เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ
“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”
“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”
“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”
จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”
“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ย
จ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”
อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อากาศก็ไม่ถ่ายเท ถ้าต้องคุกเข่าถึงสองชั่วยาม เกรงว่าน้องสาวทั้งสองของเจ้าคงมีอันต้องล้มหมอนนอนเสื่อเป็นแน่”
“พูดราวกับว่าเป็นห่วงสองคนนั้น นี่ท่านล้อข้าเล่นหรือไร” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ
“ใครว่า ข้าเป็นห่วงอินเอ๋อร์ผู้นี้ต่างหาก ลองตรองดูเถิด ถ้าหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ผู้คนก็จะมองว่าท่านหญิงกุ้ยอินรังแกบุตรอนุชายา ข้าไม่อยากให้ชื่อเสียงดีงามที่เจ้าสั่งสมมาต้องด่างพร้อยเพราะสามแม่ลูกนั่น” อวี้หรูเหรินกล่าวพลางส่ายศีรษะเบา ๆ
เมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผล จ้าวกุ้ยอินก็นิ่งคิดครู่หนึ่ง
แม้นางจะเคยสั่งลงโทษบุตรสาวลูกอนุชายาที่ทำตัวไม่เหมาะสมบ้าง แต่ก็ไม่ใช่โทษร้ายแรงอะไร ทว่าคราวนี้กลับให้สองพี่น้องนั่งคุกเข่านานถึงสองชั่วยาม อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่บุรุษก็แทบจะทนความทรมานไม่ไหว และหากพวกนางเกิดบาดเจ็บ มีหรือที่เจียงอิ่งซื่อจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ สตรีผู้นั้นไม่ต่างกับนางจิ้งจอก สุดท้ายแล้วละครฉากนี้ก็จะจบลงด้วยการที่ผู้คนเล่าลือว่าท่านหญิงกุ้ยอินเป็นคนร้ายกาจ รังแกบุตรสาวที่เกิดจากอนุชายาจนล้มหมอนนอนเสื่อ
เดิมทีปัญหาที่กำลังเผชิญก็มากพออยู่แล้ว หากยังเพิ่มเสียงเล่าลือในความร้ายกาจของตนเองออกไปอีก คงมีแต่ทำให้ผู้เป็นบิดาอับอาย
“ชิวสุ่ย เจ้าไปบอกผู้คุมกฎว่าข้ามีเมตตาให้หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์เลิกคุกเข่าได้ แต่พวกนางต้องกลับไปคัดบัญญัติสตรีคนละหนึ่งร้อยจบ หากไม่ตั้งใจเขียนให้ดี หรือทำไม่เสร็จก็ห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนเป็นอันขาด”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อรับคำสั่งเรียบร้อยแล้วชิวสุ่ยก็เดินออกจากห้องไปทันที แต่ตนเองยังคงโกรธเคืองคุณหนูทั้งสองที่บังอาจพูดจาเยี่ยงนั้นกับท่านหญิง จึงเดินช้าเสียยิ่งกว่าช้า หวังต่อเวลาให้พวกนางทรมานหัวเข่าอีกสักหน่อย
พอคนออกไปแล้ว จ้าวกุ้ยอินก็หันกลับมาพูดคุยกับอวี้หรูเหริน ความจริงนางมีเรื่องไต่ถามอีกฝ่ายมากมาย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องก็แทบจะไม่ได้รับข่าวสารจากภายนอกเลย คิดว่าหากได้รู้สถานการณ์ในปัจจุบัน บางทีอาจจะหาทางคลายความวิตกกังวลของตนเองได้บ้าง
แล้วก็เป็นดั่งที่คิด ยามนี้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันพูดเรื่องถึงท่านหญิงกุ้ยอินช่วยชีวิตฉินอ๋องจนได้รับบาดเจ็บ พวกเขาเล่าลือกันไปว่าอีกไม่นานฉินอ๋องคงได้รับชายารองเพิ่ม
แต่ใครจะล่วงรู้เล่าว่ามู่เลี่ยงหรงปิดประตูจวนฉินใส่หน้านางดังโครม!
