Masukหญิงสาวมองลึกลงไปในดวงตาของลูกสาว...ดวงตาที่เคยใสซื่อบริสุทธิ์ บัดนี้กลับมีแววของความเข้าใจและความมุ่งมั่นบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนฉายชัดอยู่ในนั้น
ภาพของลูกสาวหลังจากรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อวานซ้อนทับขึ้นมา...ทั้งการร้องไห้อย่างเงียบงัน การแสดงความรักความห่วงใยต่อทุกคนในวงข้าวและตอนนี้... คำพูดคำจาที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย...
'ลูกเรา...แปลกไปมากเหลือเกิน' ช่อฟ้าคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ทั้งทึ่งและหวาดหวั่นระคนกัน
"ขวัญ...ไปได้ยินคำพูดแบบนี้มาจากไหนลูก" เธอถามกลับไปเสียงแผ่ว พยายามทำใจให้เป็นปกติ
"ก็คุณยายในฝันบอกหนูมาหมดเลยจ้ะแม่" ขวัญรดาตอบอย่างไม่ลังเล เธอรู้ดีว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะฝังความคิดนี้ลงในหัวของแม่ได้
"ท่านบอกว่า...เงินเยอะ ๆ ก็เหมือนมีด ถ้าเราใช้เป็นมันก็จะช่วยให้เราสบาย แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็น...มันก็จะหันกลับมาทำร้ายเราจนเลือดตกยางออกได้เลยนะจ๊ะ"
ช่อฟ้าถึงกับพูดไม่ออก...คำเปรียบเปรยนั้นคมคายและน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นจินตนาการของเด็กน้อย
ขวัญรดาเห็นแม่นิ่งไปจึงขยับเข้าไปกุมมือแม่อีกครั้ง "แม่จ๋า...หนูไม่ได้อยากให้แม่เชื่อหนูทั้งหมดหรอกจ้ะ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง...ถ้าเกิดว่าสลากที่ป๊าซื้อถูกขึ้นมาแล้วพวกเรามีเงินเยอะ ๆ ขึ้นมาจริง ๆ อย่างที่คุณยายในฝันว่า...แม่อย่าเพิ่งดีใจจนบอกใครได้ไหมจ๊ะ...โดยเฉพาะป๊า หากว่าหนูสามารถนำสลากมาเก็บไว้กับตัวได้...หนูอยากให้แม่เก็บมันไว้เป็นความลับของเราสองคนก่อนนะ...นะจ๊ะแม่"
คำอ้อนวอนที่เต็มไปด้วยความจริงจังนั้นทำให้ช่อฟ้าใจอ่อนยวบ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวถึงได้พูดจาแปลก ๆ เช่นนี้ แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่บอกเธอว่าแววตาของลูกในตอนนี้ไม่ได้โกหก
เธอจึงตัดสินใจที่จะยุติบทสนทนาที่น่าประหลาดใจนี้ลงก่อน หญิงสาวดึงลูกสาวเข้ามากอดเอาไว้แน่น
"เอาละ แม่เข้าใจแล้ว" เธอกล่าวเสียงเบาเป็นการรับปากแบบไม่เต็มเสียงนัก "ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ...ลูกไปช่วยอาม่าดูน้องเถอะ"
ขวัญรดาพยักหน้ารับในอ้อมกอดของแม่ ก่อนจะผละออกมาแล้ววิ่งไปหาน้องชายที่กำลังเล่นอยู่กับอาม่า ทิ้งให้ช่อฟ้ายืนนิ่งอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายที่กำลังถาโถมเข้ามาในหัวของตน
'ความฝันของลูก...หรือว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุจริง ๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเฮียมนตรีจะซื้อสลากเมื่อไหร่ตอนไหน เพราะหากถามตามตรง...เฮียคงไม่บอกแน่'
ในตอนนี้ขวัญรดาไม่ได้รู้เลยว่า สิ่งที่เธอได้หว่านเมล็ดลงไปในใจของแม่กำลังผลิต้นอ่อนขึ้นมาแล้ว
หลังจากมื้อเย็นที่บรรยากาศค่อนข้างจะแปลกไปเล็กน้อย ทุกชีวิตในครอบครัวต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ป๊ามนตรีเป็นคนแรกที่ล้มตัวลงนอนบนเสื่อผืนเก่า
เนื่องจากเขามีเวลาพักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะต้องลุกขึ้นไปทำงานที่โรงเชือดกลางดึก เสียงกรนที่ดังเบา ๆ ของเขาคือเสียงประกอบของค่ำคืนที่ช่อฟ้าคุ้นเคย
ทางด้านของช่อฟ้ากับสุ่นลั้ง คนทั้งสองก็ช่วยกันเก็บล้างถ้วยชามที่หลังบ้านอย่างเงียบ ๆ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงวัยกลางคนคิดถึงเรื่องอะไร แต่สำหรับช่อฟ้าแล้วนั้น ในหัวของเธอมีแต่คำพูดและแววตาที่จริงจังของลูกสาววนเวียนอยู่ไม่หยุด
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอจึงเข้ามาในห้องนอนรวม จัดแจงปูที่นอนบาง ๆ และกางมุ้งให้ลูกทั้งสองคน ขวัญรดาทำทีเป็นหลับไปแล้วตามน้องชายที่หลับปุ๋ยไปก่อนหน้านี้
ก่อนที่ช่อฟ้าจะนั่งลงข้างลูก มองใบหน้าที่หลับใหลไร้เดียงสานั้นแล้วก็ถอนหายใจยาว คำเตือนของขวัญรดายังคงก้องอยู่ในหู "บ้านของเราจะแตกเพราะป๊าจะมีผู้หญิงใหม่..."
