นวันอาทิตย์เท่านั้น เพราะต้องคอยดูแลแม่และพ่ออยู่ที่บ้าน
ส่วนเรื่องจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ก่อนนั้น ‘หึ เขาโกหกล้วน ๆ ’
“เออดีวะ เป็นคนรวยนี่ไม่ต้องทำไรเลย”
พูดจบก็เดินตรงไปหยิบกล่องข้าวที่ถูกใส่เอาไว้ในถุงผ้าอีกทีอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกลัวว่าอาหารดี ๆ จะหล่นหลุดมือ เพราะสำหรับไอ้กานแล้ว เขาตายได้ แต่อาหารต้องอยู่ดี แต่ก่อนจะเดินออกจากห้องไปก็ไม่วายหันมาขอบคุณเจ้าของห้อง ตามแบบฉบับของหนุ่มนิติมารยาทดี
“ขอบคุณสำหรับเสื้อมือสองและกล่องข้าวน้อยนะคุณชาย”
คำขอบคุณถูกเปล่งออกมาจากหัวใจของกาน แต่ก็ไม่วายขอจิกกัดอีกฝ่ายให้มันคันหัวใจเล่นสักหน่อย เกิดเป็นคนรวยนี่มันดีจังโว้ยยย ‘ชีวิตนี้ไอ้กานอยากถูกหวยที่อเมริกาสัก 1 พันล้านบาทไทยก็พอ’
“เออ ประตูนี่เปิดออกไปได้เลยไหมมึง เมื่อคืนกูเปิดไม่ออก”
“เปิดได้เลย กูปลดล็อกไว้ให้แล้ว”
ธีต์โชว์หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมา ซึ่งมันแสดงแอพพลิเคชันบางอย่างที่ดูเหมือนเอาไว้ควบคุมการปลดล็อกประตู หน้าต่างภายในห้องแห่งนี้ นั่นทำให้ธีต์เข้าใจว่า การจะเข้าออกจากห้องไอ้หัวขี้ คงมีอยู่สองวิธี หนึ่งเลยคือมันเป็นคนกดรหัสที่หน้าประตู ส่วนของสอง คงเป็นเทคโนโลยีล้ำ ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของมัน ร่างสูงโปร่งเตรียมก้าวขาออกไปจากห้อง แต่ก็ไม่ลืมขอบคุณทิ้งทายอีกครั้ง
“ขอบใจ”
บ้านพร้อมพบ
“มาสักทีไอ้ตัวแสบ หายหัวไปไหนไม่ยอมรับโทรศัพท์กูทั้งคืน”
พร้อมพบเปิดฉากต่อว่าเพื่อนรักทันทีที่เจ้าตัวโผล่หน้ามาให้เขาและไอ้ดลได้เห็น หลังจากเพื่อนไปทำงานคืนแรกแล้วหายไปจากการติดต่อเลย ครั้นจะส่งไลน์ หรือทักข้อความในเฟซบุ๊กไป ไอ้เพื่อนตัวดีก็ไม่เล่นสักอย่าง เพราะโทรศัพท์มันยังเป็นรุ่นปุ่มกดอยู่นั่นเอง
“เมื่อคืนกูโทรหาทั้งคืน นึกว่าถูกอุ้มไปฆ่าที่ไหน”
“ไอ้ดลมึงก็พูดเวอร์ไป”
กานสวนกลับขณะเดินตรงเข้ามาหาเพื่อนรักก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนในบริเวณสวนหลังบ้านของพร้อมพบ สถานที่อันเงียบสงบที่เหมาะกับการใช้ทำงานกลุ่มของคนทั้งสาม
“กูเปล่าเวอร์ พูดไปตามเนื้อผ้าโว้ย” ณดลว่ายิ้ม ๆ