ครั้นเห็นคิ้วเรียวขมวดเป็นปม อวี้หรูเหรินก็อดสงสารจ้าวกุ้ยอินไม่ได้ อย่างไรก็เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก แม้จะไม่ใช่สายเลือดก็เหมือนใช่ ไหนเลยจะไม่เจ็บปวดใจแทน
“อินเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ก่อน ทุกอย่างล้วนมีทางแก้ไข ยามนี้ทุกคนคิดว่าอาการของเจ้ายังไม่หายดี จึงยังไร้ข่าวงานมงคล ข้ามั่นใจว่าท่านอ๋องจะต้องหาทางทำให้ฉินอ๋องรับผิดชอบเจ้าได้แน่”
จ้าวกุ้ยอินรู้สึกถึงความห่วงใยจากกระแสเสียงนั้น ทว่านางไม่อาจหลอกตนเอง
“อินเอ๋อร์ซาบซึ้งจริง ๆ ที่หรูเหรินปลอบโยน แต่ความจริงก็คือความจริง ยามนี้เป็นท่านพ่อต่างหากที่กำลังถูกญาติผู้พี่บีบคั้น เขาเป็นคนฉลาด ยิ่งได้กุนซือผมเงินพี่ชายของเยี่ยนเยว่ฉีมาเป็นที่ปรึกษาด้วยแล้ว ไหนเลยจะยอมตกกระไดพลอยโจนรับข้าเข้าจวนฉินง่าย ๆ เล่า”
“บีบคั้นหรือ?”
“การที่ญาติผู้พี่ประกาศความสงสัยในตัวข้าต่อไทเฮา ก็มีเหตุผลอยู่ หนึ่งเพื่อกันพระนางออกไป สองเพื่อกดดันให้ท่านพ่อเอ่ยออกมาเอง ว่าไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบด้วยการแต่งข้าเข้าจวนฉิน” เมื่อเห็นความไม่เข้าใจปรากฏเต็มดวงหน้าของคู่สนทนา จ้าวกุ้ยอินจึงไขความกระจ่างให้
พอพูดมาถึงตรงนี้ อวี้หรูเหรินเหมือนเดินออกจากม่านหมอก นางเห็นเจตนาของมู่เลี่ยงหรงอย่างชัดแจ้ง
ตามปกติฉินอ๋องจะต้องแสดงความรับผิดชอบออกมาแล้ว แต่ที่ยังเงียบอยู่เยี่ยงนี้ เพราะต้องการให้ผู้คนเกิดความคลางแคลงต่อจ้าวกุ้ยอิน
เมื่อมีคนสงสัยก็จะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สตรีดี ๆ นางหนึ่งต้องถูกคนทั้งเมืองหลวงนำไปพูดถึงอย่างสนุกปาก ไหนเลยจะมีหน้าออกไปพบผู้ใดได้อีก
การทำให้ชื่อเสียงดีงามของสตรีต้องด่างพร้อย เท่ากับทำลายนางทั้งชีวิต
“ช่างร้ายนัก อินเอ๋อร์ของเราไปทำอะไรให้เขากัน” น้ำเสียงของอวี้หรูเหรินเต็มไปด้วยโทสะ นางแทบอยากจะเผาจวนฉินอ๋องให้ไหม้เป็นจุณ ไม่คิดเลยว่าบุรุษที่ใคร ๆ ต่างยกย่อง ที่แท้เป็นคนไม่รู้ดีชั่ว คิดแผนสกปรกป้ายสีผู้บริสุทธิ์เยี่ยงนี้
“ท่านอย่าโกรธไปเลย จริง ๆ แล้วญาติผู้พี่นับว่าเป็นคนมีน้ำใจ อุตส่าห์เหลือทางถอยไว้ให้ข้า”
“ทางถอยอันใดกัน ถึงขนาดนี้แล้วเจ้าก็ยัง... หึ!” อวี้หรูเหรินโกรธจนควันออกหู มีที่ไหนคนเขาร้ายกาจกับตัวขนาดนั้น ยังจะพูดได้อีกว่ามีน้ำใจ
ก่อนจะถึงวันครบรอบแต่งงาน เยี่ยนหยางจงก็หว่านล้อมจ้าวกุ้ยอินให้ออกมามาล่องเรือเล่นกับเขาได้สำเร็จทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของเมืองหลวง รอบ ๆ เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานา ทำให้ทัศนียภาพแปลเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูเนื่องจากยามนี้เป็นปลายฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงเย็นสบายกำลังดีจ้าวกุ้ยอินนั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ สองสายตามองตรงไปยังท้องน้ำที่เปล่งประกายยามต้องแสงอาทิตย์ แม้จะฉากหลังจะงดงามราวภาพวาด ทว่าดวงหน้างามปานล่มเมืองกลับหม่นเศร้า แววตาที่เคยเด็ดเดี่ยวดังนางม้าป่าดูซึมเซาจนเยี่ยนหยางจงสะท้อนใจโดยปกติ สำหรับผู้สูงศักดิ์ บ่าวไพร่มีค่าไม่ต่างจากมดปลวก เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองพรากชิวสุยไปจากจ้าวกุ้ยอิน จะสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้นางขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากจวนจนถึงตอนนี้ จ้าวกุ้ยอินพูดกับเขานับคำได้ หากตนเองยังไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าหยางจงน้อยคงจะไม่ได้เกิดเป็นแน่ครั้นแล้วเยี่ยนหยางจงก็ออกแรงพายเรือให้เร็วขึ้นอีก