น้องภูผาลืมตาตื่นดวงตากลมโตสดใสไร้ไข้ ริมฝีปากเล็กๆ ยกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันน้อยๆ พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง มือเล็กๆ ตบผ้าห่มไปมาอย่างตื่นเต้น
“อือๆ บ๊ะๆ”
“ไข้ลดแล้วยิ้มใหญ่เลยนะลูกของแม่ เก่งที่สุดเลย” เธอโล่งใจ เธอก้มลงกอดลูกน้อยแนบอกแล้วหัวเราะเบาๆ
น้องภูผาหัวเราะคิก เสียงใสแจ๋วสะท้อนก้องไปทั่วห้องราวกับดนตรีที่กล่อมใจให้แม่หายเหนื่อย ความร่าเริงของเขาทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวันในพริบตา
ตอนนี้ลูกชายวัยแปดเดือนของเธอไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่เอาแต่นอนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เริ่มส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตอบโต้ และใช้รอยยิ้มเป็นภาษาที่เติมเต็มหัวใจแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เดียร์กดจมูกหอมแก้มกลมๆ ของลูกฟอดใหญ่
“ลูกตื่นแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเขาเพิ่งกลับมาถึงตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนทะเลาะกันอย่างหนัก
“มองไม่เห็นเหรอ” เธอไม่ยอมมองหน้าเขา โกรธที่เขาทิ้งเธอกับลูกไว้ตามลำพัง แถมยังพูดจาไม่น่ารัก
“เดียร์พี่ขอโทษเมื่อคืนพี่เมาไปหน่อยเลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น” เขายอมลดทิฐิลง ภูริจับต้นแขนเธอไว้แน่น แต่เสียงลูกชายร้องไห้ดังขัดจังหวะเสียก่อน
“ปล่อย เดียร์จะไปดูลูก” น้ำเสียงเธอสั่นราวกับจะสะกดกลั้นน้ำตา
“พี่ไปอุ้มเขาเอง” ภูริเอ่ยออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งทิ้งแม่ลูกไว้ลำพัง เขาก้าวไปอุ้มลูกขึ้นมาแนบอก หอมแก้มซ้ายขวาอย่างเอ็นดู แล้วเอ่ยกับลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ภูผาของพ่อยิ้มให้ปะป๊าหน่อยสิครับ เก่งที่สุดเลยนะ”
น้องภูผาหัวเราะคิกคัก มือเล็กๆ ตบอกพ่ออย่างไร้เดียงสา เสียงหัวเราะสดใสตัดกับบรรยากาศหนักอึ้งของผู้ใหญ่ในห้องนั้น
เดียร์ยืนมองภาพตรงหน้า ใจหนึ่งก็โล่งที่ลูกยังมีพ่อคอยอุ้มคอยกอด แต่อีกใจก็ปวดหน่วง เพราะคนที่เธอเฝ้ารอทั้งคืนกลับทำเหมือนทุกอย่างยังเหมือนเดิม
“ดูสิครับคุณแม่ทำหน้าบึ้งใส่พ่ออีกแล้ว” เขาหันไปมองเธอ
“พี่ภูอย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม”
“คุณแม่ดุอีกแล้วน้องภูผาช่วยปะป๊าง้อหน่อยสิครับ” เขารู้ว่าต้องง้อหญิงสาวยังไง ทุกครั้งที่ทะเลาะกันเดียร์จะโกรธแค่ไหนก็ต้องยอมเขาอยู่ดี
“กล่อมลูกนอนเลยน้องภูผาเพิ่งหายป่วย”
“เมื่อคืนน้องภูผาป่วยเหรอ?” เขาถามด้วยความตกใจ
“ค่ะ เพิ่งพาไปหาหมอ”
“พี่ขอโทษนะที่ไม่ช่วยเดียร์ดูลูก ต่อไปที่จะใจเย็นมากกว่านี้”
“พี่ภูไม่พูดจาแบบนั้นอีกแล้วนะคะ” เธอเสียใจมากแต่ก็รักเขามากเช่นกัน ครั้งนี้จึงให้อภัยได้อย่างง่ายดาย
เสียงก๊อกแก๊กจากพื้นห้องดังขึ้นเมื่อน้องภูผาคลานต้วมเตี้ยมเข้ามาหาพ่อที่นั่งเอนหลังพิงโชฟา แต่สายตาของภูริไม่ได้เหลือบมองลูกเลยสักนิด เขามัวแต่กดโทรศัพท์ ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอไม่หยุด ราวกับโลกทั้งใบของเขามีเพียงสิ่งนั้น
“แอ้ก…” เสียงเล็กๆ ส่งออกมาเหมือนจะเรียก แต่คนเป็นพ่อกลับเฉยเมย เด็กน้อยจึงคลานไปคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ
เพล้ง!!
เสียงแก้วแตกกระจายเต็มพื้น เศษแก้วกระเด็นไปทั่วจนเด็กน้อยร้องไห้จ้า ภูริสะดุ้งโหยงหลุดจากภวังค์ของหน้าจอเขารีบวางโทรศัพท์แล้วเข้าไปดู แต่ก็ช้าเกินไป เพราะเสียงร้องของลูกดังสนั่นไปถึงห้องซักผ้า
เดียร์ที่กำลังซักผ้าอยู่รีบวิ่งออกมา พอเห็นภาพตรงหน้าก็หน้าซีดหัวใจเหมือนถูกบีบ เธอตรงเข้าอุ้มลูกทันที
“นี่พี่ทำอะไรอยู่ห๊ะ? ทำไมไม่ดูแลลูก” เสียงของเธอสั่นเครือทั้งโกรธทั้งหวาดกลัว
“ก็พี่ไม่ได้ตั้งใจ แค่เผลอเล่นโทรศัพท์เองจะโทษพี่ทั้งหมดไม่ได้หรอก!” ภูริชะงักหงุดหงิดเพราะรู้สึกถูกตำหนิ
“ไม่ตั้งใจถ้าลูกเป็นอะไรขึ้นมา พี่เคยคิดบ้างไหมว่าเขาต้องการคนดูแล พี่เป็นพ่อนะไม่ใช่แค่คนที่กลับบ้านมานั่งกดโทรศัพท์ไปวันๆ” เธอตะโกนทั้งน้ำตา
“เดียร์อย่ามาพูดเหมือนพี่ไม่สนใจอะไรเลยได้ไหม พี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ พี่มีเรื่องต้องคิดเยอะ!” เขาขมวดคิ้วแน่นเสียงแข็งขึ้น
“แล้วเรื่องครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องคิดเหรอ?” คำถามของเดียร์ดังสะท้อนอยู่ในห้อง เสียงสะอื้นของลูกที่ยังไม่หยุดร้องยิ่งตอกย้ำบรรยากาศให้หนักอึ้ง
ความเงียบที่อึดอัดค้างอยู่ระหว่างทั้งสองคน มีเพียงเสียงสะอื้นเล็กๆ ของเด็กที่เหมือนจะสะท้อนความแตกร้าวของครอบครัวเล็กๆ ที่กำลังสั่นคลอน
“พูดจาไม่รู้เรื่องเลยวะ ถ้าเธอเหนื่อยมากที่ต้องเลี้ยงลูกก็เอาลูกกลับไปให้ป๊าพี่ วันๆ เลี้ยงแต่ลูกด่าแต่ผัวมันน่าเบื่อเข้าใจไหม”
“พี่เบื่อหรือมีใครที่กำลังเปลี่ยนใจพี่กันแน่”
“เดียร์เธอนี่มันประสาทจริงๆ อะไรก็จะให้พี่มีคนอื่นตลอด อยากเลี้ยงมากก็อยู่กันสองคนไปเลย” เขาลุกเดินออกมาจากคอนโด ตอนที่เดียร์คลอดเขาก็เคยบอกให้คนที่บ้านเขาเลี้ยง แล้วให้หญิงสาวกลับไปเรียนต่อแต่เธอก็ยังดื้อด้านจะเลี้ยงลูกเอง
ภูรินั่งหัวเราะเฮฮาอยู่ในร้านเหล้า แสงไฟสลัวและเสียงเพลงดังกลบทุกอย่าง โต๊ะของเขามีทั้งแก้วเบียร์เรียงรายและเสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อนที่ไม่เคยรับรู้เลยว่าเขามีใครรออยู่ที่บ้าน
“เฮ้ย ไอ้ภูเอาจริงนะมึงแม่งโคตรเนื้อหอม ทำไมไม่เห็นพาแฟนมาบ้างวะ” เตชินเพื่อนสนิทเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“มึงอย่าบอกนะว่ายังโสดอยู่ ดูหน้ามึงแล้วไม่น่าเลย” สิงห์ก็เสริมเสียงดัง
คำถามง่ายๆ แต่กลับทำให้หัวใจของภูริสะดุดไปชั่วขณะ เขายกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว ราวกับจะใช้แอลกอฮอล์กลบความจริงในใจไม่ตอบไม่ปฏิเสธ แค่ยิ้มจางๆ แทนคำพูด
“เฮ้ย ไม่ตอบก็คือมีใช่ไหมวะ ฮ่าๆๆ” เพื่อนทั้งคู่แซวต่อกันอย่างสนุกสนาน
“แบบนี้พริมเสียใจแย่เลย”
“เกี่ยวอะไรกับพริม” เขาถามขึ้น
“มึงมองไม่ออกเลยเหรอว่าพริมเขาชอบมึง เขายอมตามมาเรียนคณะเดียวกัน” สิงห์ถามขึ้นพวกเขาดูออก แต่เหมือนว่าภูริจะไม่สนใจ
“เหลวไหลพริมก็คือเพื่อนอย่าพูดจาเลอะเทอะ” เขาเองก็รู้ แต่ไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่าย
ตอนนี้ชีวิตของเดียร์เหลือเพียงภูริเท่านั้นที่เธอฝากความหวังไว้ เปรียบเสมือนเสาหลักหนึ่งเดียวที่คอยประคองให้เธอยืนอยู่ได้ แต่ความจริงกลับโหดร้ายยิ่งกว่านั้น เธอไม่ต่างจากคนที่ต้องเหนื่อยเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ทั้งที่ชีวิตวัยรุ่นของเธอควรจะได้เรียนหนังสือ ได้เที่ยวเล่นเหมือนวัยเดียวกัน หรืออย่างน้อยก็ควรจะมีความทรงจำที่สดใสเหมือนกับภูริที่ยังคงเดินไปข้างหน้าใช้ชีวิตตามที่ใจอยากทำ
แต่หญิงสาวกลับยอมเสียสละยอมทิ้งความฝัน ยอมแลกทุกอย่างเพื่อสร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เธอคิดว่าจะอบอุ่น ทว่าคำตอบแทนที่ได้กลับคืนมา คือความเฉยชาการถูกเมินเฉย และถูกทิ้งขว้างอยู่บ่อยครั้ง ราวกับเธอไม่มีตัวตน
จากผู้หญิงที่ไม่เคยเจ้ากี้เจ้าการไม่เคยตามติดจนทำให้ใครอึดอัด เวลาผ่านไปเธอกลับกลายเป็นคนที่กดโทรศัพท์หาภูริแทบทุกชั่วโมง เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร แต่ปลายสายที่เธอรอคอยก็มักถูกกดตัดบ่อยครั้งเหลือเกิน
ทุกครั้งที่เสียงสัญญาณถูกตัดไป ความเจ็บในอกเดียร์ก็เหมือนถูกตอกย้ำ เธอเริ่มนอนหลับไม่สนิท เริ่มสะดุ้งตื่นกลางดึกเพื่อคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่าภูริส่งข้อความมาบ้างหรือยัง และเมื่อไม่มีเธอก็จมอยู่กับความคิดฟุ้งซ่านเต็มไปหมด
“เขาไม่รับสาย เพราะอยู่กับผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม”
“หรือบางทีเขาอาจกำลังนอนกอดใครอีกคนที่ไม่ใช่เรา”
ความคิดเหล่านี้กัดกินหัวใจเดียร์ทุกวันทุกคืน ความกังวลค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยจนแผ่ขยายใหญ่โต กลายเป็นเงามืดที่คอยบดบังรอยยิ้มของเธอ แม้กระทั่งตอนที่กอดลูกเอาไว้แนบอก ใจเธอก็ยังหน่วงด้วยความหวาดกลัวว่าอีกไม่นานภูริอาจหายไปจากชีวิตเธอจริงๆ
“พี่มีสังคมของตัวเอง แต่เดียร์มีแค่พี่คนเดียว”
พอมองหน้าลูกชายกลับหวนนึกถึงช่วงแรกๆ ที่เขาตามจีบ พอภูริเข้ามหาลัยเริ่มมีสังคมเขาก็เปลี่ยนไป จากคนที่พูดเพราะกับเธอมาตลอด กลายเป็นคนขี้หงุดหงิดเวลาทะเลาะกัน
ภูริยืนตรงหน้าเดียร์มองดวงตาเขาที่เย็นชาและว่างเปล่า น้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนตอกย้ำราวกับมีดกรีดลงกลางใจ“เดียร์พี่หมดรักแล้ว พี่คิดว่าควรให้เราทั้งสองคนเลิกกันเถอะ” เขาตัดสินใจพูดออกมาไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาเหนื่อยเกินไป ยิ่งใกล้กันยิ่งทะเลาะกันมากขึ้นคำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจเดียร์ตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า“เดียร์ไม่ยอม เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย พี่อย่าทิ้งเดียร์นะเราแก้ปัญหาด้วยกันได้” เธอร้องเสียงสั่น พุ่งเข้าไปยึดแขนเขาแน่น“พี่บอกแล้วไง ว่าความรักของพี่มันเปลี่ยนไปแล้วเดียร์ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเราอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็จะเจ็บมากกว่านี้” เขาถอนหายใจหนักๆ มองเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน“ไม่เอาอย่าทิ้งเดียร์ เดียร์ยังรักพี่! พี่ต้องรักเดียร์เหมือนเดิมสิ ฮือ~” น้ำตาไหลพราก เธอพยายามเกาะแขนเขาแน่นขึ้นร้องไห้สะอื้น“พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว”หญิงสาวชะงักเธออยากจะก้าวเข้าไปกอดเขา แต่ทุกคำพูดเหมือนตรึงขาเธอไว้กับพื้น น้ำตาคลอเบ้าน้ำเสียงสั่นเครือ“พี่ยอมกราบเดียร์เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป แต่พี่ยัง
