ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัว
เมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี
เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง
โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเอง
นักศึกษาระดับปริญญาโท มี “กมลวรรณ” หรือ “กระแต” สาวแซ่บประจำคณะ สนใจเรื่องวรรณกรรมพื้นบ้าน
ส่วนนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ตามไปด้วยมี “โกวิทย์” หรือ “จังโก้” หนุ่มมาดกวนนั้นสนใจในเรื่องศาสนคารพื้นถิ่น และ “รุ้งลาวัลย์” หรือ “รุ้ง” เป็นเด็กสาวพูดน้อย สวมแว่นสายตาท่าทางเรียบร้อยคงแก่เรียน สนใจเรื่องภาษาโบราณในบัตรถาเป็นพิเศษ
“อ่ะ อ่ะ เอ่อ จังโก้นายก็ไปด้วยเหรอ” สาวน้อยขยับแว่นสายตาท่าทางขลาด ๆ
“มีปัญหาไรเหรอแว่น ว่าแต่เธอเหอะจะไปเป็นสัมภารกของอาจารย์เหรอ”
เจ้าแสบขยับปากได้ก็จิกกัดเพื่อนสาวทันที ทำเอาสาวแว่นหดคอแทบร้องแง อุ่นหล้าและมับไมมองหน้ากัน แค่เริ่มต้นก็ดูท่าทางจะกลายเป็นทริปส้มตำพ่นไฟใส่พริกร้อยเม็ดเสียแล้ว
ถึงวันออกเดินทางไม่เพียงเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวที่ต้องเอาไปแล้ว ยังรวมถึงอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ อย่างกล้องจุลทรรศน์ สารเคมี และน้ำกลั่นผสมแอลกอฮอล์ที่จะช่วยทำความสะอาดภาพจิตรกรรม เผื่อจะเห็นข้อความลับได้ชัดเจนขึ้นรวมไปถึงอุปกรณ์ปรมาณูเพื่อสันติอย่างเครื่อง *XRF ที่อุ่นหล้าทำ MOU ขอยืมมา ใช้ตรวจชั้นสีในฮูปแต้ม ทั้งหมดยังยังไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์ไฮเทคโนโลยีสารพัดที่ขนไปนั้น จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่ แต่ก็ขนกันไปก่อนเพื่อความอุ่นใจ
“กรี๊ด เจ้ ผ้าพันคอรุ่นลิมิเตดอิดิชั่น ของจิม ทอมป์สัน ลายเส้นของอาจารย์อิทธิพล ตั้งโฉลก อ่ะ” มับไมตื่นเต้นกับไอเท็มรุ่นพิเศษที่เจ้าพ่อแห่งวงการสิ่งทอจับมือกับศิลปินแห่งชาติ ผลิตผ้าพันคอและผ้าคลุมไหล่ออกมาในจำนวนจำกัด ที่แม้เธอจะใช้เส้นสายของเพื่อนฝูงในวงการแพรพรรณก็ยังหาซื้อไม่ได้
“เพราะทุกที่คือรันเวย์จ้า” ชิวลี่ตอบมับไม ทำท่าสะบัดบ็อบอย่างน่าหมั่นไส้ ถึงจะอยู่ในฐานะอาจารย์และนักศึกษาแต่อายุของมับไมก็อ่อนกว่าชีวิน ๕ ปี ที่เขามาเรียนช้าเพราะกิจการทางบ้านอยู่ในขั้นตรีทูตจากวิกฤกติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ชีวินจึงขอกลับมาใช้ชีวิตตามความฝันอีกครั้ง
“จริงค่ะอาจารย์ถึงจะไปไซต์งาน แต่เราจะโทรมไม่ได้ ปากไม่แดงไม่มีแรงเดินเด้อ” สาวแซ่บประจำกลุ่มเปิดกระเป๋าเครื่องสำอางค์ใบเล็กที่เสียบลิปติกเรียงเป็นตับอย่างกับกระเป๋าใส่กระสุน .38 มับไมลองดูสีที่สนใจและจดหมายเลขไว้ กลับจากเดินทางเมื่อไร เคาท์เตอร์เครื่องสำอางค์ต้องลุกเป็นไฟ
