หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ
เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้
“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น
“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อเปิดผอบทองคำที่อยู่ในบุษบกออกดู กลิ่นหอมนั้นก็มาจากภายในผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี่เอง น่าแปลกที่พวกนักวิจัยฝรั่งไม่ได้กลิ่น และที่แปลกกว่านั้น คือ พวกโจรที่ปล้นกรุมันขนเครื่องทองไปจนหมด แต่กลับมองไม่เห็นบุษบกทองคำอันประณีตนี้เสียอย่างกับมีอะไรมาบังตา”
“อู้วววว” พวกนักศึกษาพากันลูบขนแขนที่ลุกซู่
เมื่อเรื่องเล่าจบลงที่เบื้องหน้าก็เป็นซุ้มประตูโขงของวัดโพนสิมที่ทุกคนตามหาแล้ว คณะสำรวจล้วนตื่นตะลึงไปกับเชิงช่างของผู้ที่สร้างสิม*โบราณหลังนี้ที่ได้ใช้ผนังสิมต่างผ้าใบผืนโตวาดภาพอย่างอิสระ วาดแทรกลงไปตรงที่ว่างทั้งด้านในและนอกสิมจนเต็มพื้นที่ บางภาพต้องเข้าไปดูใกล้ ๆ บางภาพต้องถอยออกไปดูไกล ๆ จึงรู้เรื่อง บางภาพยืนตรง ๆ มองก็ได้ แต่บางภาพก็ต้องตะแคงหน้า จนบางครั้งแทบจะตีลังกา ถ้าเป็นคนยุคปัจจุบันคงเป็นศิลปินที่มีนิสัยซุกซนขี้เล่นคนหนึ่ง
“โอย พวกเรามาทันเวลาพอดี” มับไมคราง เมื่อเห็นผนังสิมเก่านั้นกระเทาะหลุดร่อนไปไม่น้อยแล้ว
“หวังว่าสิ่งที่เราตามหาจะไม่ลบเลือนไปเสียก่อน” อุ่นหล้าแตะบ่าดอกเตอร์สาว
ชีวินตรงไปที่มุมหนึ่งของสิมนั่งยองๆ เก็บตัวอย่างแผ่นปูนที่กระเทาะออกมา ใส่ในกลักพลาสติกใสขนาดเท่ากลักไม้ขีดไฟ แล้วใช้ปากกาเมจิกเขียนวันที่เก็บและพิกัดกำกับไว้กันลืม
“เก็บตัวอย่างไว้ไปส่องกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนดูชั้นรองพื้นและชั้นเขียนสีค่ะ”
อุ่นหล้าพยักหน้าให้กับความรู้งานของหนุ่มหวาน ก่อนจะหันไปอธิบายให้ทีมเด็กป.ตรีว่า
“ครูช่างโบราณท่านว่าในการเตรียมชั้นรองพื้นเนี่ยให้ทาหนาเท่ากับเส้นตอกสมัยก่อนใช้วิธีขูดสีจากชั้นสีออกมาแล้วใช้เครื่องสเปโตรโฟโต้มิเตอร์มาวัดค่าการดูดกลืนแสงเพื่อหาองค์ประกอบสีว่ามาจากสีสังเคราะห์หรือสีธรรมชาติ ถ้าจากธรรมชาติน่าจะมาจากอะไร พืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ แต่ปัจจุบันใช้เครื่อง **XRF ก็จะช่วยให้ไม่ต้องทำลายชั้นเขียนสี”
รุ้งลาวัลย์พนมมือขอบคุณอาจารย์พลางจดข้อมูลลงในสมุดจดยิกๆ
“เอ๊ะ อาจารย์ฮะ ถ้าเราดูผิวชั้นรองพื้นที่วัดนี้ ผมรู้สึกว่าสีมันแตกต่างจากผนังวัดสุทัศน์ที่เราไปเรียนนอกสถานที่กัน” โกวิทย์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ผนังสิมจนแทบชิด ก่อนจะหันมาถามอุ่นหล้า
“ใช่ การรองพื้นแบบภาคกลางจะใช้กาวเม็ดมะขามเคี่ยวเทือกกับดินสอพอง แต่สำหรับภาคอีสานส่วนมากจะไม่นิยมรองพื้น ถ้ารองเขาก็จะรองแบบบาง ๆ อย่างสิมวัดไชยศรีที่อาจารย์เคยบรรยายไปในคลาสเมื่อต้นเทอมเนี่ยเป็นลักษณะการรองพื้นด้วยน้ำปูนขาว ถ้าอยากรู้ว่ารองพื้นกาวเม็ดมะขามดินสอพองทำยังไง เดี๋ยวตอนกลับไป ไปดูเด็กจิตรกรรมตึกข้าง ๆ เขาทำก็ได้”
“ขอบคุณอาจารย์ครับ”