ส่วนคนที่ดูท่าจะอยากรู้เรื่องราวที่ทำงานใหม่ของเพื่อนมากกว่าใครอย่างพร้อมพบก็อดทนรอไม่ไหวจนต้องรีบซักถามต่อ “แล้วทำงานเป็นไงมั้งวะ เพื่อนเฮียกูเขาดุไหม”
“พี่ปูนนะเหรอ ไม่เลยวะ ใจดีมากกกก” เขากดเน้นเสียงในตอนท้ายเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปคือความจริง
“ได้ยินแบบนี้กูค่อยหายห่วงหน่อย”
“เพื่อนพี่มึงดีกับกูมาก มึงอย่าห่วงไปเลย”
สองเพื่อนรักมองตากันเป็นอันว่ารู้ใจ แต่ยังไม่ทันจะได้พากันเริ่มลงมือทำงาน ณดลที่เหลือบมาเห็นเสื้อที่เพื่อนใส่อยู่ถึงกับเบิกตาโต แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเพ่งมองด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง
“ไอ้กานมึงไปเอาเสื้อตัวนี้มาจากไหนวะ ไม่ใช่เสื้อมึงแน่ ๆ”
“เออ ไม่ใช่เสื้อกู เมื่อคืนกูเจอลูกค้าอ้วกใส่เสื้อ เขาเลยให้เสื้อตัวนี้มาเปลี่ยนแทน เห็นบอกว่าเป็นเสื้อมือสอง”
เขาเลือกที่จะตอบออกไปตามความจริง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องมาตามสืบสาวหาความเกี่ยวกับเจ้าของเสื้อที่แท้จริง
“มือสอง?”
“เออดิ เห็นบอกซื้อมือสองมาราคา 200 เองมั้ง ทำไมวะ มึงมองเหมือนเสื้อตัวละสองหมื่น”
“เออดิ ที่มึงใส่อยู่คือบาเลน ตัวละสองหมื่นจริง ๆ”
“!!”
“เออดิ ที่มึงใส่อยู่คือบาเลน ตัวละสองหมื่นจริง ๆ”
“!!”
“กูไม่ได้พูดเล่นกาน เสื้อนี้กูเห็นราคารีเซลทะลุสองหมื่นไปแล้วมั้ง ลูกค้าคนนั้นแม่งใจดีวะ”
ด้วยความที่ณดลชื่นชอบในเรื่องของแบรนด์เนมแม้ว่าตัวเขาจะไม่มีเลยสักชิ้น หากแต่การได้รู้จักลักชูรีแบรนด์ต่าง ๆ มันเป็นเหมือนอีกหนึ่งความชอบที่หลงใหล จนหลายต่อหลายครั้งยังแอบคิดว่าตัวเองน่าจะไปเรียนดีไซน์ไม่ก็แฟชั่น แต่หวยกลับมาออกที่นิติศาสตร์เสียได้
“ของปลอมละมั้ง มึงมองผิดไปแล้วไอ้ดล”
“ของจริงไอ้กาน มึงเชื่อสายตากูได้เลย”
น้ำเสียงหนักแน่น บวกกับสีหน้าท่าทางที่ดูจริงจังของเพื่อน ทำเอาคนที่คิดว่าตัวเองสวมเสื้อยืดราคาไม่แพงถึงกับหน้าถอดสี ในเมื่อเขาถามย้ำกับเจ้าของเสื้ออยู่หลายหนว่าเสื้อไม่แพงแน่นะ ซึ่งคำตอบก็คือใช่ แล้วทำไมจู่ ๆ มันกลายมาเป็นเสื้อยี่ห้อบาลอง บาลังอะไรนี่ได้ แถมราคายังกระโดดขึ้นไปจากที่ไอ้หัวขี้บอกเป็นร้อยเท่า สุดท้ายนึกอะไรไม่ออกจึงได้แต่พึมพำอยู่กับตัวเองเบา ๆ
“จริงเหรอวะ” พูดราวกับคนเพ้อ
“เออ แต่ช่างเถอะ สงสัยลูกค้ามึงเขาจะรวยมากมั้ง ละนี่กินข้าวมาหรือยัง”
“.....”