จนกระทั่งพวกเขาออกมาไกลจากเรือลำอื่น ๆจ้าวกุ้ยอินเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างคิดไม่ตก นางเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนลึกไม่อาจให้อภัยตนเองได้ เพราะถ้าชิวสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไปบอกกับมารดาว่าจ้าวกุ้ยอินสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว ขอเพียงเยี่ยนหยางจงขยันหว่านเมล็ดพันธุ์ นางจะต้องตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ไป๋หลันได้ยินดังนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง ถึงกับยกเลิกการคารวะยามเช้า และส่งของบำรุงทั้งหลายแหล่มาให้ ยามนี้จ้าวกุ้ยอินจึงดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลยิ่งกว่าที่เคยเนื่องจากสถานการณ์สงบแล้ว จ้าวกุ้ยอินจึงมีใจอยากออกไปพบปะผู้คนบ้าง เยี่ยนหยางจงมิได้มีปัญหา แต่ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงสั่งให้ฟางหรู หนิงเหอ จิวซิน และอวิ้นเซียนติดตามไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงของจวนใด ภาพที่ผู้อื่นคุ้นชินคือขบวนของฮูหยินซื่อจื่อไคกั๋วกง ยิ่งเห็นจ้าวกุ้ยอินปฏิบัติกับเหล่าอนุอย่างดี อีกทั้งสายตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบยิ่ง ทำให้ชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างของจ้าวกุ้ยอินระบือไกล โดยหารู้ไม่ว่าสตรีทั้งสี่เป็นเพียงอนุแค่ในนาม แท้จริงแล้วพวกนางสี่คนคือองครักษ์หญิงที่เยี่ยนหยางจงกับจ้าวอ๋องจัดหามาให้ และทุกครั้งที่เขาไปหาพวกนาง ก็เป็นเพียงฉากบังหน้า แต่แท้ที่จริงลอบออกไปทำภารกิจลับยามราตรีต่างหากสตรีผู้เดียวที่เยี่ยนหยางจงร่วมเรียงเคียงหมอนก็คือจ้า
“นั่นเพราะสวรรค์สร้างให้พี่ชายข้าเกิดมาเป็นคนพิเศษอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณใกล้เคียงจุดนี้มาก่อน ทำให้รู้ว่าหัวใจของพี่ชายอยู่ทางอกด้านขวา ดังนั้นยามเห็นปิ่นปักอยู่ทางอกซ้ายจึงยังใจเย็นอยู่ได้“หากเจ้ารู้อาการดีก็ควรรีบบอก แกล้งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแต่กุ้ยอินที่ใจเสีย พวกข้าเองก็ไม่ต่างกัน” จ้าวเฟิงเหล่ยถอนใจเบา ๆ“จวิ้นอ๋อง อย่าทำหน้าแบบนั้น นางสิผิดที่ไม่ฟังอะไรเลย จู่ ๆ ก็มาตีโพยตีพายใส่พวกเราโดยไม่นึกถึงความผิดตัวเองสักนิด อย่างไรก็ปล่อยให้ข้าได้ล้างแค้นเสียหน่อยเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงหาเหตุผลให้การกระทำของตนเองได้สำเร็จภายในห้อง“อาจง อาจง” จ้าวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้างเตียงที่มีเยี่ยนหยางจงนอนเหยียดยาวอยู่ ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ นางพึมพำเสียงเครือขณะที่ลูบใบหน้าคร้ามคมที่ดูเผือดเซียวเล็กน้อย “ท่านเจ็บมากหรือไม่ ขอโทษนะที่ข้า...”“อินเอ๋อร์... พอเถิด ร้องไห้จนตาแดงช้ำไปหมดแล้ว” เยี่ยนหยางจงว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ “แต่ก็ เพราะเสียงด่าเสียงร้องไห้ของเจ้า ทำให้ยมทูตต่างยอมล่าถอย ไม่ยอมมารับดวงวิญญาณของข้าไป
