จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวา
หลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ
“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
อวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ
“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”
“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”
“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”
“พวกนางสองคนเคยได้รับความยากลำบากที่ไหน ทั้งยังบอบบางถึงเพียงนั้น หากต้องคุกเข่าอยู่ในห้องมืดทึบเป็นเวลานานอาจจะป่วยไข้ได้นะเจ้าคะ พี่สาว...ที่ผ่านมาท่านหญิงก็รับฟังท่านเสมอ ได้โปรดออกหน้าช่วยเหลือแทนน้องสาวสักครั้งเถิด” เจียงอิ่งซื่อวิงวอน น้ำตานอง ดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
“ตอนนี้ท่านหญิงคงยังมีโทสะอยู่ หากข้าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า...” อวี้หรูเหรินทำอึกอัก เผยสีหน้าลำบากใจ
“หมายความว่าท่านจะไม่ช่วยพวกนางหรือ”
“ไม่ใช่ไม่ช่วย เพียงแต่นี่เป็นคำสั่งของท่านหญิง ข้าเองก็ไม่อาจก้าวล่วง”
พอได้ยินดังนั้นเจียงอิ้งซื่อยิ่งร้องห่มร้องไห้ปานใจจะขาด อวี้หรูเหรินได้ยินเสียงโหยหวนของนางก็รู้สึกปวดหัว ยามนี้คิดเพียงจะไล่คนกลับไป
“เอาเป็นว่าอีกสักพักข้าจะลองพูดกับท่านหญิงให้ น้องสาว เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด”
“ขอบพระคุณพี่สาวมากเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื่อยิ้มทั้งน้ำตา ทำให้นางดูคล้ายบุปผาต้องหยาดพิรุณ หากจ้าวอ๋องได้มาเห็นท่าทางเช่นนี้ของชายารองคนโปรดคงปวดใจไม่น้อย
แต่คนที่เห็นคืออวี้หรูเหริน ภาพตรงหน้าจึงสร้างความเดียดฉันท์เสียมากกว่า
เมื่อเจ้านายทำท่าจะลุกขึ้น สาวใช้ที่ติดตามเจียงอิ้งซื่อจึงเข้ามาประคองร่างบอบบางที่กำลังโงนเงน เมื่อยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็พากันเดินออกไป
ความสงบกลับมาสู่เรือนเหลียนฮวาอีกครั้ง
ชิวเหมยสาวใช้คนสนิทของอวี้หรูเหรินรีบกุลีกุจอรินน้ำชาแล้วส่งให้นายหญิงทันที พอได้จิบชาสองสามอึกใบหน้าเจ้าของเรือนจึงดูผ่อนคลายลง
อวี้หรูเหรินยกมือขึ้นคลึงขมับเบา ๆ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบออกมา “ไปเรือนอิงฮวา” สิ้นคำก็ลุกขึ้นจากตั่ง แล้วเยื้องกรายไปทางประตู
“หรูเหรินจะไปพูดกับท่านหญิงกุ้ยอินให้ปล่อยคุณหนูรองกับคุณหนูสามจริง ๆ หรือเจ้าค่ะ” ชิวเหมยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไป หากรับปากแล้วไม่ทำข้าก็เสียคนน่ะสิ” อวี้หรูเหรินตอบพลางยิ้มน้อย ๆ
“หรูเหรินคิดจะออกหน้าให้พวกนางจริง ๆ หรือ” ชิวเหมยไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
อวี้หรูเหรินหัวเราะเบา ๆ แต่มิได้ตอบคำถาม ถึงความจริงนางจะไม่ชอบเจียงอิ้งซื่อกับบุตรสาวทั้งสอง หากแต่สตรีผู้นั้นเป็นที่โปรดปรานของจ้าวอ๋อง ถ้าวันนี้ตนเองไม่ทำสิ่งใดเลยก็เท่ากับเปิดทางให้อีกฝ่ายมีเรื่องโจมตี ตอนนี้อำนาจบริหารจัดการเรือนหลังอยู่ในมือก็จริง แต่สถานะยังคงเป็นเพียงหรูเหรินมิใช่หวางเฟย ซ้ำร้ายนางยังไม่มีบุตรให้จ้าวอ๋องแม้แต่คนเดียว ที่ทุกวันนี้ยังรักษาอำนาจไว้ได้เป็นเพราะจ้าวเฟิงเหลยกับจ้าวกุ้ยอินหนุนหลังอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนต้องระมัดระวัง มิเช่นนั้นอาจจะถูกลิดรอนอำนาจไปให้เหล่าชายารองคนอื่น ๆ
ขอเพียงเหล่าทายาทของอดีตหวางเฟยให้ความสำคัญ นางก็จะอยู่อย่างมั่นคงและปลอดภัย
ผู้อื่นอย่าหมายว่าจะได้เหยียบหัวนางขึ้นไป!
เรือนอิงฮวา
เจ้ากุ้ยอินนั่งอยู่บนตั่ง นัยน์ตานิ่งลึกปกคลุมไปด้วยไอหมอก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด แต่หากเป็นในยามปกติ เหล่านางกำนัลคนสนิทและแม่นมจางจะปล่อยให้นายหญิงมีเวลาส่วนตัว พวกนางต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ มีเพียงชิวสุ่ยที่ยืนรอปรนนิบัติเจ้านายอยู่เงียบ ๆ
เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตจนแทบตั้งรับไม่ทัน จ้าวกุ้ยอินหงุดหงิดเล็กน้อยที่ตนเองเผยจุดอ่อนจนทำให้น้องสาวต่างมารดาสบช่องเย้ยหยัน แม้จะสั่งลงโทษไปแล้ว แต่พอคิดว่าในสายตาผู้อื่นนางน่าสมเพชเพียงใด ภายในหัวใจก็ไม่ยอมสงบ
สำหรับสตรีผู้หนึ่ง ชื่อเสียงดีงามนั้นเป็นสิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้ยิ่งชีพ หากเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ย่อมถูกประณามหยามหมิ่นไปจนชั่วชีวิต นางพลาดตำแหน่งฉินหวางเฟย ก็ยังพออ้างได้ว่ามู่เลี่ยงหรงต้องแต่งงานกับบุตรีไคกั๋วกงเพราะอำนาจทางการทหารของอีกฝ่าย นางมิได้ด่างพร้อย มีแต่คนเห็นใจด้วยซ้ำที่ต้องแคล้วคลาดจากคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1]
แต่เหตุลอบสังหารที่โรงละครเป่าเอินนั้นแตกต่างออกไป เรื่องที่นางใช้ร่างต่างโล่กันธนูให้ฉินอ๋องย่อมถูกเล่าลือไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์การลักษณะนี้ขึ้น ฝ่ายชายต้องแสดงความรับผิดชอบโดยการตบแต่งสตรีนางนั้น ทว่าบุรุษใจหินอย่างฉินอ๋องก็ยังสามารถหาเรื่องบอกปัดได้อยู่ดี และคงไม่มีเหตุผลอะไรจะดีไปกว่า การตั้งข้อสงสัยว่านางอาจเป็นผู้ว่าจ้างคนร้ายบนขื่อ
นี่มันข้อหาลอบสังหารผู้แทนพระองค์เชียวนะ!
มู่เลี่ยงหรงท่านอยากให้ข้าตายไปเลยหรือไร?
ถึงมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมาย แต่มีหรือที่นางจะไม่เข้าใจเจตนาอันแท้จริงของอีกฝ่าย...
แม้มู่เลี่ยงหรงรับปากกับบิดาว่าจะสืบสวนข้อกล่าวหาเหล่านั้นในทางลับ แต่หากไม่มีงานมงคลภายในเร็ว ๆ นี้ ผู้อื่นย่อมเกิดความสงสัยว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล สุดท้ายคนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงย่อมเป็นนาง
สำหรับสตรีผู้หนึ่ง ถ้าต้องอยู่อย่างอัปยศ มิสู้สิ้นชีวิตไปเสียดีกว่า
พอคิดมาถึงตรงนี้ นางกลับนึกเสียใจที่ตนเองรอดตายมาได้...
ชั่วขณะที่จ้าวกุ้ยอินกำลังอยู่ในห้วงคำนึง อวี้หรูเหรินก็เดินทางมาถึงเรือนอิงฮวาพอดี ชิวอิงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูพลันส่งเสียงว่ามีผู้มาเยือน
จ้าวกุ้ยอินได้สติคืนมา นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวอนุญาต
อวี้หรูเหรินเดินเข้ามานั่งลงบนตั่งด้านข้าง ใบหน้าของนางอาบรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนที่ทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความสบายใจ
“อินเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงอ่อนหวานเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ขอบคุณหรูเหรินที่เป็นห่วง อาการของอินเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ชิวสุ่ยก็พาไปนอนเล่นที่ในสวน เพิ่งจะกลับเข้าเรือนเมื่อครู่นี่เอง”
ก่อนจะถึงวันครบรอบแต่งงาน เยี่ยนหยางจงก็หว่านล้อมจ้าวกุ้ยอินให้ออกมามาล่องเรือเล่นกับเขาได้สำเร็จทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของเมืองหลวง รอบ ๆ เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานา ทำให้ทัศนียภาพแปลเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูเนื่องจากยามนี้เป็นปลายฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงเย็นสบายกำลังดีจ้าวกุ้ยอินนั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ สองสายตามองตรงไปยังท้องน้ำที่เปล่งประกายยามต้องแสงอาทิตย์ แม้จะฉากหลังจะงดงามราวภาพวาด ทว่าดวงหน้างามปานล่มเมืองกลับหม่นเศร้า แววตาที่เคยเด็ดเดี่ยวดังนางม้าป่าดูซึมเซาจนเยี่ยนหยางจงสะท้อนใจโดยปกติ สำหรับผู้สูงศักดิ์ บ่าวไพร่มีค่าไม่ต่างจากมดปลวก เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองพรากชิวสุยไปจากจ้าวกุ้ยอิน จะสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้นางขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากจวนจนถึงตอนนี้ จ้าวกุ้ยอินพูดกับเขานับคำได้ หากตนเองยังไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าหยางจงน้อยคงจะไม่ได้เกิดเป็นแน่ครั้นแล้วเยี่ยนหยางจงก็ออกแรงพายเรือให้เร็วขึ้นอีก จนกระทั่งพวกเขาออกมาไกลจากเรือลำอื่น ๆจ้าวกุ้ยอินเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างคิดไม่ตก นางเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนลึกไม่อาจให้อภัยตนเองได้ เพราะถ้าชิวสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไปบอกกับมารดาว่าจ้าวกุ้ยอินสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว ขอเพียงเยี่ยนหยางจงขยันหว่านเมล็ดพันธุ์ นางจะต้องตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ไป๋หลันได้ยินดังนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง ถึงกับยกเลิกการคารวะยามเช้า และส่งของบำรุงทั้งหลายแหล่มาให้ ยามนี้จ้าวกุ้ยอินจึงดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลยิ่งกว่าที่เคยเนื่องจากสถานการณ์สงบแล้ว จ้าวกุ้ยอินจึงมีใจอยากออกไปพบปะผู้คนบ้าง เยี่ยนหยางจงมิได้มีปัญหา