สิมวัดโพนสิมเป็นสิมมหาอุตม์ขนาดสามห้อง จากที่คิดว่าถ่ายภาพฉากหลัก ๆ ไว้ถี่ถ้วนดีแล้วเพราะขนาดไม่ใหญ่ แต่เมื่อมาพินิจอีกรอบกลับเจอภาพที่ไม่คุ้นปรากฏเพิ่มเข้ามาอีก
“เอ๊ ยังไงกันนี่ ทำไมมีรูปหลาย ๆ รูปปรากฏขึ้นอย่างกับว่าเราไม่เคยผ่านตามุมนี้มาก่อน อย่างรูปเหล่านางกำนัลยักษ์ที่กำลังตักน้ำ หนูว่าพวกเราวนผ่านมุมนี้ไม่ต่ำกว่าสามรอบกลับไม่เจอ” กระแตเท้าเอวจ้องภาพที่หล่อนเพิ่งพบอย่างหงุดหงิด
“นี่นะเวลาผมไปดูฮูปแต้มแต่ละครั้งนะ จะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง มันจะมีภาพใหม่ ๆ ปรากฏออกมาทุกครั้ง” อุ่นหล้าเล่านิทานหลอกเด็ก ๆ
“จริงดิอาจารย์” ลูกศิษย์ตื่นเต้น พากันคิดไปถึงเรื่องอาถรรพ์ของโบราณสถาน
“ก็เวลาที่เราดูมาดูภาพแต่ละครั้งด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เราก็จะพบแง่มุมใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมาไง”
“ปั๊ดโธ่ อาจารย์อุ่น” เหล่าลูกศิษย์ครางเป็นเสียงเดียวกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่จริงพวกเราอาจจะมัวแต่ตื่นเต้นกับการค้นพบ ทำให้มีหลงหูหลงตากันไปบ้าง เอ้าบ่ายนี้พวกเราก็สู้กันอีกสักยกเนาะ” ดอกเตอร์หนุ่มให้กำลังใจทุกคน
“เอ๊ะ...เราลืมรุ้งลาวัลย์ไว้ที่คณะหรือเปล่า ทำไมเงียบจริง” จังโก้แซว
“อ่ะ อ่ะ เอ่อ เราอยู่นี่” สาวน้อยยกมือขยับแว่นท่าทีขลาด ๆ
เมื่อรู้ข้อบกพร่องของกลุ่มแล้ว การเก็บข้อมูลรอบนี้ทั้งหมดจึงเพิ่มความละเอียดรอบคอบ พยายามไม่ให้ข้อมูลสำคัญตกหล่น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่
………
ในที่สุดก็พบภาพที่ตามหาซุกตัวอยู่ที่กรอบด้านในกรอบของหน้าต่างหลอก ซึ่งถ้าไม่ไต่บันไดนั่งร้านขึ้นไปส่องดูก็คงไม่พบ เป็นภาพตอนสินไซผจญด่านพญาช้างเผือกฉัททันต์
ภาพนั้นเล่าเรื่องนับตั้งแต่พญาช้างและโขลงหากินกันอย่างสบายอารมณ์ จนกระทั่งได้พบกุมารน้อยและเกิดโมโหที่มนุษย์บุกรุกเข้ามาในเขตของตน จนเกิดการต่อสู้ขึ้น ที่สุดพญาช้างพ่ายแพ้ต่อเสียงต่อยสายธนูของสินไซ จึงพาสินไซไปส่งที่ริมฝั่งแม่น้ำที่กว้าง ๓ โยชน์ เพื่อไปตามหาอาที่เมืองยักษ์
ในตำราคชลักษณ์ได้เล่าถึงฉัททันต์หัตถีว่า ครั้งหนึ่งพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ในเกษียรสมุทร เกิดดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี ดอกบัวนั้นมี ๘ กลีบ มีเกสร ๑๗๓ เกสร พระนารายณ์จึงนำดอกบัวนั้นไปถวายพระอิศวร
พระอิศวรได้แบ่งดอกบัวนั้นเป็น๔ส่วนเกิดเป็นช้าง๔พงศ์ ส่วนที่ ๑ พระอิศวรนำไปสร้างช้างอิศวรพงศ์ ส่วนที่ ๒ พระพรหมสร้างเป็นช้างพรหมพงศ์ ส่วนที่ ๓ พระนาราย์นำไปสร้างเป็นช้างวิษณุพงศ์ และส่วนที่ ๔ พระเพลิงสร้างเป็นช้างอัคนีพงศ์
ช้างฉัททันต์นั้นเป็นช้างเผือกในตระกูลวิษณุพงศ์ มีสีเงินยวง ในชาดกนอกนิบาตเรื่องสังสินไซนั้น ผูกเรื่องให้บทสรุปของเรื่องว่า พญาช้างฉัททันต์ที่พาสินไซเดินทางไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่กว้าง ๓ โยชน์ ในกาลข้างหน้าเมื่อสินไซไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พญาช้างเผือกก็ได้ไปเกิดเป็นม้ากัณฑะ
ที่แท้กระจุกสีจากใบลานที่ตามหาเป็นตอนที่พญาช้างฉัททันต์ให้สังสินไซขี่คอเพื่อไปส่งริมฝั่งมหานที ซึ่งพ้องกับคำใบ้ของย่าเกดที่ย้ำกับหญิงสาวมาตั้งแต่วัยเยาว์ว่า “ช้างฉัททันต์จะพาเดินดงไปพบขุมทรัพย์”