รุ้งลาวัลย์เขยิบเข้ามาดูอย่างอยากมีส่วนร่วม แต่เมื่อพี่ ๆ จะแต่งให้บ้าง เธอก็โบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันอย่างขัดเขิน
“หึ” นายจังโก้คู่กัดพ่นลมออกจากจมูกอย่างรำคาญในความเชย
“เอาล่ะ ทุกคนได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว” อุ่นหล้ารีบต้อนทุกคนขึ้นรถเอสยูวีเพื่อไม่ให้ไปถึงหมุดหมายค่ำเกินไปนัก
รถเอสยูวีสีน้ำเงินกลางเก่ากลางใหม่แล่นไปตามถนนมิตรภาพมุ่งสู่จังหวัดขอนแก่น ระหว่างพักรถที่บริเวณเขื่อนลำตะคอง เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าในโทรศัพท์มือก็ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกงของดอกเตอร์สาวก็ดังขึ้น เมื่อเลื่อนดูก็เห็นว่าเป็นถ่ายทางอากาศที่เพื่อนจากสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น ส่งมาให้
“ขอบใจจ้า” เธอพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนจะเรียกอุ่นหล้า และทีมงานล่าช้างให้มาสมทบกัน
เมื่อภาพแผนที่ลายมือจากอาจารย์ผู้ล่วงลับของอุ่นหล้า มารวมกับภาพถ่ายทางอากาศ ตำแหน่งที่ตั้งของวัดที่ตามหาก็ชัดเจนขึ้น แต่มันมีอะไรแปลก ๆ บางอย่าง มับไมสบตาอุ่นหล้าด้วยสายที่รู้กัน จนเมื่อพวกนักศึกษาแยกย้ายไปตามอัธยาศัย อุ่นหล้าจึงได้ถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คุณดูภาพนี่สิ” หญิงสาวเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง
“ตรงนี้คือเมืองนาดูน เป็นเมืองเก่าที่คนที่ศึกษาจารึกสมัยทวารวดีจะรู้จักดี โดยเฉพาะพระเครื่องกรุนาดูนที่เซียนพระตามหากันให้ควัก หมู่บ้านบริเวณลำน้ำดูนจะมีป่าโบราณพื้นที่เกือบ ๑๐๐๐ ไร่ จากภาพถ่ายทางอากาศทำให้เห็นว่าอีกฟากหนึ่งของป่าเคยมีการตั้งอยู่ของชุมชนเล็ก ๆ ตรงนี้ แต่ดูจากภาพคล้าย ๆ จะเป็นหมู่บ้านร้างไปแล้วนะ ต้นไม้แทรกขึ้นมาพอสมควรทีเดียว” มับไมใช้นิ้วจิ้มไปตามตำแหน่งต่าง ๆ บนภาพ พลางทำคิ้วขมวดมองคู่สนทนา
“อีกอย่างหนึ่งครูบาอ่อนท่านนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่าสมัยเป็นเด็กเคยได้ยินย่าและพ่อแม่คุยกันถึงทวดน้อยอ่อนว่าท่านบวชแล้วออกธุดงค์จาริกไป ญาติ ๆ ทางบ้านเองก็ไม่ได้ยินข่าวท่านอีกเลย” หญิงสาวเล่าถึงชื่อที่ติดค้างอยู่ในใจ
“เออ แปลกแฮะ ตอนแวะไปบ้านคุณ ลองถามข้อมูลขั้นต้นพ่อกับแม่ก็ดีนะ”
“อืมๆฉันโทรบอกพวกท่านไว้แล้วล่ะ ว่าพวกเราจะแวะไปกินข้าวด้วยกัน”
………
หมู่บ้านที่มับไมเกิดและเติบโตนั้น รูปแบบไม่ต่างจากการตั้งหมู่บ้านเก่าแก่ในภาคอีสานอื่น ๆ เท่าไรนัก คือมีการอพยพตามผู้นำมาตั้งบ้านเรือนยังบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมักจะใช้นามสกุลเดียวกันทั้งหมู่บ้าน แต่หมู่บ้านของมับไมนั้นความแตกต่างเห็นจะอยู่ที่งำความลับบางอย่าง
