Share

บทที่ 8

last update Huling Na-update: 2025-11-01 10:56:42

วัดโบราณแห่งนี้แม้จะเป็นโบราณสถานมีฝาผนังล้ำค่า  แต่กลับมีพระจำพรรษาอยู่เพียง ๑ รูป  เมื่อ “หลวงปู่บุญ” เห็นกลุ่มคนแปลกหน้ามาด้อม ๆ  มอง ๆ  พร้อมกล้องถ่ายรูปก็เกรงจะเป็นพวกมิจฉาชีพ  ที่มาขโมยวัตถุโบราณตามใบสั่ง  จึงต้องลงมาดูเสียหน่อย

เมื่อเห็นผู้มาใหม่เป็นภิกษุชรา  คณะทำงานจึงยอบตัวกราบลงกับพื้น  แต่เมื่อมับไมเงยหน้าขึ้นมา  กลับทำให้หลวงปู่บุญถึงกับตกใจ   เพราะประพิมพ์ประพายของหญิงสาวตรงหน้าช่างคล้ายกับ “ครูบาอ่อน” ผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ล่วงลับของท่านเสียเหลือเกิน ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นในห้วงคำนึงของภิกษุชรา

“บุญเอ้ย”

“ขอรับพระอาจารย์”

“สังขารนี้บ่เที่ยง  บ่มีไผหนีวัฏจักรนี้พ้น  อย่าได้เศร้าเสียใจ  จ่งวางใจให้เป็นอุเบกขาสาเด้อ”

“เวลานั้นมาฮอดไวโพดดอกขอรับ”

  “บ่มีสิ่งใดหนีกาลเวลาพ้นแม้แต่โตของมันเอง  อาจารย์ยังมีห่วงอยู่เรื่องหนึ่ง  สิฝากเจ้าไว้ได้บ่บุญ”

“เชิญพระอาจารย์สั่งมาเถิดขอรับ”

“จ่งไปเปิดหีบไม้บักค่า  แล้วหยิบเอาเปลือกหอยสังข์มาให้พระอาจารย์แด่”

เมื่อพระบุญหยิบของที่ต้องการมาให้แล้ว  ครูบาชราจึงเล่าเรื่องราวที่เก็บงำไว้นานปีด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

“ฮูปแต้มที่สิมนั่น  เรื่องสังสินไซ  พระอาจารย์วาดปริศนาซ่อนเอาไว้  มันเป็นลายแทงที่จะนำไปสู่สถานที่เก็บสิ่งของสำคัญ  เป็นสิ่งที่ตระกูลของพระอาจารย์เฝ้ารักษามาเหิงนาน  ผู้ที่สามารถไขปริศนาในฮูปแต้มได้  มีเพียงทายาทในตระกูล  และสังข์น้อยขอนนี้สิเป็นเครื่องมือเปิดทางให้คนผู้นั้นได้พบสิ่งที่เขาตามหา  พระอาจารย์ขอฝากภาระนี้ไว้กับเจ้าได้บ่”

“ขอรับ  พระอาจารย์อย่าได้เป็นห่วง”

สิ้นคำรับปากกล้ามเนื้อทุกมัดของครูบาก็ผ่อนคลาย  ผู้ที่พระบุญเคารพศรัทธาได้เดินทางไกลแล้ว  พระหนุ่มก้มกราบลาพระอาจารย์  พร้อมกับจารึกคำมั่นสัญญานั้นไว้ในใจ

หรือนี่จะเป็นคนผู้นั้นที่พระอาจารย์ฝากฝังไว้  เค้าหน้าช่างประพิมพ์ประพาย  ซ้ำยังเป็นผู้พบรหัสลับในฮูปแต้มที่พระอาจารย์เป็นผู้วาด  เหมือนดังคำทำนายก่อนล่วงลับว่า “ทายาทของเพิ่นสิเป็นผู้ค้นพบความลับนี้”  หลวงปู่บุญจึงมั่นใจว่ามับไมคือผู้ที่ท่านรอคอยมานาน  และได้เวลามารับของที่พระอาจารย์ฝากฝังแล้ว