เธอหันไปมองร่างของสามีที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง... จริงอยู่ที่พักหลังมานี้เขาดูหงุดหงิดและพึ่งพาเหล้ามากขึ้น แต่เธอก็ยังเชื่อมั่นในความรักที่เขามีให้ครอบครัว...หรือว่าความเชื่อมั่นของเธอมันกำลังสั่นคลอนกันแน่?
ความไว้ใจที่เคยมีให้สามีเต็มร้อย บัดนี้กลับถูกคำพูดของลูกสาวเจาะเป็นรูโหว่เล็ก ๆ รูโหว่แห่งความระแวงที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
'แต่ขวัญบอกว่าเฮียจะเปลี่ยนไปก็ตอนที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่ง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา แต่ถ้าเราไม่ทำตามที่ลูกบอกแล้วถ้าเฮียถูกขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ บ้านของเราจะยังเป็นบ้านได้อีกอย่างนั้นเหรอ' ช่อฟ้าคิดในใจวนไปเวียนมาอย่างเหนื่อยล้า
ก่อนจะตัดสินใจเอนกายนอนลงเคียงข้างลูก พร้อมกับดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมให้พวกเขา และดูเหมือนว่าความอบอุ่นจากร่างกายของลูกน้อยทั้งสองจะช่วยปลอบประโลมหัวใจที่ว้าวุ่นของเธอลงได้บ้าง
ซึ่งค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน...คืนที่เธอต้องนอนข่มตาให้หลับไปพร้อมกับคำถามและความกังวลที่ขวัญรดา... ลูกสาวตัวน้อยได้ทิ้งเอาไว้ให้
ขวัญรดาที่กำลังแสร้งหลับและทำเป็นนอนนิ่ง ๆ นั้น เธอรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างของแม่ที่นอนลงด้านข้างและสัมผัสของผ้าห่มที่คลุมขึ้นมาถึงอก เธอต้องบังคับจังหวะการหายใจของตัวเองให้สม่ำเสมอที่สุดเพื่อไม่ให้แม่จับได้ว่าเธอยังไม่หลับ
ในขณะที่เสียงกรนเบา ๆ ของป๊า...เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของน้องชาย...และเสียงถอนหายใจยาวของแม่...ทั้งหมดคือเสียงประกอบของค่ำคืนที่เธอคุ้นเคย แต่ในวันนี้มันกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็น
ร่างกายของเด็กห้าขวบกำลังเรียกร้องการพักผ่อนอย่างหนักหน่วง เปลือกตาของเธอเริ่มหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น เธอรู้ดีว่าอีกไม่นานสติของเธอก็จะพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนเพลีย แต่ยังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่เธอต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน
'เจ้าทอง...' เด็กหญิงเรียกสหายตัวน้อยของเธอในใจ 'เจ้าทอง...อยู่รึเปล่า'
'หนูอยู่นี่จ้ะพี่สาว' เสียงใส ๆ ของกุมารน้อยดังตอบกลับมาในห้วงความคิดทันที ราวกับเขารอคอยคำสั่งอยู่แล้ว
'ดีมาก...' ขวัญรดาสื่อสารต่ออย่างรวดเร็ว 'คืนนี้...ป๊าจะตื่นไปทำงานตอนสี่ทุ่ม ฉันกลัวว่าจะหลับไปก่อน เลยอยากจะย้ำกับเธออีกครั้ง...อย่าลืมตามติดป๊าไปทุกฝีก้าวนะ'
'พี่สาววางใจได้เลย!' เจ้าทองตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แม้ว่าขวัญรดาจะได้ยินน้ำเสียงจริงจังตอบรับของกุมารทองตัวน้อยแล้วแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่วางใจก่อนจะเน้นย้ำออกมาอีกรอบ
'เขาอาจจะแวะซื้อสลากตอนไหนก็ได้ เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหม'
'เข้าใจจ้ะพี่สาว! หนูจะเฝ้าป๊าของพี่สาวไว้ไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว! ต่อให้หนูต้องลอยตามเข้าไปถึงในโรงเชือด หนูก็จะไป!'