เมื่อรถเอสยูวีสีแหล่อย่างที่เจ้าของเรียกมันเลี้ยวเข้ามาเขตบ้าน พ่อกับแม่ที่ชะเง้อรอที่ซุ้มม้านั่งมาตั้งแต่บ่ายพากันลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“มาๆ เข้ามาพักมาเซากันสาก่อน ค่อยกินข้าวกัน” นายเคนเชื้อเชิญทุกคน
“สวัสดีคร้าบ สวัสดีค่า คุณพ่อ คุณแม่” ทุกคนทักทายเจ้าบ้านโดยพร้อมเพรียง
“โห บรรยากาศบ้านอาจารย์น่ามาถ่ายพรีเวดดิ้งมาก ๆ เลยค่ะ” รุ้งลาวัลย์ตื่นเต้นกับเรือนโบราณตรงหน้า
“เป็ดแว่นอย่างเธอจะมีใครให้ถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยเหรอ” โกวิทย์อดจิกกัดสาวแว่นไม่ได้
“ไม่มีก็แต่งกับพี่ชิวลี่ก็ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน ชิ” รุ้งกอดแขนชิวลี่ทำหน้าเชิ่ด
“นั่นเขาเรียกว่าเผาหลอกแล้วหล่อน” โกวิทย์ยังจิกกัดอย่างไม่ลดละ
“เดี๋ยวๆ แก จังโก้ เผาหล่งเผาหลอกอะไร ว่าแต่แกเหอะชอบมาทำเป็นจิกกัดเขา ระวังเหอะ กลายเป็นทาสรักยายรุ้งเมื่อไรฉันจะหัวเราะให้ฟันร่วง” ชิวลี่เอาคืนแทนน้องคนเล็กของกลุ่ม เจ้าแสบที่กำลังจะอ้าปากต่อคำจำต้องเปลี่ยนท่าทีเป็นสงบเสงี่ยม ทำตัวเป็นคนดีรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วย เมื่อแม่ของมับไมยกพาแลงเข้ามา
“มาลูกมาลองชิมอึ๊บไก่ อั่วแคนาปลาตอง จี่ปูนา หมกปลาซิวอ้าว ต้มแซ่บกระดูกอ่อน ฝีมือแม่กันก่อน” นางจันสีภูมิในนำเสนอเมนูอาหารมื้อเย็น
“กับข้าวพื้นบ้านกินกันได้บ่ล่ะ” นายเคนออกตัว
“แพ้ปลาร้าค่ะ หยุดกินไม่ได้” กระแตเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อก แทบลืมภาพลักษณ์สวยเสมอ ทำเอาแม่ครัวประจำบ้านหัวเราะ
อาหารพื้นบ้านแต่รสชาติติดดาวที่นางจันสีปรุงในวันนี้ไม่ใช่อาหารที่พบได้ทั่วไปตามร้านอาหารอีสานประเภทส้มตำไก่ย่างที่มีดาษดื่นในกรุงเทพฯแม้จะมีบางเมนูแต่ก็สู้รสมือที่แม่ตั้งใจทำให้ลูกๆ กินไม่ได้
ไม่มีใครบ่นว่ากินข้าวเหนียวแล้วกลัวท้องจะอืดเลย ปั้นข้าวเหนียวแล้วตักกับข้าวกันคนละหนุบคนละหนับอย่างเจริญอาหาร อึ๊บไก่หรือไก่ใต้น้ำรสชาติจัดจ้านหอมเครื่องสมุนไพรถูกใจชิวลี่และจังโก้เป็นที่สุด
แต่สิ่งที่ทำให้สาวๆแซ่บจนลืมอ้วนเห็นจะเป็นความขมของดอกแคนาที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารทำให้กระแตอร่อยจนลืมคำนวณแคลอรี และรุ้งที่เห็นเงียบ ๆ แต่ก็เก็บเรียบทุกจาน
หลังมื้ออาหารเย็นเหล่านักศึกษาออกไปสำรวจหมู่บ้านวิถีชนบทเหลือเพียงมับไมและอุ่นหล้าที่ยังนั่งคุยกับนายเคนและนางจันสีบนเรือน
“พ่อ แม่ ลูกขอถามเรื่องบ้านเฮาจักน้อยแน” มับไมทำท่าทางจริงจังจนผู้นำหมู่บ้านนึกหวั่น
“อยู่ รู้ เห็นมาแต่น้อย ยังมีหยังที่รอดหูรอดตาลูกไปได้” ผู้เป็นพ่อเลี่ยง หลบสายตาลูกสาว
