ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง
“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจ
ตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ
ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง
นึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละวางทิฐิมานะลงก่อน
………
เมื่อหลับตาลงภาพในอดีตก็แจ่มชัด
ในวันน้องใหม่รายงานตัว แสงแดดที่แผดเผาไม่อาจทำให้เสียงเพลงและเสียงรัวกลองของรุ่นพี่เบาลงได้เลยมีแต่ยิ่งคึกคัก โดยเฉพาะเวลารุ่นน้องที่หน้าตาน่ารักแสดงตัว
“ขออนุญาตค่ะ น้องชื่อ มับไม รหัส สามแปดศูนย์ - สามหนึ่งศูนย์ - ศูนย์สองเจ็ด ค่ะ” เฟรชชี่มับไมชูแขนขวาแนบใบหู รายตัวเป็นจังหวะอย่างที่ได้รับการฝึกมาจากพี่ ๆ รุ่นซอฟฟะมอร์ พวกมากอาวุโสชั้นปีสูง ๆ ขึ้นไปบ้างปรบมือ บ้างเป่าปากเปี้ยวป้าว ต้อนรับน้องเฟรชชี่หน้าใสกันครื้นเครง
“อ้าว เธอ ๆ เราอยู่คณะเดียวกันนี่นา รหัสเราต่อกับเธอด้วยล่ะ” อุ่นหล้าในวันเยาว์ยิ้มกว้างจนดินสองพองผสมสีที่รุ่นพี่ทาให้แตกลายงาร่วงกราว สาวน้อยหันมายิ้มให้ด้วยไมตรี
“เราอยากเก่งเรื่องจิตรกรรมอ่ะ เธอล่ะ”
“โห เป็นเรื่องยากสำหรับเราเลยนะนั่น เราชอบอักษรโบราณน่ะ”
“สองคนนั้นคุยอะไรกันน่ะ ไปออกไปเต้นไก่ย่าง” รุ่นพี่สต๊าฟปกครองโหวกเหวก ชี้ตัวน้องใหม่ทั้ง ๒ ให้ออกไปรับโทษ
“ไก่ย่างถูกเผาๆมันจะถูกไม้เสียบ เอ้ว มันจะจะถูกไม้เสียบ เสียบตูดซ้าย เอ้ว เสียบตูดขวา เอ้ว ร้อนจริง ๆ ร้อนจริง ๆ” เพื่อน ๆ ข้างล่างเวทีโห่ฮาให้กับท่าทางตลก ๆ ของหนุ่มสาวหน้าลาย
มับไมและอุ่นหล้าพบกันในลักษณะนี้
ความที่รหัสนักศึกษาติดกัน ทำให้บ่อยครั้งต้องทำรายงาน ทำแลป และออกภาคสนามร่วมกัน จากความใกล้ชิดเกิดเป็นความผูกพันบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
“…เริ่มแต่วันที่เราคบกันคล้ายเพื่อน
แต่ดูเหมือนมีสิ่งเร้าใจ ไหวหวั่น
ปล่อยให้รุม สุมสรวงนานวัน
เปลี่ยนเป็นฉันรักเธอ...”
ใครบางคนในไซต์งานเปิดเพลงหนึ่งมิตรชิดใกล้ขึ้นมาสร้างบรรยากาศในการทำงานมับไมอดมองไปทางอุ่นหล้าไม่ได้แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็กลับพบว่าดวงตาเรียวโค้งเป็นประกายยิบหยีนั้นมองมาทางตนอยู่ก่อนแล้วหัวใจของสาวน้อยก็พลันหวั่นไหว
ภายหลังเรียนจบทั้งคู่เลือกที่จะศึกษาต่อในสายงานโบราณคดีเพียงแต่ต่างสาขาออกไปตามที่ตนสนใจแต่ไม่ว่าจะงานราษฎร์งานหลวงทั้งคู่ยังร่วมกิจกรรมด้วยกันเสมอเป็นดังเงาของกันและกันใครๆต่างพูดถึงทั้งสองว่าเป็นนักวิจัยคู่ขวัญที่จะต้องมีข่าวดีในเร็ววันแน่
จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองเข้าร่วมสำรวจสิมโบราณ (อุโบสถ) ในภาคอีสาน และเกิดถกเถียงกันด้วยเรื่องปูนขาวหมักที่ใช้ในการก่อสร้างสิมหลังนี้ คนหนึ่งเชื่อแหล่งข้อมูลของตนว่าเอาเปลือกหอยกาบกี้ไปเผาแล้วตำให้ละเอียด อีกคนหนึ่งก็มีแหล่งข้อมูลมายืนยันว่าไปสกัดหินปูนจากภูเขาเอามาตำ