ทว่าแม้จะเจอภาพที่ตามหาแล้ว แต่ทั้งหมดกลับจนด้วยเกล้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อไม่พบเบาะแสใดให้สืบสาวต่อ เหมือนละครที่ตัดบทจบลงดื้อ ๆ หรือปริศนาที่สู้อุตส่าห์เค้นสมองขบคิดกันมาจะจบลงเพียงเท่านี้
ในขณะที่ทุกคนกำลังท้อใจ ดอกเตอร์สาวกลับแวบความคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เธอค่อย ๆ ไล่สายตาไปตามลายเส้นที่ขดไปมาจนกลายเป็นองค์ประกอบของภาพ ก่อนจะเบิกตากว้าง
“บิงโก บิงโก ๆ ๆ ๆ ทุกคนคะ วรรณรูปค่ะ มันคือวรรณรูป” หญิงสาวปรบมือกระโดดเหยง ๆ ซ่อนความดีใจไม่มิด
“……” สมาชิกในทีมทำหน้างง ตามความคิดของเธอไม่ทัน
“วรรณรูป คือ การประดิษฐ์ตัวอักษรให้มีลักษณะเป็นรูปภาพค่ะ อืม ยกตัวอย่างภาพพระพุทธรูปที่สร้างจากข้อความว่า อย่าเห็นแก่ตัว ของอาจารย์เจริญ กุลสุวรรณ ไงคะ ทุกคนดูนี่สิคะ ถ้าเราค่อย ๆ ไล่สายตาไปตามลายเส้นของแต่ละภาพ เราจะพบว่ามันคือตัวอักษรธรรมอีสานค่ะ”
“โห อาจารย์สุดยอด” นักศึกษาทึ่งมองครูที่ตนติดตามด้วยสายตาชื่นชม อุ่นหล้ารีบปีนบันไดนั่งร้านขึ้นไปเพื่อเก็บภาพเอาไว้
ดวงตาของแต่ละคนลุกวาวด้วยความตื่นเต้นที่เข้าใกล้คำตอบของปริศนาเข้าไปทุกขณะ แต่เมื่อลำดับอักษรธรรมนั้นออกมาแล้ว ไม่ว่าจะแปลให้เป็นภาษาไทย หรือ ภาษาบาลี ก็กลับอ่านไม่ได้ใจความ ความมึนงง กังวล ท้อแท้ ประกอบกันจนเป็นความสับสนปนเปที่กำลังเข้าครอบงำชาวคณะอีกครั้ง
“เฮ็ดอีหยังกันน่ะ” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง
สิมวัดโพนสิมเป็นสิมมหาอุตม์ขนาดสามห้อง จากที่คิดว่าถ่ายภาพฉากหลัก ๆ ไว้ถี่ถ้วนดีแล้วเพราะขนาดไม่ใหญ่ แต่เมื่อมาพินิจอีกรอบกลับเจอภาพที่ไม่คุ้นปรากฏเพิ่มเข้ามาอีก“เอ๊ ยังไงกันนี่ ทำไมมีรูปหลาย ๆ รูปปรากฏขึ้นอย่างกับว่าเราไม่เคยผ่านตามุมนี้มาก่อน อย่างรูปเหล่านางกำนัลยักษ์ที่กำลังตักน้ำ หนูว่าพวกเราวนผ่านมุมนี้ไม่ต่ำกว่าสามรอบกลับไม่เจอ” กระแตเท้าเอวจ้องภาพที่หล่อนเพิ่งพบอย่างหงุดหงิด“นี่นะเวลาผมไปดูฮูปแต้มแต่ละครั้งนะ จะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง มันจะมีภาพใหม่ ๆ ปรากฏออกมาทุกครั้ง” อุ่นหล้าเล่านิทานหลอกเด็ก ๆ“จริงดิอาจารย์” ลูกศิษย์ตื่นเต้น พากันคิดไปถึงเรื่องอาถรรพ์ของโบราณสถาน“ก็เวลาที่เราดูมาดูภาพแต่ละครั้งด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เราก็จะพบแง่มุมใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมาไง” “ปั๊ดโธ่ อาจารย์อุ่น” เหล่าลูกศิษย์ครางเป็นเสียงเดียวกัน“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่จริงพวกเราอาจจะมัวแต่ตื่นเต้นกับการค้นพบ ทำให้มีหลงหูหลงตากันไปบ้าง เอ้าบ่ายนี้พวกเราก็สู้กันอีกสักยกเนาะ” ดอกเตอร์หนุ่มให้กำลังใจทุกคน“เอ๊ะ...เราลืมรุ้งลาวัลย์ไว้ที่คณะหรือเปล่า ทำไมเงียบจริง” จังโก้แซว “อ่ะ อ่ะ เ
หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมส
ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัวเมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเองนักศึ
การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ*ลายแทงขุมทรัพย์………สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบ
ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว
การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง ๆ บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว “ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด” “ว้าวฮักแม่ที่สุด”หลังล้อมวงพาข้าว อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที