Mag-log inการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์
“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน
“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง
“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”
“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”
อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ
*ลายแทงขุมทรัพย์
………
สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบุคลากรคราคร่ำในโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย มับไมมองเอนกตาปริบ ๆ ในขณะที่อุ่นหล้ากอดอกอย่างอับจนคำพูด ที่เวลาเช่นนี้ยังตระหนี่ได้อีก
“เอ้า ไม่ต้องเกรงใจ กินกันไปคุยกันไปที่นี่แหละ คนพลุกพล่านปลอดภัยดี” หนุ่มใหญ่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ
“พี่รู้ตัวตอนไหน ว่าหน่วยงานเรามีหนอน” อุ่นหล้าถามเสียงเครียด
“ระยะหลังมานี้ เวลาที่เราได้เบาะแสแหล่งโบราณคดี พอไปถึงก็เห็นแต่หลุมเปล่า ๆ ช้ากว่าพวกโจรปล้นสุสานก้าวหนึ่งอย่างน่าเจ็บใจเสมอ”
“เป็นชาวบ้านไหมพี่”
“ดูลักษณะการขุดเปิดหน้าดิน มันมีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่าจอบเสียมของพวกชาวบ้าน น่าจะทำเป็นขบวนการนะผมว่า อีกอย่างนะการลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง พวกเราศึกษาค้นคว้าเอกสารโบราณต่าง ๆ มากมาย อย่างที่ชาวบ้านธรรมดา ไม่มีทางเดินงง ๆ ไปเจอแน่นอน มีอยู่ครั้งหนึ่งคอมพิวเตอร์ของอาจารย์ประวิทย์ศิษย์วรมันดูรวน ๆ เหมือนโดนไวรัส แต่ปรากฏว่าข้อมูลที่หายไปมีแต่เรื่องของบัตรถาของเจ้าชายจิตรเสนทั้งนั้นเลย อาจารย์ประวิทย์แกเกิดเอะใจ ลงทุนตามไปดูถึงแหล่งจารึกถ้ำหมาใน กลางป่านู่น ปรากฏว่า โบ๋เบ๋ เรียบร้อยไปแล้ว ขนาดถ้ำนี้อยู่ในป่าอุทยานแห่งชาตินะ อาจารย์แกจึงแน่ใจว่าข้อมูลถูกแฮกจากระบบอินเตอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยนี่เอง แล้วหัวหน้าแก๊งมันคงตัวใหญ่พอดู เพราะจนบัดนี้ตำรวจยังเงียบ ๆ อยู่เลย” เอนกเล่าถึงอาจารย์โชคร้ายผู้หลงใหลวัฒนธรรมยุคขอมเรืองอำนาจ
“พี่อยากให้เราใช้โอกาสนี้เล่นเกมส์โปลิสจับขโมยไหมฮะ” อุ่นหล้านึกสนุก
“เฮ่ย ไม่ถึงขั้นนั้น เอาแค่พอจะจับสงสัยใครได้ก็พอ ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ เซฟตัวเองกันไว้ก่อน อ้อ ทางผู้กองสิงหราชได้ขอความร่วมมือให้ผมไปช่วยเป็นคณะกรรมการคัดแยกวัตถุโบราณ ที่ตรวจยึดมาได้จากนายพลตำรวจคนหนึ่งจากคดีรับสินบน คงได้หารือกันแหละ”
“ผู้กองสิงหราช” อุ่นหล้าทวนชื่อนายตำรวจ จู่ ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ผู้กองสิงหราช ก็เด็กรัฐศาสตร์จุฬาที่เคยข้ามถิ่นมาจีบมับไมตอนปีหนึ่งไง” เอนกเฉลย
“อ่อ แล้วเรื่องนายพลนี่มันเป็นยังไงมายังไงอ่ะพี่” อุ่นหล้าเปลี่ยนเรื่องคุย ซ่อนน้ำขุ่นไว้ข้างใน ขณะที่หญิงสาวต้นเรื่องมองคนทำท่าฮึดฮัด แล้วเพียงระบายยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า
“เล่าแบบสรุปแล้วกัน คงเป็นการเลื่อยขาเก้าอี้ผู้มีอิทธิพลที่นายพลตำรวจคนนี้สังกัดอยู่น่ะ พอสืบสาวไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าวัตถุโบราณที่แกมีไว้ในครอบครองน่ะ ทั้งมาจากการติดสินบนและขู่กรรโชก ที่จริงแกก็มีผลงานคดีใหญ่ไม่น้อยนะ แต่ก็อย่างว่าแหละโลกนี้ไม่ใครหรอกที่จะขาวสะอาดบริสุทธิ์ไปเสียหมดทุกอย่าง”
“เยอะขนาดไหนพี่ ถึงใช้ภัณฑารักษ์จากกรมศิลป์ไม่พอ ต้องมายืมตัวบุคลากรเรา” มับไมถามบ้าง นี่ถ้าไม่ติดเรื่องล่าขุมทรัพย์บัตรถาคงแล่นตามเอนกไปส่องดูจารึกที่ของกลางแล้ว
“ก็ระดับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบางจังหวัดยังอายเลยล่ะ” พี่ใหญ่เม้มปาก พยักหน้าหงึกหงักท่าทางหนักใจไม่น้อย