“ไอ้กาน กูถามว่าแดกข้าวมาหรือยัง”
คราวนี้คนพูดยกระดับเสียงของตัวเองขึ้นจนแทบจะเรียกว่าเป็นการตะโกน ทำเอากานที่กำลังเหม่อ ๆ อยู่ถึงกับสะดุ้ง “วะ ว่าไง”
“แดกข้าวหรือยัง”
ประโยคคำถามเดิมถูกส่งกลับมาอีกครั้ง ณดลมองเลยไปยังเพื่อนรักอีกคนที่ตอนนี้นั่ง งง เป็นไก่ตาแตกกับพฤติกรรมของไอ้กาน
“ข้าวเช้ากินแล้ว มีคนให้ข้าวกูมา มึงกินไหม เขาห่อให้กูด้วย”
กานเอื้อมมือไปหยิบกล่องใส่อาหารที่ไอ้หัวขี้เป็นคนห่อให้เขาขึ้นมาจากถุงผ้า ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงเอามันไปวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเพื่อนรักทั้งสอง เนื่องจากเมื่อเช้าข้าวต้มเหลือบาน ไอ้หัวขี้มันเลยยกแทบทั้งหม้อมาไว้ในกล่องข้าวใบโตนี้ให้ แต่แทนที่ไอ้ดลจะเปิดฝากล่องออกเพื่อดูอาหารข้างในอย่างที่คนนิสัยตะกละอย่างมันชอบทำ อีกฝ่ายกับเอาแต่นั่งจ้องกล่องข้าวไม่วางตา
“เป็นไรวะดล”
กานถามด้วยความสงสัย พร้อมเพ่งมองไปยังกล่องข้าวที่เพื่อนรักกำลังจ้องอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มันก็แค่กล่องข้าวธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ประโยคต่อมาของเพื่อน ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจไปกันใหญ่
“ไหนมึงบอกกูอีกทีสิว่าใครให้กล่องข้าวมึงมา”
“ก็คนที่อ้วกใส่เสื้อกูอะ เขาอยากรับผิดชอบเลยส่งข้าวเช้ามาให้กูที่หอ” ตีหน้าซื่อโป้ปดออกไปอีกคำโต
“รับผิดชอบด้วยการส่งกล่องข้าวของจีจีอันละหลายหมื่น แถมยังหนีบช้อนส้อมแบรนด์เดียวกันมาให้อีกเนี่ยนะ”
คนพูดมองไปยังกล่องข้าวแบรนด์หรู ที่ด้านข้างนั้นมีช่องเสียบช้อนส้อมในแบรนด์เดียวกันมาด้วย หากเขาจำไม่ผิดแค่ช้อนส้อมคู่เดียวก็ราคาร่วม 5 หมื่นกว่า ส่วนกล่องข้าวนั้นแล้วใหญ่ ทั้งเซตนี้ตีต่ำ ๆ เฉียดแสนกันเลยทีเดียว
“ไหนขอกูดูหน่อย”
คราวนี้พร้อมพบเริ่มอยากมีส่วนร่วมบ้าง แม้ว่าบ้านของเขาจะรวยแต่ส่วนตัวเป็นพวกไม่ชอบใช้ของแบรนด์เนมอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยสันทัดในเรื่องราคาและยี่ห้อมากนัก ผิดจากเฮียของเขา รายนั้นเป็นดาราไปไหนมาไหนทีประโคมแบรนด์เนมจนเหมือนช็อปเคลื่อนที่ได้ แววตาใสพยายามมองทุกซอกทุกมุมของกล่องอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแยกไม่ออกอยู่ดีว่ามันคือของจริงหรือของปลอม
“ของจริงปะวะ”
“จริงดิไอ้พร้อม มึงไม่เชื่อสายตากูหรือไง”
“เออ กูเชื่อมึงจ๊ะ ไอ้ดลคนรู้มาก”