ความกระตือรือร้นและความภักดีในน้ำเสียงนั้นทำให้ขวัญรดารู้สึกอุ่นวาบในอกขึ้นมาอย่างประหลาด...พร้อมกับคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่เธอไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว
'ขอบใจนะเจ้าทอง เอาไว้ฉันจะหาขนมอร่อยมาให้กิน' จบคำกล่าวของเธอและหัวใจเริ่มเบาบางลงจากความกังวล ในที่สุดสติของหญิงชราในร่างของเด็กห้าขวบก็ย่อมพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนเพลียต่อร่างกายเล็ก ๆ นี้
ก่อนที่เธอจะจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราที่ลึกล้ำอย่างแท้จริง...และรอคอยผลลัพธ์ของแผนการที่จะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
หลังจากนั้นไม่นานเวลาสี่ทุ่มตรงก็ได้มาถึง ร่างสูงใหญ่ของมนตรีลืมตาตื่นขึ้นตามเวลานาฬิกาชีวิตของตนโดยไม่ต้องมีเสียงปลุก เขานอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พลิกตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนลูกเมียที่ยังหลับอยู่
ช่อฟ้าที่นอนหลับไม่สนิทนักรู้สึกตัวตื่นขึ้นตาม "ป๊าจะไปแล้วเหรอจ๊ะ" เธอถามเสียงแผ่ว
"อืม" นั่นคือคำตอบสั้น ๆ เหมือนกับทุกครั้ง
ช่อฟ้าลุกขึ้นไปเปิดไฟนีออนดวงเล็กที่หัวเสา แสงสีขาวนวลส่องให้เห็นแผ่นหลังกว้างของสามีที่กำลังสวมเสื้อผ้าชุดทำงานตัวเก่า เธอเดินไปยืนส่งเขาที่บันไดเรือนตามความเคยชิน
มนตรีไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่พยักหน้าให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะก้าวลงบันไดและเดินหายไปในความมืดมิดของค่ำคืนโดยมีแสงตะเกียงดวงเดียวในมือ
คล้อยหลังของสามี ช่อฟ้าจึงได้ปิดประตูลงกลอนอย่างเรียบร้อย ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าคำเตือนอันน่าประหลาดของลูกสาวจะเป็นเพียงแค่ฝันร้าย
แต่เธอก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าหากเรื่องนั้นเป็นจริงขึ้นมา... เธอจะหาญกล้าพอที่จะเอ่ยปากถามสามีเรื่องสลากกินแบ่งได้อย่างไรโดยไม่ให้เขาระแวง...ซึ่งที่เธอไม่รู้เลยว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอได้ส่งผู้ช่วยแสนวิเศษตามหลังสามีของเธอไปเรียบร้อยแล้ว...