ความที่จิตรกรรมอีสานหรือฮูปแต้มนั้น เป็นงานสร้างสรรค์แบบพื้นบ้าน ช่างจึงไม่ได้เคร่งครัดตามขนบแบบภาคกลาง นึกตอนใดขึ้นมาได้ก็วาดใส่ลงไปในพื้นที่ที่ว่าง ทำให้ทั้งหมดต้องทั้งยืดตัว ตะแคงหน้า ก้มดูตามซอกมุมโดยละเอียด ทั้งยังต้องถอดความจารึกอักษรไทน้อยที่ช่างเขียนด้วยลายมือยึกยือเพื่อไม่ให้ข้อมูลสำคัญตกหล่นด้วย ทั้งหมดพยายามจับต้นชนปลายหาจุดเริ่มต้นของเรื่องราว จนกระทั่งดวงตะวันเลยหัวจึงพากันอพยพไปตั้งหลักที่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ด้านข้างสิม
“กระจายตัวกันหาแบบนี้รู้สึกจะสะปะสะปะกันเกินไป” มับไมขมวดคิ้วน้อยๆ
“งั้นเราใช้วิธีเก็บข้อมูลบนผนังแต่ละด้าน เริ่มจากด้านในสิมก่อน” อุ่นหล้าจัดระเบียบการสำรวจ
“แต่ผู้หญิงเข้าไปในสิมไม่ได้”
“งั้นถ่ายแบบกว้างก่อน จุดไหนที่สนใจเป็นพิเศษค่อยถ่ายแบบเจาะ แล้วค่อยมาวิเคราะห์กันทีละด้าน แล้วก็จะได้เครื่อง XRF ตรวจสอบที่จุดนั้นด้วยเลย”
“แล้วอุ่นหล้าจะรู้ได้ไงว่าเราสนใจตรงไหนเป็นพิเศษ”
“แหมคอมพิวเตอร์สมัยนี้มันก็ใช้นิ้วถ่างให้ภาพมันขยายใหญ่ได้จ้ะแม่คุณ”
“แหะ แหะ ลืมไป โอ.เค. ตามนั้น”
นักศึกษาลูกทีมมองทั้งคู่สลับกันออกความเห็นตอบโต้กันกันไปมาราวกับกำลังชมศึกหวดลูกสักหลาดระหว่างราฟาเอลนาดัลและโรเจอร์เฟเดอร์เรอร์กว่าอาจารย์ทั้งสองจะตกลงกันได้ก็เล่นเอาเด็กๆ เมื่อยคอ
“เอ่อ อาจารย์คะ ขอแทรกนิดนึง วันนี้ชิวลี่ขอย้ายไปอยู่ทีมชายนะคะ แบบว่าอยากดูฮูปแต้มในสิมด้วยตาตนเองอ่ะครับ” จู่ ๆ ชีวินปรับท่าทางจากหนุ่มแหววมาเป็นโหมดขึงขัง ทำให้ทุกคนอดขำไม่ได้
………
เมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนตรงหัว เสียง “คร่อกคราก” ก็ดังมาจากหลาย ๆ ท้อง ข้าวห่อที่เตรียมไว้เป็นเสบียงจึงถูกนำมาถูกแจกจ่ายให้กับทุกคน เมื่ออิ่มท้องสมองก็พร้อมจะเรียนรู้ ทั้งห้าเริ่มค้นหาข้อมูลอีกครั้งโดยเริ่มจากภายในสิมก่อน สิมโบราณในภาคอีสานมักจะมีขนาดเล็กเพียงพอสำหรับพระสงฆ์ประกอบสังฆกรรมได้ราวสี่รูป ทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องความอัตคัดของทรัพยากรที่เสาะหามาสร้างด้วย ทั้งยังเป็นความพอเพียงของคนในท้องถิ่น ที่ต้องการประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความหรูหรา
ถึงแม้ศาสนคารหลังนี้จะมีขนาดกระทัดรัด แต่การสำรวจฮูปแต้มภายในสิมนั้นกลับไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ดอกเตอร์หนุ่มและลูกศิษย์มองดูตัวละครเอกของเรื่องที่กำลังแสดงบทบาทในฉากที่ไม่คุ้นเคย คล้ายกับว่ามันเป็นคนละเรื่องเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
“ว้าว นี่มันวิเศษมาก” อาจารย์สาวอุทาน ทำตาโตขยับนิ้วบนแทร็คแพดเพื่อขยายภาพในจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค
เมื่อเห็นทุกคนจ้องมาที่ตนเป็นตาเดียว คนถนัดอักษรโบราณจึงกระแอมก่อนจะขยายความให้เข้าใจโดยทั่วกันว่า
“เนี่ยทุกคนดูนี่ ปรกติแล้ววัดที่มีการแต้มฮูปเรื่องสังสินไซ จะเน้นวาดตอนที่สำคัญอย่างตอนสินไซเดินดง ผจญเจ็ดย่านน้ำ เก้าด่านมหาภัย แล้วก็กลับคืนบ้านเมือง แต่วัดนี้พิเศษมาก คือมีการวาดภาคสองของเรื่องด้วย ปกตินักวิชาการทั่ว ๆ ไป เขาจะไม่ยอมรับภาคนี้กัน เพราะพออ่านสำนวนในหนังสือผูก แล้วคล้ายเป็นคนอื่นมาเขียนต่อจากท้าวปางคำอีกที
“วัดนี้จึงพิเศษมากที่มีการวาดครบทั้งสองภาค โดยมีตอนที่ท้าวเวสสุวรรณคืนชีพให้กับกุมภัณฑ์ แต่ด้วยความแค้นที่ยังมี ยักษ์จึงหวนกลับมาลักพาตัวเมียรักกลับไปครองคู่และเอาสินไซไปต้มกิน ก่อนที่พระอินทร์จะมาห้ามปรามสั่งสอน และภาพบทสรุปของเรื่องด้านหลังพระประธานที่เรียกว่าตอนม้วนชาดก ที่ช่างวาดเล่าไว้ว่าชาติต่อมาสินไซไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า สังข์ทองไปเกิดเป็นพระสารีบุตร และสีโหไปเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ ประมาณนี้” พอได้เล่าเรื่องที่ตนสนใจศึกษามาจึงเผลอบรรยายเสียยืดยาว ในขณะที่ลูกศิษย์พากันจดบันทึกยิก ๆ ลงสมุดเล่มน้อย
‘น่าแปลก ทำไมจึงมีเพียงวัดนี้ที่วาดภาคสองของวรรณคดีจากท้าวปางคำ’ หญิงสาวทดความอยากรู้นั้นไว้ในใจ
*สิม ภาษาอีสานหมายถึง โบสถ์
*XRF (X-ray fluorescein)
หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมส
ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัวเมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเองนักศึ
การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ*ลายแทงขุมทรัพย์………สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบ
ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว
การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง ๆ บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว “ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด” “ว้าวฮักแม่ที่สุด”หลังล้อมวงพาข้าว อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที
ค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลใย ภายในห้องน้อยบนเรือนไม้ใต้ถุนสูง “ย่าเกด” กอดประคองหลานสาวตัวน้อย “มับไม” ไว้ในอ้อมแขน พลางเล่านิทานโบราณด้วยน้ำเสียงกังวาล“อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำชื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า...”เด็กน้อยทำตาโตพลางกำชายเสื้อของย่าแน่นด้วยความตื่นเต้น“พญาซ้างฉัททันต์สิพาหลานเดินดงไปพ้อขุม...”หญิงชรายังเล่าไม่ขาดคำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงผลักประตูบานเฟี้ยมอย่างแรง แผ่นไม้จนกระแทกกับผนังห้องดังปัง! ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ “นางจันสี” รีบเข้ามาอุ้มลูกสาวของตนออกมา“แม่เอาอีกแล้วเซาๆอย่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้หลานฟังอีกเด้อมันบ่มีดอกสิ่งที่แม่ว่าน่ะ” น้ำเสียงของนายเคนทั้งหงุดหงิดทั้งอ่อนใจกับผู้เป็นแม่“มันสิบ่มีได้จังได๋มันเป็นภารกิจของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ให้เจ้าของเพิ่นเดลูก”“ผู้ได๋ล่ะแม่แล้วสิ่งนั้นมันคืออีหยังก็บ่มีไผเคยฮู้บ่มีไผเคยเห็นจักคน”“เจ้าปางคำ เจ้าปางคำแห่งจำปาสักนั่นเดลูก เทียดโตน่ะเป็นคนสนิทของเพิ่น ทวดโตก็เป็นทั้งเสี่ยวฮักและทหารอารักขาราชบุตรลูกเพิ่น ตอนที่เมืองลาวสิแตกปู่โตที่เป็นทหารจึ่งได้รับคำสั่งเสียให้รั