สองหนุ่มโต้กลับกันไปมา ท่ามกลางอีกคนที่ตอนนี้นั่งอึ้งคูณสอง ได้แต่เก็บปากเงียบไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ในหัวสมองอันน้อยนิดของไอ้กานตอนนี้กำลังนั่งคิดไปว่าตัวเองควรจะอึ้งกับเรื่องไหนก่อนดี ไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืดมือสองที่เจ้าของบอกว่าราคาหลักร้อย แถมยังยกให้เขาเลยฟรี ๆ หรือจะเป็นเรื่องใหม่ตรงหน้าอย่างกล่องข้าวและช้อนราคาร่วมแสนบาท
‘แสนบาทไทยเลยนะแม่มึง’
“กูฟังราคาแล้วแดกข้าวไม่ลงเลยวะ”
พร้อมพบพูดเสียงเนือย ๆ แต่ก็โดนณดลตอกกลับอย่างไว
“บ้านมึงก็มีของพวกนี้เยอะเถอะไอ้พร้อม มึงแค่ไม่สนใจเอง”
“เนี่ย ตอนแรกก็ไม่สนใจ พอได้ยินราคาแล้วมันคันยุบยิบในหัวใจ แพงฉิบ”
“กูเก็บเงินทั้งชาติยังไม่รู้เลยว่าจะได้ช้อนสักคันไหม คิคิ” ณดลปล่อยเสียงขำออกมาในตอนท้าย
“ฟุ่มเฟือย ช้อนไรก็กินข้าวได้เหมือนกันเถอะ” พร้อมพบเปรียบเปรยออกไปอย่างที่ใจคิด พลางเบนสายตาไปมองตัวต้นเรื่องที่ตอนนี้ใบ้รับประทานไปเป็นที่เรียบร้อย “กาน มึงโอเคไหม” เขาถามเพื่อเช็กว่าเพื่อนยังสบายดีไม่ได้ช็อกไปกับราคาของที่มันเพิ่งได้มา
“สบายดี กินข้าวเถอะ จะได้รีบทำงาน”
“แล้วเย็นนี้มึงต้องไปทำงานร้านเพื่อนเฮียกูอีกไหม”
“ไปดิ”
“โอเคงั้นรีบทำงานเถอะ มึงจะได้มีเวลาไปพักสักหน่อยก่อนเริ่มงาน”
“อืม”
เสียงตอบรับเบา ๆ ดังออกมาจากลำคอ แม้ว่าเขาอยากจะถามเพื่อนให้มั่นใจเกี่ยวกับราคาข้าวของที่ได้มาจากไอ้หัวขี้ แต่ครั้นจะถามออกไปตรง ๆ ก็กลัวว่าเพื่อนจะซักต่อว่าแขกที่ให้เขามาเป็นใคร
ตอนนี้เขาเริ่มหวั่นใจว่ามันให้ของแพง ๆ มาแบบนี้ต้องการอะไรแอบแฝงจากเขาหรือเปล่า มันไม่มีคนปกติดีที่ไหนเอาของราคาแพงหูฉี่มาให้คนอื่นง่าย ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนหรอกนะ หากเขารู้สักนิดว่าของแต่ละอย่างราคาเวอร์แบบนี้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรไอ้กานก็จะไม่หยิบออกมา สู้ให้เขาใส่เสื้อเปื้อนอ้วกยังจะดีเสียกว่า
‘ใจเริ่มไม่ดี ไอ้หัวขี้มันต้องวางแผนเล่นงานเขาอยู่แน่ ๆ ’
อีกด้าน
“คุณธีต์ค่ะ ชุดเปื้อนอ้วกในห้องน้ำป้าเอาไปซักให้เลยนะคะ”
ป้านวลที่พ่วงตำแหน่งแม่นมประจำตัวของธีต์เอ่ยถามขึ้น หลังจากช่วงบ่ายมานี้เธอจัดการทำความสะอาดห้องต่าง ๆ ภายในคอนโดของชายหนุ่ม แต่เมื่อมาถึงโซนห้องน้ำ กลับพบว่ามันมีเสื้อเปื้อนอ้วกวางอยู่ในตะกร้า จึงจะเอาไปทำความสะอาดให้ตามหน้าที่
ส่วนเจ้าของห้องตัวจริงตอนนี้กำลังนั่งไถฟีดเช็กราคารถยนต์นำเข้าอยู่บนโซฟา ธีต์ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วรีบตอบกลับในทันที “ไม่ต้องครับป้า เดี๋ยวผมซักเอง ป้านวลทำอย่างอื่นเถอะนะครับ”
“แต่ว่ามันสกปรกนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ธีต์อยากซักเอง”
เขาปรายตามองไปยังเสื้อยืดของไอ้เด็กเปรตที่ป้านวลหยิบออกมาจากห้องน้ำ สภาพที่มองจากสายตานั้นแทบไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งหากเป็นเสื้อของเขา แม้จะราคาแพงแค่ไหน สัญญาได้เลยว่า อ้วกใส่หนึ่งครั้งเท่ากับทิ้ง
“ให้ป้าซักให้ดีกว่าค่ะ จะได้สะอาด ๆ”
“ธีต์ขอซักเองดีกว่าครับป้านวล พอดีเป็นเสื้อของเพื่อนครับ”
“เอาอย่างนั้นเหรอคะ”
“ครับผม ป้านวลไปทำอย่างอื่นเถอะนะครับ เนี่ยธีต์หิวข้าวมาก วันนี้ป้านวลอยู่ทำมื้อค่ำให้ธีต์กินหน่อยได้ไหมครับ”
พูดออกไปด้วยเสียงและท่าทางที่ออดอ้อนจนคนแก่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คุณธีต์ในสายตาของป้านวลก็ยังคงเป็นเด็กชายธีต์ตัวเล็กของหล่อนเสมอมา เพราะในยามที่เจ้านายน้อยหิวเมื่อไหร่มักจะทำหน้าอ้อนแบบนี้อยู่เป็นประจำ
“ได้เลยค่ะ งั้นป้าไปเตรียมมื้อค่ำให้เลยนะคะ”
“ธีต์รักป้านวลที่สุดเลยครับ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงปรี่เข้าไปสวมกอดร่างอ้วนท้วมของหญิงวัยกลางคนที่เขารักไม่ต่างจากแม่อีกคน ป้านวลคือคนที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าอยู่กับเขามากกว่าแม่และพ่อที่วัน ๆ วุ่นอยู่แต่กับเรื่องงานเสียอีก อ้อมแขนแกร่งโอบกระชับขึ้น ซึ่งป้านวลก็กอดตอบแม้ว่าในมือจะถือเสื้อเปื้อนอ้วกอยู่ก็ตาม
“โตแล้วนะคะ มากอดป้าแบบนี้ไม่กลัวสาว ๆ เข้ามาเห็นหรือไง” ได้ทีเลยเอ่ยแซวออกไป
“สาว ๆ ที่ไหนไม่มีหรอกครับ ถ้าหนุ่ม ๆ ก็ว่าไปอย่าง”
ธีต์ผละออกจากการกอดแล้วส่งยิ้มกว้างให้ป้านวล พลันในหัวของเขาก็นึกไปถึงใบหน้าของหนุ่ม ๆ ที่จะเป็นใครไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ ‘ไอ้เด็กเปรต’ ที่เจอหน้าเขาทีไรเป็นอันต้องกัดกันทุกที
…ทำไมหน้ากวนตีนของมันถึงตามหลอกหลอนเขาไปทุกที่ได้ขนาดนี้กันนะ
“ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ
“ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ
ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่
“กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่
“คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ
โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ




![What is a divorce? [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