แต่ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงสั่งให้ฟางหรู หนิงเหอ จิวซิน และอวิ้นเซียนติดตามไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงของจวนใด ภาพที่ผู้อื่นคุ้นชินคือขบวนของฮูหยินซื่อจื่อไคกั๋วกง ยิ่งเห็นจ้าวกุ้ยอินปฏิบัติกับเหล่าอนุอย่างดี อีกทั้งสายตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบยิ่ง ทำให้ชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างของจ้าวกุ้ยอินระบือไกล โดยหารู้ไม่ว่าสตรีทั้งสี่เป็นเพียงอนุแค่ในนาม แท้จริงแล้วพวกนางสี่คนคือองครักษ์หญิงที่เยี่ยนหยางจงกับจ้าวอ๋องจัดหามาให้ และทุกครั้งที่เขาไปหาพวกนาง ก็เป็นเพียงฉากบังหน้า แต่แท้ที่จริงลอบออกไปทำภารกิจลับยามราตรีต่างหากสตรีผู้เดียวที่เยี่ยนหยางจงร่วมเรียงเคียงหมอนก็คือจ้า
“นั่นเพราะสวรรค์สร้างให้พี่ชายข้าเกิดมาเป็นคนพิเศษอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณใกล้เคียงจุดนี้มาก่อน ทำให้รู้ว่าหัวใจของพี่ชายอยู่ทางอกด้านขวา ดังนั้นยามเห็นปิ่นปักอยู่ทางอกซ้ายจึงยังใจเย็นอยู่ได้“หากเจ้ารู้อาการดีก็ควรรีบบอก แกล้งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแต่กุ้ยอินที่ใจเสีย พวกข้าเองก็ไม่ต่างกัน” จ้าวเฟิงเหล่ยถอนใจเบา ๆ“จวิ้นอ๋อง อย่าทำหน้าแบบนั้น นางสิผิดที่ไม่ฟังอะไรเลย จู่ ๆ ก็มาตีโพยตีพายใส่พวกเราโดยไม่นึกถึงความผิดตัวเองสักนิด อย่างไรก็ปล่อยให้ข้าได้ล้างแค้นเสียหน่อยเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงหาเหตุผลให้การกระทำของตนเองได้สำเร็จภายในห้อง“อาจง อาจง” จ้าวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้างเตียงที่มีเยี่ยนหยางจงนอนเหยียดยาวอยู่ ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ นางพึมพำเสียงเครือขณะที่ลูบใบหน้าคร้ามคมที่ดูเผือดเซียวเล็กน้อย “ท่านเจ็บมากหรือไม่ ขอโทษนะที่ข้า...”“อินเอ๋อร์... พอเถิด ร้องไห้จนตาแดงช้ำไปหมดแล้ว” เยี่ยนหยางจงว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ “แต่ก็ เพราะเสียงด่าเสียงร้องไห้ของเจ้า ทำให้ยมทูตต่างยอมล่าถอย ไม่ยอมมารับดวงวิญญาณของข้าไป
เยี่ยนจิ้นหลิงสูดลมหายใจลึก รู้ว่าประโยคต่อจากนี้ไม่ต่างจากเอาน้ำเกลือราดรดลงบนแผล แต่ก็ตัดสินใจพูดไป “ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเพราะท่านที่รนหาที่ พี่ใหญ่จึงต้องบาดเจ็บเช่นนี้”จ้าวกุ้ยอินเมื่อได้ยินเช่นนั้นประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายเอนซวนซบเข้ากับเสาอย่างหาที่พึ่งพิง “รนหาที่หรือ? ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าภาพของอู๋หมิงกงจื่อที่นำมาประมูล เป็นภาพเดียวกันกับที่ข้าพบในห้องหนังสือของเขาหรือไม่เท่านั้น... เพียงเท่านั้น”“อู๋หมิงกงจื่อ... อู๋หมิงกงจื่อ ถ้าท่านพอใจในผลงาน ไฉนจึงไม่ขอกับพี่ใหญ่เล่า เขาใช้เวลาไม่นานก็วาดให้ท่านได้ จะเอากี่สิบกี่ร้อยภาพก็ตามแต่ใจท่าน... สวรรค์... ท่านกลับทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เองหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” เยี่ยนจิ้นหลิงได้ยินเช่นนั้นพลันส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาเดินมาใกล้กับจ้าวกุ้ยอิน มองใบหน้างดงามที่เผือดซีดราวกระดาษวาดภาพ“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” จ้าวกุ้ยอินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องเขยของตน ดวงตากลมโตวาววับดังเนื้อทรายนั้นระคนด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง “พี่สะใภ้ ดูท่าพี่ใหญ่คงไม
“อะไรนะ จ้าวกุ้ยอิน เจ้า... เจ้ากล้าหลอกเปิ่นหวาง” เส้นเลือดตรงขมับของมู่เฟยหรงเต้นตุบ ๆ ยามนี้เขารู้สึกเหมือนมีคำว่าโง่ บรมโง่ ติดอยู่กลางหน้าผาก ถ้าไม่เพราะกลัวหนอนกู่จะกัดกินร่าง เขาคงหลบหนีได้ทัน“นี่พวกเจ้าจะยืนเฉยอีกนานไหม ถ้ายังมัวชักช้า อาจง... อาจงอาจจะตายก็ได้นะ” จ้าวกุ้ยอินไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของมู่เฟยหรง แต่หันไปมองมู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนจิ้นหลิงแทน“ขออภัย เปิ่นหวางนึกว่าเขาตายแล้ว” ตอนมู่เลี่ยงหรงเข้ามา เห็นปิ่นเงินปักอยู่ตรงอกด้านซ้ายของเยี่ยนหยางจง ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะรอดแล้ว จึงละเลยพี่ภรรยาไป แต่พอรู้ว่าเขายังไม่ตาย ก็บังเกิดความละอายใจเล็กน้อยบรรพบุรุษเจ้าสิตาย! จ้าวกุ้ยอินมองมู่เลี่ยงหรงด้วยดวงตาแดงก่ำ สาปแช่งบรรพบุรุษตระกูลมู่ในใจไม่หยุด “เขายังไม่ตายสักหน่อย”“เด็ก ๆ พาแม่ทัพไป๋หู่กลับจวนไคกั๋วกง” สิ้นคำสั่งของฉินอ๋อง เหล่าองครักษ์ก็จัดการนำร่างของเยี่ยนหยางจงออกไปจากที่นั่น โดยมีจ้าวกุ้ยอินร้องไห้วิ่งตามไปบทส่งท้าย ชั่วยามนี้ จวนไคกั๋วกงเต็มไปด้วยความร้อนรนอลหม่าน หลังจากซื่อจื่อของจวนกลับมาพร้อมกับฮูหยินน้อยที่หายตัวไปในสภาพที่มีแผลฉกรรจ์ตรงหน้าอก อาการเ
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” มู่เฟยหรงไม่เข้าใจว่าเยี่ยนจิ้นหลิงตามมาถูกได้อย่างไร ความจริงพวกเขาควรจะตามไปจัดการกับเอี้ยนอ๋องที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงสิ ทำไมถึงมาที่นี่ หรือว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ จิ้นหลิงเพิ่งรู้ว่าเครื่องประดับมากมายเหล่านั้นก็มีประโยชน์อย่างอื่นด้วย” ระหว่างตามรอยเยี่ยนหยางจง เยี่ยนจิ้นหลิงพบจิงจิงวิ่งอยู่บนพื้นหิมะ จึงได้รับสารขอความช่วยเหลือ“เจ้าพบจิงจิงสินะ” จ้าวกุ้ยอินเข้าใจในทันที“พี่สะใภ้เข้าใจเล่นคำ ‘ตามจิงจิง(อัญมณีแวววาว)มา’ หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้กระรอกนำทาง แต่บังเอิญเป็นจิ้นหลิงที่ได้รับสารจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่” ภาพอัญมณีสะท้อนแสงคบไฟในความมืดเป็นระยะผุดขึ้นในความทรงจำ ยามนี้เขายอมรับแล้วว่าพี่สะใภ้มิใช่ที่มีดีแค่ความเป็นหญิงงาม สติปัญญาของนางยังอยู่ในระดับใช้ได้อีกด้วย“ไว้ชมกันทีหลัง รีบพาอาจงไปรักษาเร็วเข้า” จ้าวกุ้ยอินเร่งเร้า“ย่อมได้” เยี่ยนจิ้นหลิงรับคำ แล้วหันไปหามู่เฟยหรง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “หานอ๋อง ท่านหนีไม่รอดแล้วล่ะ ยอมกลับวังหลวงดี ๆ เถิด จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บอีก จิ