“กะเรื่องทวดน้อยอ่อนนั่นเด้คือบ่เคยมีผู้ใด๋เว่าเถิงลาว”
“โรคห่า” “สัตว์ร้าย” พ่อแม่พูดโดยไม่พร้อมเพรียง มับไมหรี่ตาเอียงคอรู้สึกถึงพิรุธ ในขณะที่อุ่นหล้านิ่งรอรับฟัง
“อ่ะ เอ่อ ลาวกะออกบวชแล้วกะจาริกไปทั่ว โดยบ่ได้ส่งข่าวพี่น้องทางบ้านอีกตามที่ฮู้กันเนาะ ก็เลยสันนิษฐานว่าในยุคสมัยนั้นลาวอาจสิติดโรคห่า หรือไปเจอสัตว์ร้ายก็สุดที่พี่น้องครอบครัวสิฮู้ได้ กะประมาณนี้” นายเคนเล่าพลางพยามยามสบตาลูกกลบเกลื่อนพิรุธ
แม้จะฟังแล้วรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ค่อยสมเหตุสมผลแต่หญิงสาวก็เลือกที่จะไม่ดึงดันคาดคั้นเอาความจริงจากผู้เป็นพ่อ เพราะเธอทราบดีถึงความห่วงใยของบุพการีถึงได้พยายามปิดบังอำพราง ดอกเตอร์สาวจึงสะกิดอุ่นหล้าให้ตามน้ำ เออออห่อหมกไป
ที่สำคัญถ้าเกิดนายเคนถามกลับ ความเป็นลูกที่ไม่เคยโกหกพ่อแม่ ถ้าพ่อรู้ว่าเธอไปพบอะไรเข้า และพยายามทำอะไร เป็นต้องโดนค้ดค้านบ้านแตกแน่ กลับบ้านครานี้หญิงสาวจึงไม่ได้นอนค้างที่บ้านเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติภารกิจลับ
เมื่อรถเอสยูวีสีน้ำเงินแล่นลับรั้วบ้านไปแล้วนางจันสีเกาะแขนสามีอย่างกังวล
“อ้ายเคน”นางเรียก แต่ไม่มีคำพูดใดไปมากกว่านั้น
“บ่มีหยังดอกๆเป็นเรื่องบังเอิญซือๆดอกน่ะ”ผู้นำหมู่บ้านตบที่มือคู่ชีวิตเบาๆ ปลอบใจทั้งตนเองและภรรยา โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ากุญแจที่จะทำให้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาต้องจากไปไกลสุดปลายฟ้าอยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง
………
รุ่งเช้าหลังอุ่นกระเพาะกันด้วยไข่กระทะร้านดังประจำจังหวัด ก่อนจะตบท้ายด้วยเกาเหลาเซี่ยงจี๊ร้านที่โลกออนไลน์รีวิวว่าพลาดไม่ได้จนพลังงานเต็มเปี่ยมแล้ว คณะทัวร์ตัวแตกจึงออกเดินทางสู่จังหวัดมหาสารคาม โดยมีหมุดหมายอยู่ที่อำเภอนาดูน
“ผมว่าเดี๋ยวเราน่าจะแวะซื้อเสบียงกรังที่ตลาดท่าขอนยางสักหน่อย เผื่อเราต้องอยู่ที่หมู่บ้านร้างนั่นหลายวัน” อุ่นหล้าเสนอความคิด ทุกคนพยักหน้าหงึดหงักเป็นม้าได้หญ้าเห็นดีด้วย ทั้งที่เพิ่งจะบ่นอิ่มจนตัวจะแตกไปแหม่บ ๆ แต่ก็พอพูดถึงตลาดก็วางแผนจะซื้อของกินโน่นนี่นั่นกันอีกแล้ว อุ่นหล้ามองความครื้นเครงของบรรดาลูกทีมผ่านกระจกหลัง คิดหวังในใจหวังว่าขออย่าให้เกิดเหตุไม่คาดคิดพลิกผันใด ๆ ขอให้ปลอดภัยกลับบ้านกันทุกคน
ตลาดสดทุกวันนี้แทบไม่รู้จักคำว่าวาย พ่อค้าแม่ขายนั่งรอคนมาจับจ่ายตลอดทั้งวัน แม้ว่าทีมงานล่าสมบัติจะไปถึงตลาดสายสักหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา สาว ๆ นักช้อป ใช้เวลาเพียง ๑๕ นาที สาวๆ ก็หอบหิ้วของกินพะรุงพะรังกลับมาที่รถ