“ไหนว่าพี่ภูมาทำรายงานแล้วนี่อะไร!” เดียร์ตะโกนออกไปทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง หันมามองหญิงสาว “มาได้ยังไง” เขาถามด้วยความตกใจที่เดียร์มาที่นี่ถูก “พี่ทำแบบนี้กับเดียร์ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่นทั้งเสียใจและโกรธเขามาก จนแวบหนึ่งความรู้สึกของเธอบอกให้พอตั้งแต่ตอนนี้ “เดียร์ใจเย็นก่อนสิ” เพื่อนที่อยู่ในห้องต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครแล้วทำไมภูริถึงได้มีท่าทีที่แปลกไป แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ทำเพียงแค่ใส่ใจกันแบบเงียบๆ “จะให้ใจเย็นได้ยังไง!” รอบนี้เดียร์โกรธจนเริ่มไม่มีสติ ความอดทนทั้งหมดขาดสะบั้นลงทันที “ตั้งสติหน่อยออกมาคุยกันด้านนอก” พี่กลัวใครรู้เหรอว่าพี่มีเมียมีลูกแล้ว หรือกลัวใครจะเสียใจ” “ภูพริมว่ากลับไปคุยกันดีๆ ดีกว่า” พีรญาลุกขึ้นมาห้ามทั้งสอง ไม่อยากให้คนอื่นมองภูริไม่ดี เพี๊ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังลั่นจนคนรอบข้างหันมอง พีรญาเซไปเล็กน้อยมือกุมแก้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ“เดียร์ทำบ้าอะไรของเธอ” เพื่อนต่างพากันอึ้งที่พีรญาโดนตบ“นี่พี่ไปทำอะไรให้” พีรญาถามเสียงสั่น แววตาเต็มไปด้วยค
หลายวันมานี่ภูริกับเดียร์ไม่ค่อยทะเลาะกัน ช่วงนี้ชายหนุ่มอยู่แต่บ้านช่วยเธอเลี้ยงลูก จนทำให้เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น “เดียร์” “พี่ภูจะเอาอะไรคะ” “คือเย็นนี้พี่ต้องไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน” “จะกินเหล้ากันอีกหรือเปล่า” ทุกครั้งที่เขากลับมามักจะมีกลิ่นเหล้าติดมาตลอด แรกๆ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้เธอเหนื่อยจะพูดเลยปล่อยเขา “อาจจะมีบ้างแต่ไม่ได้ออกไปผับ” เขาบอกตามความจริง ช่วงนี้เขาติดเพื่อนและชอบออกเที่ยวผับตามประสาวัยของเขา “ค่ะ อย่ากลับดึกนะ” เธออนุญาตเพราะรู้ดีว่าห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้ว “ขอบคุณนะที่เข้าใจ” “ทำรายงานที่บ้านใครคะ?” เธอหันมาถามเขา เพื่อนของชายหนุ่มเธอไม่เคยเจอหน้า แต่พอจะรู้จักชื่อบ้าง “ก็มีไอ้สิงห์ไอ้เต” “ดูแลตัวเองตัวนะ” เธอยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจภูริ เพราะการกระทำที่ผ่านมาของเขา ถ้ามัวแต่ระแวงกันอยู่แบบนี้ชีวิตของเธอคงไม่มีความสุข“ขอบคุณนะเดียร์พี่สัญญา จะรีบทำให้เสร็จแล้วรีบกลับไม่ดึกแน่นอน” ใบหน้าของภูริก็ผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอก เขารีบยกมือขึ้นประคองแก้มเธอเบาๆ
เดียร์ที่เห็นสภาพเขาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปพยุงร่างของภูริเอาไว้ อยากจะทิ้งให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็สงสาร“ไม่ต้องมายุ่ง”“พี่ภูพี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตา“สันดานพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้ไหมล่ะรับไม่ได้ก็เรื่องของเดียร์”ภูริเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย“พี่ภูแล้วเดียร์กับลูกล่ะ”“พี่ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมบ้างสิจะให้วันๆ เอาแต่อยู่กับเดียร์กับลูกมันก็ไม่ใช่ พี่ก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน”คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเธอร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่มีแรงประคองเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าเธอมองนานกว่านี้ น้ำตาที่รอจะพรั่งพรูออกมาจะกลายเป็นเสียงสะอื้นโหยหวน“ฮึก หรือพี่หมดรักเดียร์แล้ว” เธอถามเสียงแผ่วราวกับจะหลุดออกมาเพียงลมหายใจภูริเงียบไปครู่หนึ่งหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบและความเจ็บปวดโอบรัดหัวใจของหญิงสาวจนแทบขาดใจ“ไม่เกี่ยวว่ารักหรือไม่รักหรอก เดียร์ดูตัวเองสิมัวแต่ดูแลคนอื่นจ