หลายเดือนต่อมาในขณะที่การค้าของครอบครัวศิริเวชเจริญนั้นเป็นไปด้วยดี ในตอนนี้ช่อฟ้ากับสุ่นลั้งเริ่มสบายตัวมากขึ้น เนื่องจากคนทั้งคู่ได้ตัดสินใจแค่ทำของอยู่กับบ้านและให้ป้าพรกับป้าสมศรีเป็นคนออกไปขายแทนทางด้านดวงก็ยังคงทำหน้าที่พนักงานหาบของ...ของตนตามเดิม เพียงแค่...ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องเดินหาบตามบ้านอีกต่อไปแล้วทำเพียงแค่ออกไปขายตามตลาดนัดก็เพียงพอแต่สำหรับทางด้านงานของมนตรีที่กำลังช่วยเจ็กใช้ทำงานด้วยความขยันขันแข็งอยู่นั้น กลับได้เกิดปัญหาขึ้นบางอย่าง...เย็นวันหนึ่ง มนตรีกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ“เป็นอะไรไปป๊า” ช่อฟ้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงระหว่างมื้อเย็น“เฮ้อ! ก็เรื่องงานน่ะสิ” เขาถอนหายใจ “ลูกค้าคนล่าสุดเขาติมา... เขาว่าแบบบ้านของอาเจ็กมันซ้ำกับบ้านหลังอื่นในซอย...เขาอยากได้อะไรที่มันดูใหม่มากกว่านี้...แต่อาเจ็กแกก็มีแบบบ้านมาตรฐานอยู่ไม่กี่แบบ”ปัญหาเชิงธุรกิจนั้นทำให้ทุกคนในวงข้าวนิ่งเงียบไป...ขวัญรดาที่นั่งทำการบ้านอยู่ไม่ไกลได้ยินทุกอย่าง...และในตอนนี้จิตวิญญาณของคุณยายชาวสวนที่เคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิกพ
สามปีผ่านไปทุกชีวิตในครอบครัวศิริเวชเจริญได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง...จากร้านหาบเร่และรถเข็นเล็ก ๆ ในวันวาน บัดนี้ร้านแม่ช่อฟ้าได้กลายเป็นร้านข้าวแกงเจ้าประจำของชุมชนที่ทุกคนต่างรู้จักและชื่นชอบกิจการของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เงินเก็บในสมุดบัญชีก็เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับจากหยาดเหงื่อแรงกายของทุกคน และในตอนนี้ร้านข้าวแกงแม่ช่อฟ้าจากแม่ค้าตลาดนัดก็มีห้องแถวขนาดกลางเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้นมาทางด้านของมนตรีชายหนุ่มก็ได้กลายเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างที่ใช้ไว้วางใจและให้คุมงานสำคัญแทน ชายหนุ่มเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด และกลายเป็นเสาหลักที่อบอุ่นและแข็งแกร่งของครอบครัว ส่วนช่อฟ้ากับสุ่นลั้งก็กลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยผู้เป็นที่ยอมรับนับถือของคนในตลาดทางด้านขวัญรดาในวัยสิบปี ในปีนี้ซึ่งเป็นการเปิดภาคเรียนใหม่เด็กหญิงกำลังจะขึ้นไปอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 อย่างมีความสุข เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและในปีนี้... มนัสน้องชายตัวน้อยของเธอ...ก็ได้ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนเดียวกันในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย แม้ว่ามนัสจะไม่ได้มีพร
“ใช่! ห้องของคุณนั่นแหละ” ครูใหญ่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดครูวิทยายังคงยืนอึ้งกับการตัดสินใจที่รวดเร็วของผู้บริหาร แต่ก็รีบพยักหน้ารับคำ “ครับท่าน...ถ้าเช่นนั้นผมขอตัวไปแจ้งผู้ปกครองของเด็กก่อนนะครับ”ภายในห้องพักรับรองด้านนอก มนตรีและใช้กำลังนั่งรอผลคำตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ส่วนขวัญรดานั้นแม้ภายนอกของเธอจะยังคงนิ่งแต่ในใจก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เช่นกันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับคนรอ...ความเงียบในห้องรับรองถูกกดทับด้วยความตึงเครียด มนตรีนั่งไม่ติดที่ เขาขยับตัวไปมา ลูบท้ายทอยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าส่วนใช้แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สุขุม แต่การที่เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเป็นระยะ ๆ ก็บ่งบอกว่าเจ้าตัวเองก็กำลังลุ้นไม่แพ้กันมีเพียงขวัญรดาที่ยังคงนั่งนิ่ง... แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าปลายนิ้วเล็ก ๆ ของเธอกำลังจิกอยู่ที่กระโปรงนักเรียนจนแน่นและในที่สุดเสียงเปิดประตูห้องพักรับรองแห่งนี้ก็ดังขึ้น ทำให้ร่างของผู้ใหญ่ทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อยและรีบลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติครูวิทยาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา... มันเป็นสีหน้าที่ผสมปนเป