“เด็กกรุงเต๊ฟคะอยากให้ลองชิมสิ่งนี้” อาจารย์สาวส่งขนมหน้าตาคล้ายพุดดิ้งสีเขียวใบเตยให้คนละกระทงใบตอง
“คืออะไรอ่ะคะ/ฮะอาจารย์” เด็กกรุงเต๊ฟทั้งสี่รับกระทงขนมมาแล้วมองไปที่เจ้าภาพอย่างขอคำตอบเป็นตาเดียวกัน
“นี่เรียกว่า ยาคูข้าวปาด เป็นขนมอีสานที่มีแค่ช่วงฤดูฝน ชาวบ้านเค้าเชื่อว่าลูกหลานกินแล้วจะปัญญาดี”
ซ้วบ!
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว
“ได้ยินอาจารย์มับไมบอกว่ากินแล้วจะฉลาดเลยจัดเลย” เจ้าจังโก้ตัวแสบยิ้มเขินทั้งที่ขนมยังเต็มปาก สาว ๆ ในทีมส่ายหน้าระอา
“น่าเกลียดจริงเชียว” รุ้งลาวัลย์เบ้ปากบ่นคู่กัดเบา ๆ
อุ่นหล้าเหม่อมองขนมในมือจิตใจล่องลอยไปไกลถึงวัดศรีอุบล ภาพความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเด็กชายอุ่นหล้าฉายชัดขึ้น หลังจากสูญเสียบิดามารดาไปอย่างกระทันหัน ความอัตคัดทำให้ญาติพี่น้องไม่สามารถรับเลี้ยงดูเด็กชายได้ จึงนำมาฝากไว้กับหลวงตาแจ้งที่วัดศรีอุบล หวังใจว่าความเป็นคนบ้านเดียวกันจะทำให้ภิกษุชราเมตตาเด็กชายบ้าง
นับแต่นั้นอุ่นหล้าจึงดำรงตำแหน่งอารามบอยเต็มตัว ยามกลางคืนนอนบนกุฏิกับหลวงตา ยามเช้าเดินตามท่านบิณฑบาต คอยอุปฐากจนกระทั่งถึงเวลาไปโรงเรียน ซึ่งก็เป็นโรงเรียนภายในวัดศรีอุบลนี่เอง ในตอนที่ใจเศร้าหมองหลวงตายื่นขนมยาคูข้าวปาดมาให้ บอกว่ากินแล้วจะได้ฉลาด ในตอนที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยแม้จะดีใจแต่ก็กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ยังคงเป็นหลวงตายื่นขนมยาคูข้าวปาดมาให้แล้วบอกไม่ต้องกังวลให้ตั้งใจเล่าเรียนให้เต็มที่
แม้หลวงตาจะมรณภาพไปหลายปีแล้ว แต่ครั้งใดที่ได้กินขนมยาคูข้าวปาดก็คล้ายสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีอันหอมหวานของหลวงตาที่มีให้เขาเสมอ ดอกเตอร์หนุ่มตักขนมเข้าปากน้ำตาซึม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นมับไมส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้หัวใจของเขาก็พลันอบอุ่น
………
“ใช้เทคโนโลยีให้น้อย ใช้ความเป็นมนุษย์ให้มาก”
เป็นโอวาทที่อาจารย์มอบให้เขาในพิธีจบการศึกษา เป็นคำสอนที่จะเรียกว่าเหนือกาลเวลาก็เห็นจะไม่ผิด เพราะเจ้าแอปลิเคชั่นจีพีเอสที่ว่าส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมเทคโนโลยีสูงเทียมฟ้า แต่มันกลับไม่ตอบสนองกับเส้นทางที่ยังเป็นดินลูกรังเอาเสียเลย พาหลงเข้ารกเข้าพงไปเสียหลายรอบจนมับไมหัวเสีย โชคยังดีที่ไม่พาไปตกน้ำตกท่าจนเป็นอันตรายเหมือนในข่าวที่เห็นทางโทรทัศน์บ่อย ๆ ต้องอาศัยถามทางจากชาวบ้านเป็นระยะ ๆ