เยี่ยนจิ้นหลิงสูดลมหายใจลึก รู้ว่าประโยคต่อจากนี้ไม่ต่างจากเอาน้ำเกลือราดรดลงบนแผล แต่ก็ตัดสินใจพูดไป “ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเพราะท่านที่รนหาที่ พี่ใหญ่จึงต้องบาดเจ็บเช่นนี้”จ้าวกุ้ยอินเมื่อได้ยินเช่นนั้นประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายเอนซวนซบเข้ากับเสาอย่างหาที่พึ่งพิง “รนหาที่หรือ? ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าภาพของอู๋หมิงกงจื่อที่นำมาประมูล เป็นภาพเดียวกันกับที่ข้าพบในห้องหนังสือของเขาหรือไม่เท่านั้น... เพียงเท่านั้น”“อู๋หมิงกงจื่อ... อู๋หมิงกงจื่อ ถ้าท่านพอใจในผลงาน ไฉนจึงไม่ขอกับพี่ใหญ่เล่า เขาใช้เวลาไม่นานก็วาดให้ท่านได้ จะเอากี่สิบกี่ร้อยภาพก็ตามแต่ใจท่าน... สวรรค์... ท่านกลับทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เองหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” เยี่ยนจิ้นหลิงได้ยินเช่นนั้นพลันส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาเดินมาใกล้กับจ้าวกุ้ยอิน มองใบหน้างดงามที่เผือดซีดราวกระดาษวาดภาพ“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” จ้าวกุ้ยอินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องเขยของตน ดวงตากลมโตวาววับดังเนื้อทรายนั้นระคนด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง “พี่สะใภ้ ดูท่าพี่ใหญ่คงไม
“อะไรนะ จ้าวกุ้ยอิน เจ้า... เจ้ากล้าหลอกเปิ่นหวาง” เส้นเลือดตรงขมับของมู่เฟยหรงเต้นตุบ ๆ ยามนี้เขารู้สึกเหมือนมีคำว่าโง่ บรมโง่ ติดอยู่กลางหน้าผาก ถ้าไม่เพราะกลัวหนอนกู่จะกัดกินร่าง เขาคงหลบหนีได้ทัน“นี่พวกเจ้าจะยืนเฉยอีกนานไหม ถ้ายังมัวชักช้า อาจง... อาจงอาจจะตายก็ได้นะ” จ้าวกุ้ยอินไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของมู่เฟยหรง แต่หันไปมองมู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนจิ้นหลิงแทน“ขออภัย เปิ่นหวางนึกว่าเขาตายแล้ว” ตอนมู่เลี่ยงหรงเข้ามา เห็นปิ่นเงินปักอยู่ตรงอกด้านซ้ายของเยี่ยนหยางจง ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะรอดแล้ว จึงละเลยพี่ภรรยาไป แต่พอรู้ว่าเขายังไม่ตาย ก็บังเกิดความละอายใจเล็กน้อยบรรพบุรุษเจ้าสิตาย! จ้าวกุ้ยอินมองมู่เลี่ยงหรงด้วยดวงตาแดงก่ำ สาปแช่งบรรพบุรุษตระกูลมู่ในใจไม่หยุด “เขายังไม่ตายสักหน่อย”“เด็ก ๆ พาแม่ทัพไป๋หู่กลับจวนไคกั๋วกง” สิ้นคำสั่งของฉินอ๋อง เหล่าองครักษ์ก็จัดการนำร่างของเยี่ยนหยางจงออกไปจากที่นั่น โดยมีจ้าวกุ้ยอินร้องไห้วิ่งตามไปบทส่งท้าย ชั่วยามนี้ จวนไคกั๋วกงเต็มไปด้วยความร้อนรนอลหม่าน หลังจากซื่อจื่อของจวนกลับมาพร้อมกับฮูหยินน้อยที่หายตัวไปในสภาพที่มีแผลฉกรรจ์ตรงหน้าอก อาการเ
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” มู่เฟยหรงไม่เข้าใจว่าเยี่ยนจิ้นหลิงตามมาถูกได้อย่างไร ความจริงพวกเขาควรจะตามไปจัดการกับเอี้ยนอ๋องที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงสิ ทำไมถึงมาที่นี่ หรือว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ จิ้นหลิงเพิ่งรู้ว่าเครื่องประดับมากมายเหล่านั้นก็มีประโยชน์อย่างอื่นด้วย” ระหว่างตามรอยเยี่ยนหยางจง เยี่ยนจิ้นหลิงพบจิงจิงวิ่งอยู่บนพื้นหิมะ จึงได้รับสารขอความช่วยเหลือ“เจ้าพบจิงจิงสินะ” จ้าวกุ้ยอินเข้าใจในทันที“พี่สะใภ้เข้าใจเล่นคำ ‘ตามจิงจิง(อัญมณีแวววาว)มา’ หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้กระรอกนำทาง แต่บังเอิญเป็นจิ้นหลิงที่ได้รับสารจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่” ภาพอัญมณีสะท้อนแสงคบไฟในความมืดเป็นระยะผุดขึ้นในความทรงจำ ยามนี้เขายอมรับแล้วว่าพี่สะใภ้มิใช่ที่มีดีแค่ความเป็นหญิงงาม สติปัญญาของนางยังอยู่ในระดับใช้ได้อีกด้วย“ไว้ชมกันทีหลัง รีบพาอาจงไปรักษาเร็วเข้า” จ้าวกุ้ยอินเร่งเร้า“ย่อมได้” เยี่ยนจิ้นหลิงรับคำ แล้วหันไปหามู่เฟยหรง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “หานอ๋อง ท่านหนีไม่รอดแล้วล่ะ ยอมกลับวังหลวงดี ๆ เถิด จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บอีก จิ