………

“หลวงปู่...หลวงปู่...หลวงปู่ครับ”  เสียงเรียกของอุ่นหล้าทำให้หลวงปู่บุญสะดุ้งจากภวัง

“มาเฮ็ดอีหยังกัน”

“มาลงพื้นที่เก็บข้อมูลสำรวจฮูปแต้ม  เฮ็ดงานวิจัยเจ้าค่ะหลวงปู่”  มับไมตอบเลี่ยงความจริงทั้งหมด  แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาแหลมคมของภิกษุชราไปได้

“พ้อบ่ล่ะ”

“พ้ออยู่ค่ะหลวงปู่  แต่ก็ยังอ่านได้บ่ถ่องปานได๋”

“ไป  ขึ้นไปเว้าไปลมไปกินน้ำกินท่าบนกุฏิสาก่อน  จึ่งมาค่อยเฮ็ดเวียกต่อ”

กุฏิไม้ยกพื้นสูงขนาดสี่คูณสี่เมตรดูจะเล็กลงถนัดใจ  เมื่อคณะทำงานทั้งหมดขึ้นไปนั่ง

“มาแต่ไสกันล่ะ”  หลวงปู่บุญขยับจีวรให้เข้าที่พลางถาม

“มาแต่มหาวิทยาลัยศิลปากรครับหลวงพ่อ  พวกเด็ก ๆ เป็นคนกรุงเทพ ฯ มีแต่ผมกับอาจารย์มับไมที่เป็นไทอีสาน  ผมเป็นไทอุบล   ส่วนอาจารย์มับไมนี่เป็นไทขอนแก่น”  อุ่นหล้าแนะนำทุกคนแก่หลวงปู่

“อืมๆ”  เมื่อทราบว่ามับไมนั้นเป็นคนขอนแก่นภิกษุชราก็ยิ่งมั่นใจในความคิดตนยิ่งขึ้น

“อยากสิขอรบกวนหลวงพ่อเล่าประวัติของวัดให้เป็นข้อมูลพวกผมแด่ครับ”  อุ่นหล้าแจ้งความประสงค์  ในขณะที่จังโก้ควานหาเครื่องอัดเสียงจากกระเป๋าเป้ออกมาเตรียม

“เออ  เออ  วัดนี่ก็สร้างขึ้นซุมปี  ๒๔๐๘  พุ่นล่ะ  สร้างโดยครูบาอ่อน  พระอาจารย์ของเฮานี่ละ  ลาวกะเป็นผู้มีความสามารถในเชิงช่างผู้หนึ่ง  กะนำชาวบ้านขี่เกียนไปเอาหินปูนมาแต่เพชรบูรณ์  เอามาเฮ็ดปูนหมัก  แล้วกะพากันไปขนเอาทรายละเอียดจากแม่น้ำชี  น้ำอ้อยที่นำมาเป็นแนวยึดเกาะ  ชาวบ้านที่ศรัทธาในโตครูบากะปลูกกันเองได๋ ทีนี้ดินละแวกนี้นี่มันกะเป็นดินเค็มเนาะ  ครูบาลาวก็เอาเยื่อต้นบงมาเป็นตัวประสาน แล้วกะเอายางบงนี่มายาแนวกันความเค็มแทรกซึมอีกต่อหนึ่ง  พอเฮ็ดสิมแล้ว  ลาวกะเป็นคนแต้มฮูปด้วยโตลาวเองเลยเด”

“ครูบาอ่อน”  มับไมทวนคำเบา ๆ  หันไปสบตาอุ่นหล้า  ชายหนุ่มพยักหน้ารับน้อย ๆ  สัมผัสได้ว่าหญิงสาวต้องมีเรื่องบางอย่างเล่าให้ตนฟังแน่  และมันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ  เสียด้วย

“เบิ่งไปแล้วกะสิเป็นหมู่บ้านที่เจริญหลายด้านอยู่  แล้วเป็นหยังจึงกลายเป็นร้างไปได้ครับ”

“ครูบาเฮาเคยเล่าว่าตอนนั้นมันเกิดเหตุอาเพศ  เคยได้ยินเรื่อง  *เดือนสามออกใหม่สามค่ำกันบ่  ฟ้าผ่าครั้งแรกของปีมันควรสิเป็นโองการแถนแห่งฟ้าไขปักตูฝนนำพาความอุดมสมบูรณ์  แต่กลับกลายเป็นว่าฟ้าผ่าต่อเนื่องถึงสามวันสามคืน  ฝนฟ้ากะตกทรงเหมือนสิบ่แล้ง  แต่เมล็ดพืชพรรณกลับบ่ป่งเลยสักเมล็ด  ไทบ้านสัตว์เลี้ยงอดอยากหิวโหยจึงได้พากันอพยพย้ายถิ่นไป”

“พอสิทราบบ่ครับหลวงปู่ว่าขะเจ้าไปทางใด๋กันบ้าง”

“บ้างกะไป**ต้มเกีย อยู่ทางบรบือ  บ้างกะไปเฮ็ดนาทางพยัคฆภูมิพิสัย”

“ครับหลวงพ่อ”

“เป็นจังได๋ล่ะ  อาจารย์มับไม  คึดออกแล้วไป๋  ปริศนาในฮูปแต้มนั่น”  หลวงปู่บุญหันกลับมาถามมับไม ดวงตาขุ่นขาวของภิกษุชรา  ฉายประกายบางอย่าง  ที่ทำให้ดอกเตอร์สาวคิดว่าท่านจะต้องเป็นผู้ที่กุมความลับปริศนาที่ตนยังไขไม่ออกอยู่แน่  จึงตัดสินใจลองเสี่ยงพูดความจริง

“หลวงพ่อคะ  วรรณรูปนั้นแนมเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นโตธรรม แต่มันกลับแปลความบ่ได้ มันยังมีปริศนาที่ต้องไขต่อไปอีกแม่นบ่คะ”

“ เออๆ  คันสิไปข้างหน้าให้เหลียวหลังเบิ่งก่อน   ถ้ามะลูดทูดเท่า  เซาถ่อนอย่าไป  เอาคำที่หลวงปู่บอกไปคึดให้ดี”  ลูกศิษย์ครูบาอ่อนยิ้มเมตตาพร้อมทั้งแนะเคล็ดลับในการแปลรหัสแก่มับไม

ค่ำคืนนั้นทั้งหมดนอนเรียงกันที่หน้ากุฏิของหลวงปู่บุญนั่นเองเปลวไฟที่ก่อขึ้นเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายและแมลงม้วนตัวแล้วสะบัดคลายดูคล้ายการเต้นรำทางจิตวิญญาณ  พวกนักศึกษาหลับไปนานแล้ว  มับไมพลิกตัวไปมาดูท่าจะนอนไม่สบายตัว  อุ่นหล้าที่ผ่านเหตุการณ์ในช่วงหลายวันนี้ทั้งยังได้กลับมาออกทริปกับอดีตคนรักอีกครั้งต้องยอมรับว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับจริง ๆ  จึงใช้วิธีนอนสมาธิจนหลับไปตอนราวตี ๓

………

โชคลางเป็นเรื่องที่ยังหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้  หลายคนถือเคล็ด  ถือสูตร  รวมถึงพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ตนเองโชคดี  ในหน้าที่การงานของมับไมและอุ่นหล้าที่ต้องคลุกคลีอยู่กับโบราณวัตถุ  โบราณสถาน  จึงมักจะได้สัมผัสพลังงานเร้นลับบางอย่างอยู่เสมอ  แม้ว่าในส่วนของงานอนุรักษ์จะต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไปก็ตาม  แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็น

“เดี๋ยวครับทุกคน  วันนี้ถ้าเราก้าวเท้าขวาออกจากบ้าน  เอ่อ  กุฏิหลวงตาจะโชคดี การงานราบรื่น  ปลอดภัยครับ”  จังโก้กางมือขวาง

“หืม  คนราศีสิงห์อย่างฉันไม่เชื่อเรื่องโชคลางหรอกย่ะ”  มับไมใช้สันหนังสือโขกหน้าผากลูกศิษย์ด้วยความหมั่นไส้  ก่อนจะชะงักเท้าซ้ายแล้วก้าวเท้าขวาก้าวลงบนไดกุฏิ  ทุกคนกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อมในความย้อนแย้งของอาจารย์สาว

วันนี้แดดร่มลมตก  อากาศเย็นสบาย  เหมาะแก่การทำงานในส่วนภายนอกอาคารเป็นอย่างมาก  ซึ่งมับไมถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี   มีลางสังหรณ์ว่างานในวันนี้จะต้องลุล่วง

ในเมื่อวรรณรูปพญาช้างฉัททันต์ยังขบความหมายไม่ออกมับไมก็ทดไว้ในใจก่อนอาจารย์สาวร่วมกับอุ่นหล้าและเหล่าลูกศิษย์เก็บบันทึกภาพฮูปแต้มรวมถึงจารึกอักษรไทน้อยที่ครูบาอ่อนเขียนกำกับตอนที่วาดไว้อย่างแข็งขัน  กระทั่งบ่ายคล้อยจึงแล้วเสร็จ

ก่อนจากกันหลวงตาบุญได้เล็งเห็นการเดินทางอันยาวไกลที่เต็มไปด้วยภยันตรายจึงได้นำฝ้ายสายสิญจ์ปลุกเสกมาผูกข้อมือให้ทุกคน  ทั้งยังประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเป็นสิริมงคล

โดยเฉพาะมับไม  ท่านได้มอบจี้หอยสังข์ตัวเล็กพร้อมกำชับให้ทายาทของพระอาจารย์คล้องคอติดตัวไว้เสมอ

“เอ้าได้คืนแก่เจ้าของเสียที”  ภิกษุชราพึมพำ

มับไมเอียงคอ  ขมวดคิ้วน้อย ๆ  ได้ยินไม่ถนัด  แต่ก็คิดว่าหลวงพ่อคงท่องคาถาแคล้วคลาดอะไรสักอย่าง  เมื่อรับหอยสังข์ขอนนั้นมาหันด้านจุกเข้าหาตัว  เพื่อทดสอบคุณสมบัติของมันตามความเคยชินจากงานประจำ  เมื่อพบว่าปากหอยนั้นอยู่ทางด้านขวาจึงอุทาน

“สังข์เวียนขวา  สังข์มงคลนี่คะหลวงพ่อ” หญิงสาวตาโต  เพราะในบรรดาหอยสังข์ที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียหนึ่งล้านตัว  จึงจะพบหอยสังข์เวียนขวาเช่นนี้สักตัวหนึ่ง เมื่อคล้องสังข์ตัวจิ๋วเข้ากับคอ  ก็คิดในใจว่า  “มีสังข์ทองด้วย  ช่างเข้ากับขบวนการสะกดรอยสินไซโดยแท้”

*เดือนสามออกใหม่สามค่ำ ชาวอีสานเชื่อว่าเป็นวันมงคล ผืนดินสะสมแร่ธาตุจนมีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด จึงถือเอาฤกษ์เป็นวันเพาะปลูกวันแรก เป็นวันเปิดเล้าข้าว มีความมหัศจรรย์ที่เป็นแรกของปีที่มีฟ้าร้องฟ้าผ่า ซึ่งสัมพันธ์กับการบันทึกสถิติแบบพื้นบ้านอีสาน เกิดเป็นตำราฟ้าไขปักตูฝน ทำนายทิศที่เกิดเสียงฟ้าร้องสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝน

**ต้มเกีย  คือ การต้มเกลือ (ภาษาอีสานออกเสียงสระเอือเป็นสระเอีย) เป็นกระบวนการทำเกลือสินเธาว์ โดยการขูดส่าเกลือที่ผิวดินไปต้มใช้ก้อนครั่งหรือไข่เป็ดทดสอบความเข้มข้น หากก้อนขี้ครั่งหรือไข่เป็ดลอยแสดงว่าความเข้มข้นเหมาะสมแล้ว จึงต้มต่อไปให้น้ำระเหยจนเหลือเพียงเกล็ดเกลือ