จนในที่สุดจากภาพถ่ายทางอากาศที่มองเห็นแต่หย่อมความครึ้มเขียว ตอนนี้ที่เบื้องหน้าเป็นป่าจริงแล้ว สังเกตจากไม้ยืนต้นพวกเต็ง รัง เหียง และไม้ระดับล่างอย่างเพ็ก ป่านี่น่าจะเป็นป่าดิบแล้งสลับกับป่าเต็งรัง อุ่นหล้าสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อเตรียมทางหนีทีไล่ เสียงนกขับขานเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงร้องดังโป๋วของเก้งกว้างทำเอาทั้งสาวแท้สาวเทียมจากเมืองกรุงอดตื่นเต้นไม่ได้
ยังโชคดีที่ลักษณะภูมิประเทศแม้จะมีป่าเป็นปราการก่อนเข้าหมู่บ้าน แต่เพราะเหตุนี้จึงมีเส้นทางเกวียนโบราณที่เรียกว่า “*ทางโสก” เป็นเส้นทางนำเข้าหมู่บ้านทำให้ไม่หลง ทางโสกลูกรังนี้ทิ้งรอยลึกราว ๕ เมตร ไว้เหมือนเป็นกำแพงดินขนาบข้าง ผนวกกับต้นไม้สูงแผ่กิ่งก้านประสานกัน สองข้างทางจึงราวกับเดินรอดอุโมงค์ก็ไม่ปาน
“เดินในป่าแบบนี้ก็เสียวๆ เสือเหมือนกันเนาะ” ชิวลี่ลูบต้นแขนทำท่าขนลุก
“ไม่เอาพี่ชิวลี่ เขาว่าเข้าป่าอ่ะอย่าพูดถึงเสือ” กระแตตีแขนหนุ่มหวานดังเผียะ
“มีเรื่องเล่าว่าเสือที่กินคนมากๆ วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นเข้าไปสิงสู่อยู่ในร่างเสือร้ายทำให้มันกลายเป็นเสือสมิง...” เจ้าจังโก้ตัวแสบแกล้งเล่าเรื่องหลอน
“กรี๊ด หยุดพูด ๆ ๆ ๆ” รุ้งลาวัลย์จอมขี้ขลาดปิดหูแน่น
“เอาล่ะๆ ทุกคน เข้ามาในพื้นที่โบราณสงบสำรวมกันไว้ก่อนก็ดี” อุ่นหล้าหย่าศึก
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านจู่ๆ ลมบ้าหมูขนาดใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นและหมุนมาทางทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ลมประหลาดได้ม้วนเอาทั้งฝุ่น หญ้า และเศษฟาง ลอยขึ้นกลางอากาศ ขนาดที่ใหญ่โตอย่างกับลูกหลานทอร์นาโดทำเอาคนต่างถิ่นทั้ง ๕ ถึงกับเซ ทั้งหาที่ยึด ทั้งปิดจมูกกันฝุ่นเป็นที่วุ่นวาย แต่เพียงชั่วครู่ลมหมุนประหลาดกลับสลายตัวไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ราวกับมาหยอกเย้าแขกแปลกหน้าเล่นเฉย ๆ
มับไมคลายมือที่บีบแขนอุ่นหล้าไว้แน่นโดยไม่รู้ตัวออก พูดแก้ขวย “ต้อนรับแบบนี้ก็ดูจะเอิกเกริกเกินไปหน่อยนะ” ดอกเตอร์หนุ่มยิ้มแป้น ซ่อนความดีใจไว้ไม่มิด
เรือนในหมู่บ้านร้างล้วนแต่เป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง วัสดุแตกต่างกันไปตามฐานะเจ้าของเรือน ทั้งเฮือนเกย เฮือนแฝด เฮือนโข่ง เฮือนตูบต่อเล้า ไปจนถึงเฮือนฝาขัดแตะ แม้จะผ่านกาลเวลามากว่า ๑๐๐ ปี มีบ้างที่ผุพังแต่ยังคงความงามแบบซื่อใสตามประสางานพื้นถิ่น ทั้งหมดต่างถ่ายภาพเก็บข้อมูลจนกล้องถ่ายรูปแทบร้องขอชีวิต เป็นมับไมที่ได้สติก่อนใครเพื่อน
“ทุกคนคะเดี๋ยวเมมจะเต็มเสียก่อน ยังมีงานสำคัญรอเราอยู่ข้างหน้านะ”