เกือบสว่างภูริโซซัดโซเซกลับเข้ามาในคอนโด กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งติดตามเสื้อผ้า เขาวางกระเป๋าแล้วหันไปมองบนเตียงในห้องนอนเล็กๆ เห็นลูกชายตัวน้อยนอนดิ้นไปมามือเล็กๆ ฟาดอากาศ ก่อนที่ดวงตากลมใสจะลืมขึ้น“อือ…”น้องภูผาส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้เขา ยิ้มเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจภูริสะดุดไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั้นเหมือนจะปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าและความผิดทั้งหมดที่เขาแบกไว้เขาเหลือบมองไปทางเดียร์ที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวบอกชัดว่าเธอเหนื่อยมากเพียงใด ภูริอุ้มลูกชายออกมาที่ห้องโถงวางตัวเล็กไว้บนตัก มือใหญ่ลูบแก้มกลมใสเบาๆ“ไงครับคนเก่ง ตื่นมาหาปะป๊าเหรอ หืมมม”น้องภูผาหัวเราะคิกคัก มือเล็กคว้าจมูกของเขาอย่างซุกซน เสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของยามเช้าภูริยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงหอมแก้มลูกซ้ายทีขวาที“ปะป๊าขอโทษนะครับ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยต่อไปปะป๊าจะพยายามนะ” เสียงกระซิบเบาๆ ราวกับคำสัญญาที่เขายังไม่รู้เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของน้องภูผาดังพอจะปลุกเดียร์ให้สะลึมสะลือตื่น เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เดินออกมาที่ห้องโถง ภาพที่เห็นคือภูร
น้องภูผาลืมตาตื่นดวงตากลมโตสดใสไร้ไข้ ริมฝีปากเล็กๆ ยกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันน้อยๆ พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง มือเล็กๆ ตบผ้าห่มไปมาอย่างตื่นเต้น “อือๆ บ๊ะๆ”“ไข้ลดแล้วยิ้มใหญ่เลยนะลูกของแม่ เก่งที่สุดเลย” เธอโล่งใจ เธอก้มลงกอดลูกน้อยแนบอกแล้วหัวเราะเบาๆน้องภูผาหัวเราะคิก เสียงใสแจ๋วสะท้อนก้องไปทั่วห้องราวกับดนตรีที่กล่อมใจให้แม่หายเหนื่อย ความร่าเริงของเขาทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวันในพริบตาตอนนี้ลูกชายวัยแปดเดือนของเธอไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่เอาแต่นอนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เริ่มส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตอบโต้ และใช้รอยยิ้มเป็นภาษาที่เติมเต็มหัวใจแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เดียร์กดจมูกหอมแก้มกลมๆ ของลูกฟอดใหญ่“ลูกตื่นแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเขาเพิ่งกลับมาถึงตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนทะเลาะกันอย่างหนัก“มองไม่เห็นเหรอ” เธอไม่ยอมมองหน้าเขา โกรธที่เขาทิ้งเธอกับลูกไว้ตามลำพัง แถมยังพูดจาไม่น่ารัก“เดียร์พี่ขอโทษเมื่อคืนพี่เมาไปหน่อยเลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น” เขายอมลดทิฐิลง ภูริจับต้นแขนเธอไว้แน่น แต่เสียงลูกชายร้องไห้ดังขัดจังหวะเสียก่อน“ปล่อย เดียร์จะไปดูลูก” น้ำเ