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 8

    วัดโบราณแห่งนี้แม้จะเป็นโบราณสถานมีฝาผนังล้ำค่า แต่กลับมีพระจำพรรษาอยู่เพียง ๑ รูป เมื่อ “หลวงปู่บุญ” เห็นกลุ่มคนแปลกหน้ามาด้อม ๆ มอง ๆ พร้อมกล้องถ่ายรูปก็เกรงจะเป็นพวกมิจฉาชีพ ที่มาขโมยวัตถุโบราณตามใบสั่ง จึงต้องลงมาดูเสียหน่อยเมื่อเห็นผู้มาใหม่เป็นภิกษุชรา คณะทำงานจึงยอบตัวกราบลงกับพื้น แต่เมื่อมับไมเงยหน้าขึ้นมา กลับทำให้หลวงปู่บุญถึงกับตกใจ เพราะประพิมพ์ประพายของหญิงสาวตรงหน้าช่างคล้ายกับ “ครูบาอ่อน” ผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ล่วงลับของท่านเสียเหลือเกิน ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นในห้วงคำนึงของภิกษุชรา “บุญเอ้ย” “ขอรับพระอาจารย์”“สังขารนี้บ่เที่ยง บ่มีไผหนีวัฏจักรนี้พ้น อย่าได้เศร้าเสียใจ จ่งวางใจให้เป็นอุเบกขาสาเด้อ”“เวลานั้นมาฮอดไวโพดดอกขอรับ” “บ่มีสิ่งใดหนีกาลเวลาพ้นแม้แต่โตของมันเอง อาจารย์ยังมีห่วงอยู่เรื่องหนึ่ง สิฝากเจ้าไว้ได้บ่บุญ”“เชิญพระอาจารย์สั่งมาเถิดขอรับ”“จ่งไปเปิดหีบไม้บักค่า แล้วหยิบเอาเปลือกหอยสังข์มาให้พระอาจารย์แด่”เมื่อพระบุญหยิบของที่ต้องการมาให้แล้ว ครูบาชราจึงเล่าเรื่องราวที่เก็บงำไว้นานปีด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น“ฮูปแต้มที่สิมนั่น เรื่องสั

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 7

    สิมวัดโพนสิมเป็นสิมมหาอุตม์ขนาดสามห้อง จากที่คิดว่าถ่ายภาพฉากหลัก ๆ ไว้ถี่ถ้วนดีแล้วเพราะขนาดไม่ใหญ่ แต่เมื่อมาพินิจอีกรอบกลับเจอภาพที่ไม่คุ้นปรากฏเพิ่มเข้ามาอีก“เอ๊ ยังไงกันนี่ ทำไมมีรูปหลาย ๆ รูปปรากฏขึ้นอย่างกับว่าเราไม่เคยผ่านตามุมนี้มาก่อน อย่างรูปเหล่านางกำนัลยักษ์ที่กำลังตักน้ำ หนูว่าพวกเราวนผ่านมุมนี้ไม่ต่ำกว่าสามรอบกลับไม่เจอ” กระแตเท้าเอวจ้องภาพที่หล่อนเพิ่งพบอย่างหงุดหงิด“นี่นะเวลาผมไปดูฮูปแต้มแต่ละครั้งนะ จะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง มันจะมีภาพใหม่ ๆ ปรากฏออกมาทุกครั้ง” อุ่นหล้าเล่านิทานหลอกเด็ก ๆ“จริงดิอาจารย์” ลูกศิษย์ตื่นเต้น พากันคิดไปถึงเรื่องอาถรรพ์ของโบราณสถาน“ก็เวลาที่เราดูมาดูภาพแต่ละครั้งด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เราก็จะพบแง่มุมใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมาไง” “ปั๊ดโธ่ อาจารย์อุ่น” เหล่าลูกศิษย์ครางเป็นเสียงเดียวกัน“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่จริงพวกเราอาจจะมัวแต่ตื่นเต้นกับการค้นพบ ทำให้มีหลงหูหลงตากันไปบ้าง เอ้าบ่ายนี้พวกเราก็สู้กันอีกสักยกเนาะ” ดอกเตอร์หนุ่มให้กำลังใจทุกคน“เอ๊ะ...เราลืมรุ้งลาวัลย์ไว้ที่คณะหรือเปล่า ทำไมเงียบจริง” จังโก้แซว “อ่ะ อ่ะ เ

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 6

    หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมส

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 5

    ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัวเมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเองนักศึ

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 4

    การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ*ลายแทงขุมทรัพย์………สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบ

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 3

    ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status