จากการยกเหตุผลมาถกกลายเป็นการเถียงเพื่อเอาชนะ ต่างคนต่างถือว่าตนก็เป็นที่หนึ่งในตองอู ไม่มีใครยอมลงให้กันก่อน จนกระทั่งลุกลามบานปลาย สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ทั้งคู่เมื่อความสัมพันธ์ถึงขั้นแตกหัก หันหลังไม่ร่วมทางกันอีก
เรื่องงี่เง่า...ใช่เรื่องงี่เง่าที่เหมือนหาสาระอะไรไม่มี แต่มันกลับมีพลังลึกลับบางอย่างที่สามารถทุบทำลายความผูกพันที่บ่มเพาะมานานปีจนแหลกสลายราวน้ำค้างโดนแสงอาทิตย์ได้
………
“ต้องมาขอความช่วยเหลือจริงๆสินะ” นึกถึงครั้งวันเยาว์ที่ตนมักทำแลปล่ม จนอุ่นหล้าระอาจนต้องร้องขอชีวิต “ขอร้องล่ะมับไม เธออย่ามั่นใจตนเองเกินไปนักได้ไหม” แต่ทุกความพังและเจ้าหน้าที่ประจำห้องแลปที่กำลังนั่งหน้าหงิกเพราะรอปิดตึก จะมีอุ่นหล้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ไว้ให้เสมอ ถึงปัจจุบันจะชังน้ำหน้ากันสักแค่ไหน แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ริมฝีปากสีอินจี่เป็นต้องเผยอยิ้มทุกครั้ง
เมื่อภาพในอดีตจบลงดอกเตอร์สาวก็มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานที่คุ้นเคยพอดี ทำท่าทางลังเลเก้ ๆ กัง ๆ ถ้าคำกล่าวว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งจะแก่ไปสิบปีเป็นความจริง ณ จุดนี้ มับไมคงจะอายุราวร้อยสองร้อยปีได้ เมื่อระบายลมหายใจครั้งสุดท้ายก็กลั้นใจเคาะประตูเป็นรหัสรัวแล้วหยุด รัวแล้วหยุดอย่างที่เคยทำ รู้กันเฉพาะสองคนว่าใครมาหา
๓ - ๘ - ๐ - ๓ - ๑ - ๐ - ๐ - ๒ - ๗
คล้ายกับว่าเสียงความเคลื่อนไหวในห้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินเสียง “เชิญ” คนมาง้อจึงหมุนลูกบิดแล้วก้าวเข้าไปภายใน ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานขนาด ๔ x ๔ เมตร
“อะแฮ่ม” มับไมทำลายความเงียบขึ้น
“เอ่อ...เราจะบอกว่าทุกวันนี้ใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจลักษณะของผลึกแคลเซียมได้แล้วว่าปูนน้ำอ้อยน่ะมาจากเปลือกหอยหรือหิน”
“………” อุ่นหล้าเงียบ ดวงตาเรียวดุจ้องหญิงสาวเขม็ง
“อ้าว นี่มาง้อแล้วนะ ทำไมเงียบ” เผลอตัวโวยวายอีกจนได้ มาง้อเขาแท้ ๆ พูดไปแล้วหล่อนก็นึกอยากตะครุบคำพูดของตัวเองกลับคืนมา
อุ่นหล้าไม่ต่อปากต่อคำ ลุกจากเก้าอี้ก้าวยาว ๆ เพียงสามก้าวก็ถึงตัวคนรักเก่า เขากอดร่างเล็กนั้นไว้แน่น ความรู้สึกของคนหลงทางในทะเลทรายแล้วเจอโอเอซิสคงเป็นเช่นนี้เอง
“ผมคิดถึงมับไมมากเลย ผมขอโทษ ต่อไปนี้ไม่ว่ายังไงผมจะเป็นฝ่ายขอโทษมับไมก่อนนะ”
“อุ่นหล้า อุ่นหล้า ดอกเตอร์อุ่นหล้า เฮลโหลมีใครอยู่ไหม” หญิงสาวโบกมือตรงหน้าคู่สนทนา
เสียงแว่วจากไกลๆดังใกล้เข้ามาๆชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อเห็นมือเล็กโบกถี่ๆ อยู่หน้า
“อ่ะ...เอ่อ นี่เหรอที่เรียกว่าง้อ” พุทโธ่ ที่แท้ก็ฝันค้างกลางอากาศไปหรอกหรือ ดอกเตอร์ด้านจิตรกรรมอีสานแกล้งทำแง่งอนกลบเกลื่อน
“ก็ ก็ง้อน่ะสิ ผู้ชายอะไรขี้งอนอย่างกับผู้หญิง” เจ้าหล่อนบ่นอุบอิบในคอ
“ตอนนั้นเราโกรธกันเพราะเรื่องอะไรนะ” เจ้าของห้องทำงานแสร้งทำเป็นลืมเหตุการณ์ไร้สาระนั้น
“ก็ตาสีน่ะสิ ตัวต้นเหตุ รู้ไม่จริงแล้วให้ข้อมูลเราไม่ตรงกัน”
“พวกเรานี่ก็บ้าเนาะ ขนาดรู้ว่าข้อมูลผิด ยังเอาชนะคะคาน แล้วยังทิฐิมานะอีก”
“ใช่ ผ่านไปตั้งหลายปี จนมาวันนี้คุณยังให้ฉันเป็นฝ่ายง้ออีก”
“ที่ผ่านมาผมคิดถึงมับไมมากเลย ผมขอโทษ ขอโทษทั้งเรื่องที่ผ่านมา และในวันนี้ที่ปล่อยให้คุณต้องมาง้อก่อนนะ ต่อไปนี้ไม่ว่ายังไงผมจะเป็นฝ่ายขอโทษมับไมก่อนนะ”
ดอกเตอร์สาวใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าอกอีกฝ่ายอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“จำคำพูดตัวเองไว้ด้วยล่ะ” หล่อนสำทับแสร้งทำหน้าดุ
“กลัวล้าว” ชายหนุ่มแกล้งทำคอหด คนมาง้อหัวเราะคิก
“แต่ฉันคิดว่า เอ่อ เ ราอย่าเพิ่งกลับมาเป็นแฟนกันเลยนะ ดูกันไปก่อนสักหน่อย ครั้งนั้นพวกเราเปราะบางเหลือเกิน แล้วก็ความวัยรุ่นเนาะ มันไม่สุขุมเท่าตอนนี้”
“อืม ผมก็เห็นด้วยนะ แต่ก็อยากขอให้มับไมให้โอกาสผมอีกครั้งด้วย” อุ่นหล้ารอคำตอบด้วยใจระทึก คล้าย ๆ จะกลับไปเป็นวัยรุ่นอายุ 14 อีกครั้ง ต่อเมื่อเห็นริมฝีปากแดงนั้นยกมุมโค้งขึ้น ดวงตาดุจึงโค้งตามอย่างสดใสราวกับรุ้งกินน้ำสองสายยามท้องฟ้าหมาดฝน
อะไรของนายเนี่ยอุ่นหล้า ความงอนหลายปีที่ผ่านมา แค่เขาพูดว่า “ง้อ” ก็ยอมหงอให้เขาแล้ว นาทีนี้นอกจากต้องเป็นช้างเท้าหลังคอยเดินตามจ่าโขลงแล้วจะเป็นอะไรได้เนี่ย ชายหนุ่มนึกอยากเขกหัวตัวเองขึ้นมา
………
หลังจากปมที่ค้างคาในใจคลี่คลาย มับไมได้เล่าถึงสิ่งที่ตนประสบให้ดอกเตอร์อุ่นหล้าฟัง ตั้งแต่เรื่องที่ย่ามักจะบอกกับเธอตอนเด็ก ๆ ความฝันเมื่อตอนกลับไปทำบุญให้ย่า การพบช่องลับในพระพุทธรูป และสารลับใบลานที่พบ ต่างคิดเห็นตรงกันว่าเป็นเกมส์ที่น่าสนุกโดยไม่ได้นึกถึงอันตรายที่รออยู่เลย
ใบลานสองแผ่นแรกมับไมได้เล่าให้เขาฟังแล้วว่า ผู้จารได้เล่าถึงชาดกนอกนิบาตเรื่องสังสินไซ โดยยกมาเฉพาะตอนที่สังสินไซรบกับพญาช้างฉัททันต์ คาดว่าจะเป็นการสื่อว่าพญาช้างจะพาไปพบบางสิ่ง เพราะฉะนั้นกระจุกสีสามหย่อมบนใบลานแผ่นที่สามนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับตอนสังสินไซรบกับพญาช้างฉัททันต์อย่างแน่นอน
อุ่นหล้าหยิบใบลานแผ่นที่สามขึ้นมาพินิจ การจัดวางภาพแบบนี้ สีสันแบบนี้มันช่างดูคุ้นตา ชายหนุ่มรีบเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คขึ้นมา ลากนิ้วไปบนแทรคแพด เปิดโฟลด์เดอร์บันทึกการสำรวจภาคสนาม เลือกแฟ้มภาพ “วัดโพนสิม” ขึ้นมา ลักษณะโครงสร้างของภาพ ลายเส้นและการลงสีคล้ายกันมากทำให้ทั้งสองดอกเตอร์รู้สึกมีความหวังขึ้นมา
“วัดนี้อยู่ที่มหาสารคามสร้างขึ้นเมื่อปีสองพันสี่ร้อยแปดโดยครูบาอ่อนเมื่อสามสิบปีก่อนอาจารย์ที่ปรึกษาของผมไปลงพื้นที่เดือนที่แล้วก่อนท่านจะเสียได้ฝากภรรยาให้นำบันทึกภาคสนามนี้มามอบให้ผม นี่ก็คิดว่าจะลองคลำทางตามรอยครูไปสำรวจสักครั้งก่อน เผื่อพานักศึกษาไปเรียนด้วย เลยได้รื้อข้อมูลมาใส่ในคอมพ์ไว้ก่อน” อุ่นหล้าให้ข้อมูลในเบื้องต้น
“แต่ผมยังไม่แน่ใจนะว่าสิ่งที่เรากำลังหานั้นอยู่นี้หรือเปล่า เพียงแต่ลักษณะของภาพ และการใช้สี อาจจะเป็นช่างคนเดียวกัน เลยคิดว่าถ้าเราไปเริ่มต้นจากที่นั่น อาจจะได้เบาะแสอะไรบ้าง มับไม มับไม ฟังผมอยู่หรือเปล่า”
“อ๊ะ อืม อืม” หญิงสาวรู้สึกตัวจากภวังค์
“มหาสารคาม...ครูบาอ่อน...อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ไม่หรอกมั้ง” มับไมพึมพำท่าทางครุ่นคิด ในขณะที่ดอกเตอร์หนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เจ้าตัวส่ายหน้า กล่าวเพียงว่า “ยังไม่แน่ใจ ถ้าชัดเจนเมื่อไร จะเล่าให้ฟัง”
มันช่างเป็นความบังเอิญอันเหมาะเจาะที่ทำให้มับไมอดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่ามันคงเป็นโชคชะตาที่กำหนดมาว่า ปริศนานี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตนเป็นผู้ไข
ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว
การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง ๆ บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว “ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด” “ว้าวฮักแม่ที่สุด”หลังล้อมวงพาข้าว อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที
ค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลใย ภายในห้องน้อยบนเรือนไม้ใต้ถุนสูง “ย่าเกด” กอดประคองหลานสาวตัวน้อย “มับไม” ไว้ในอ้อมแขน พลางเล่านิทานโบราณด้วยน้ำเสียงกังวาล“อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำชื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า...”เด็กน้อยทำตาโตพลางกำชายเสื้อของย่าแน่นด้วยความตื่นเต้น“พญาซ้างฉัททันต์สิพาหลานเดินดงไปพ้อขุม...”หญิงชรายังเล่าไม่ขาดคำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงผลักประตูบานเฟี้ยมอย่างแรง แผ่นไม้จนกระแทกกับผนังห้องดังปัง! ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ “นางจันสี” รีบเข้ามาอุ้มลูกสาวของตนออกมา“แม่เอาอีกแล้วเซาๆอย่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้หลานฟังอีกเด้อมันบ่มีดอกสิ่งที่แม่ว่าน่ะ” น้ำเสียงของนายเคนทั้งหงุดหงิดทั้งอ่อนใจกับผู้เป็นแม่“มันสิบ่มีได้จังได๋มันเป็นภารกิจของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ให้เจ้าของเพิ่นเดลูก”“ผู้ได๋ล่ะแม่แล้วสิ่งนั้นมันคืออีหยังก็บ่มีไผเคยฮู้บ่มีไผเคยเห็นจักคน”“เจ้าปางคำ เจ้าปางคำแห่งจำปาสักนั่นเดลูก เทียดโตน่ะเป็นคนสนิทของเพิ่น ทวดโตก็เป็นทั้งเสี่ยวฮักและทหารอารักขาราชบุตรลูกเพิ่น ตอนที่เมืองลาวสิแตกปู่โตที่เป็นทหารจึ่งได้รับคำสั่งเสียให้รั