และแล้วสามวันต่อมา...ซึ่งเป็นวันเสาร์ก็มาถึง วันนี้บ้านสวนหลังนี้คึกคักกันตั้งแต่ตีสามเลยทีเดียวเพราะเป็นวันที่ครอบครัวศิริเวชเจริญจะไปเปิดศึกที่ตลาดนัดลานต้นมะขามซึ่งบรรยากาศในครัววันนี้ได้แตกต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากหม้อแกงและขนมหวานที่คุ้นเคยแล้ว วันนี้ยังมีเมนูใหม่แกะกล่องที่สุ่นลั้งและช่อฟ้าบรรจงทำขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย...นั่นคือรายการหมูพะโล้สูตรโบราณที่เคี่ยวจนน้ำเข้าเนื้อส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศจีนไปทั่ว และหมูสามชั้นต้ม ที่ต้มจนเปื่อยนุ่ม ราดด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวรสเด็ดกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่มนตรีเป็นคนปรุงเองกับมือ ซึ่งเมนูเหล่านี้แทบจะไม่มีใครทำขายตามตลาดนัดทั่วไป เพราะเป็นอาหารที่ต้องใช้เวลาและความใส่ใจในการทำสูง ส่วนฝ่ายขนมหวาน...ขวัญรดาก็ได้แสดงฝีมือในฐานะ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์เป็นครั้งแรก“แม่จ๋า...ทับทิมกรอบของเรา...ลองทำใส่แก้วพลาสติก ใส ๆ แบบนี้ดีไหมจ๊ะ” เธอนำเสนอ “เราจัดเรียงเป็นชั้น ๆ ให้เห็นเม็ดทับทิมสีแดงสด ตัดกับขนุนสีเหลืองทอง...มันจะดูน่ากินขึ้นเยอะเลย”ความคิดในการจัดวางสินค้าให้น่าสนใจนั้น เป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับคนในยุค
หลังจากที่นายดวงเดินออกมาจากท้ายวัดและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งตรงกันข้ามกับเส้นทางที่ช่อฟ้ากำลังจะไปขายข้าวราดแกงของตนและขนมกับพรในเวลานั้นเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าการขายขนมของตนวันนี้เป็นเพราะความโชคดีของตนหรือว่าเพราะตุ๊กตาแมวกวักหน้ายิ้มกันแน่ เพราะทันทีที่ปากของเขาร้องตะโกนเรียกลูกค้าไปได้เพียงแค่ครั้งเดียว... และยังไม่ทันจะจบประโยคดีว่า...“ขนมจ้า! ขนมอร่อย ๆ มาแล้วจ้า! ปลากริมไข่...”“พ่อค้า! เดี๋ยว! หยุดก่อน!”เสียงเรียกจากหญิงวัยกลางคน...ได้ดังขึ้นจากหน้าบ้านหลังหนึ่ง ดวงรีบวางหาบลงทันที หญิงคนนั้นเดินเข้ามาดูขนมในหาบด้วยความสนใจก่อนจะขอซื้อปลากริมไข่เต่าไปลองชิมหนึ่งถ้วยและทันทีที่นางได้ชิมขนมเข้าไปคำแรก... ดวงตาของหญิงวัยกลางคนก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ!“อร่อย! อร่อยมาก! ไม่เคยกินปลากริมไข่เต่ารสชาตินี้มาก่อนเลย!” หล่อนกล่าวชมอย่างจริงใจ “พ่อหนุ่ม...ทำของอร่อยขนาดนี้ ทำไมไม่ไปขายที่ตลาดนัดเช้าตรงลานมะขามล่ะ ที่นั่นคนเยอะมากเลยนะ ของอร่อย ๆ แบบนี้ต้องขายดีแน่นอน”“ตลาดนัดเช้าเหรอครับป้า” ดวงทวนคำอย่างสนใจ“ใช่! เขามีก
และครอบครัวศิริเวชเจริญก็ไม่ปล่อยให้แผนการเป็นเพียงแค่ความฝัน...เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นมนตรีก็ใช้ทักษะช่างของตนสร้างป้ายไม้แผ่นใหม่ที่ดูสวยงามและแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมและนอกจากที่เขาจะเขียนชื่อร้านแม่ช่อฟ้าและรายการอาหารคาวหวานที่ขายหน้าร้านแล้ว ที่มุมหนึ่งของป้ายยังมีข้อความเล็ก ๆ ที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า: “รับสมัครคนช่วยงานทำขนมและคนหาบขนมขาย (มีส่วนแบ่งให้)”ซึ่งป้ายประกาศนี้ของเขาก็ได้สร้างความประหลาดใจและความสนใจให้กับลูกค้าและเพื่อนบ้านในชุมชนเป็นอย่างมาก...พร้อมกับทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่า...กิจการของครอบครัวนี้กำลังจะขยับขยายอีกแล้ว!เวลาผ่านไปไม่กี่วัน...ก็มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่กำลังว่างงานทยอยเดินทางมาสมัครกับสุ่นลั้งที่บ้านสวนเป็นจำนวนมาก ผิดจากแต่ก่อนที่ไม่เคยมีใครกล้าย่างกรายเข้ามาแถวนี้เพราะความกลัว ทว่าบัดนี้บ้านสวนหลังนี้กลับคึกคักขึ้นมากทีเดียวหญิงวัยกลางคนทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หล่อนสอบถามประวัติความเป็นมาของคนที่มาสมัครรวมถึงเหตุผลและเคยผ่านงานอะไรมาบ้างเพื่อดูถึงความขยันขันแข็งและคว