ทั้งหมดจึงออกเดินกันต่อโดยคลำทางจากภาพแผนที่ทางอากาศเพื่อหาทางไปวัดประจำหมู่บ้าน หมู่บ้านแห่งนี้จะว่าไปก็ถือว่าเป็นดินแดนลับแลแห่งยุคดิจิตัลก็ว่าได้ เพราะแม้กระทั่งระบบจีพีเอสในแอปลิเคชั่นยอดนิยมอย่างกูเกิลแมปยังมึนงงราวกับถูกโค้งครอบแก้วมากางกั้นเอาไว้
*XRF (x-ray fluorescein) ใช้ตรวจสอบองค์ประกอบธาตุในแต่ละชั้นของโบราณสถาน สามารถใช้จำแนกได้ทั้งสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์
*ทางโสก หรือ ทางเหลิก เป็นทางเกวียนโบราณที่ชาวบ้านเรียกว่า ทางลึกเนื่องจากว่า ใช้สัญจรมานานจนถนนกลายเป็นร่องลึกลงไปราวสองเมตร มีต้นไม้คลุมทั้งสองฝั่ง เป็นเหมือนอุโมงค์
หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมส
ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัวเมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเองนักศึ
การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ*ลายแทงขุมทรัพย์………สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบ
ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว
การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง ๆ บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว “ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด” “ว้าวฮักแม่ที่สุด”หลังล้อมวงพาข้าว อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที
ค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลใย ภายในห้องน้อยบนเรือนไม้ใต้ถุนสูง “ย่าเกด” กอดประคองหลานสาวตัวน้อย “มับไม” ไว้ในอ้อมแขน พลางเล่านิทานโบราณด้วยน้ำเสียงกังวาล“อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำชื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า...”เด็กน้อยทำตาโตพลางกำชายเสื้อของย่าแน่นด้วยความตื่นเต้น“พญาซ้างฉัททันต์สิพาหลานเดินดงไปพ้อขุม...”หญิงชรายังเล่าไม่ขาดคำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงผลักประตูบานเฟี้ยมอย่างแรง แผ่นไม้จนกระแทกกับผนังห้องดังปัง! ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ “นางจันสี” รีบเข้ามาอุ้มลูกสาวของตนออกมา“แม่เอาอีกแล้วเซาๆอย่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้หลานฟังอีกเด้อมันบ่มีดอกสิ่งที่แม่ว่าน่ะ” น้ำเสียงของนายเคนทั้งหงุดหงิดทั้งอ่อนใจกับผู้เป็นแม่“มันสิบ่มีได้จังได๋มันเป็นภารกิจของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ให้เจ้าของเพิ่นเดลูก”“ผู้ได๋ล่ะแม่แล้วสิ่งนั้นมันคืออีหยังก็บ่มีไผเคยฮู้บ่มีไผเคยเห็นจักคน”“เจ้าปางคำ เจ้าปางคำแห่งจำปาสักนั่นเดลูก เทียดโตน่ะเป็นคนสนิทของเพิ่น ทวดโตก็เป็นทั้งเสี่ยวฮักและทหารอารักขาราชบุตรลูกเพิ่น ตอนที่เมืองลาวสิแตกปู่โตที่เป็นทหารจึ่งได้รับคำสั่งเสียให้รั