ในขณะที่ทั้งสามศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักหารือกันอย่างออกรส ภายในห้องทำงานของเอนก มือข้างหนึ่งสวมถุงมือสีฟ้าค่อย ๆ หยิบหนังสือขอลากิจเพื่อการวิจัย ของมับไมและอุ่นหล้า ขึ้นอ่านอย่างใจเย็นตามด้วยเสียงกระซิบผ่านโทรศัพท์มือถือที่คิดเป็นเรื่องดีไม่ได้ดังขึ้น
“ท่านหรือคะยังไม่ทราบค่ะว่าเป็นอะไรแต่ดอกเตอร์อุ่นหล้ากับดอกเตอร์มับไมกลับมาร่วมงานกันอย่างนี้งานนี้มีเฮแน่ค่ะท่าน”
หลังแยกย้ายกับนักโบราณคดีรุ่นน้อง เอนกก้าวออกจากลิฟท์ชั้นสำนักงานโดยคลาดกับเจ้าของถุงมือสีฟ้าไปเพียงเสี้ยววินาที เ มื่อหนุ่มใหญ่ไขกุญแจเข้ามาในห้องทำงาน สายตาของเขาเหลือบไปเห็นวัตถุบางเบาสิ่งหนึ่งตกอยู่ข้างโต๊ะจึงหยิบขึ้นมาดู
“เส้นผม...ยาวเชียว....ของใคร เราล็อคห้องไว้นี่หว่า” คณบดีหนุ่มใหญ่ลูบศีรษะเรียบลื่นท่าทางครุ่นคิด ท่าทางจะรองบติดกล้องวงจรปิดไม่ไหวเสียแล้ว
บัตรถา คือ ลายแทงขุมทรัพย์
วัดโบราณแห่งนี้แม้จะเป็นโบราณสถานมีฝาผนังล้ำค่า แต่กลับมีพระจำพรรษาอยู่เพียง ๑ รูป เมื่อ “หลวงปู่บุญ” เห็นกลุ่มคนแปลกหน้ามาด้อม ๆ มอง ๆ พร้อมกล้องถ่ายรูปก็เกรงจะเป็นพวกมิจฉาชีพ ที่มาขโมยวัตถุโบราณตามใบสั่ง จึงต้องลงมาดูเสียหน่อยเมื่อเห็นผู้มาใหม่เป็นภิกษุชรา คณะทำงานจึงยอบตัวกราบลงกับพื้น แต่เมื่อมับไมเงยหน้าขึ้นมา กลับทำให้หลวงปู่บุญถึงกับตกใจ เพราะประพิมพ์ประพายของหญิงสาวตรงหน้าช่างคล้ายกับ “ครูบาอ่อน” ผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ล่วงลับของท่านเสียเหลือเกิน ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นในห้วงคำนึงของภิกษุชรา “บุญเอ้ย” “ขอรับพระอาจารย์”“สังขารนี้บ่เที่ยง บ่มีไผหนีวัฏจักรนี้พ้น อย่าได้เศร้าเสียใจ จ่งวางใจให้เป็นอุเบกขาสาเด้อ”“เวลานั้นมาฮอดไวโพดดอกขอรับ” “บ่มีสิ่งใดหนีกาลเวลาพ้นแม้แต่โตของมันเอง อาจารย์ยังมีห่วงอยู่เรื่องหนึ่ง สิฝากเจ้าไว้ได้บ่บุญ”“เชิญพระอาจารย์สั่งมาเถิดขอรับ”“จ่งไปเปิดหีบไม้บักค่า แล้วหยิบเอาเปลือกหอยสังข์มาให้พระอาจารย์แด่”เมื่อพระบุญหยิบของที่ต้องการมาให้แล้ว ครูบาชราจึงเล่าเรื่องราวที่เก็บงำไว้นานปีด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น“ฮูปแต้มที่สิมนั่น เรื่องสั
สิมวัดโพนสิมเป็นสิมมหาอุตม์ขนาดสามห้อง จากที่คิดว่าถ่ายภาพฉากหลัก ๆ ไว้ถี่ถ้วนดีแล้วเพราะขนาดไม่ใหญ่ แต่เมื่อมาพินิจอีกรอบกลับเจอภาพที่ไม่คุ้นปรากฏเพิ่มเข้ามาอีก“เอ๊ ยังไงกันนี่ ทำไมมีรูปหลาย ๆ รูปปรากฏขึ้นอย่างกับว่าเราไม่เคยผ่านตามุมนี้มาก่อน อย่างรูปเหล่านางกำนัลยักษ์ที่กำลังตักน้ำ หนูว่าพวกเราวนผ่านมุมนี้ไม่ต่ำกว่าสามรอบกลับไม่เจอ” กระแตเท้าเอวจ้องภาพที่หล่อนเพิ่งพบอย่างหงุดหงิด“นี่นะเวลาผมไปดูฮูปแต้มแต่ละครั้งนะ จะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง มันจะมีภาพใหม่ ๆ ปรากฏออกมาทุกครั้ง” อุ่นหล้าเล่านิทานหลอกเด็ก ๆ“จริงดิอาจารย์” ลูกศิษย์ตื่นเต้น พากันคิดไปถึงเรื่องอาถรรพ์ของโบราณสถาน“ก็เวลาที่เราดูมาดูภาพแต่ละครั้งด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เราก็จะพบแง่มุมใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมาไง” “ปั๊ดโธ่ อาจารย์อุ่น” เหล่าลูกศิษย์ครางเป็นเสียงเดียวกัน“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่จริงพวกเราอาจจะมัวแต่ตื่นเต้นกับการค้นพบ ทำให้มีหลงหูหลงตากันไปบ้าง เอ้าบ่ายนี้พวกเราก็สู้กันอีกสักยกเนาะ” ดอกเตอร์หนุ่มให้กำลังใจทุกคน“เอ๊ะ...เราลืมรุ้งลาวัลย์ไว้ที่คณะหรือเปล่า ทำไมเงียบจริง” จังโก้แซว “อ่ะ อ่ะ เ
หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมส
ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัวเมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเองนักศึ
การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ*ลายแทงขุมทรัพย์………สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบ
ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว