LOGIN‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจ
จ้าวฉือลี่ยังคงมึนงงเพราะนางไม่เคยอ่านเจอยาแย้มสัตย์ในนิยายเรื่องนี้ แต่ทว่านางนั้นก็รีบสาวเท้าตามเขาไป เพราะกลัวว่าหากขัดขืนจะเผยพิรุธให้เขารู้
จ้าวฉือลี่เดินตามมาจนถึงเรือนหลักหลังใหญ่ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนของเจ้าของจวนก็ถึงกับตาค้างไปกับของตกแต่งที่เพียงเห็นก็รับรู้ถึงราคาเครื่องใช้เครื่องประดับที่คนอย่างนางนั้นมิมีวันได้เป็นเจ้าของ
ห้องนอนของเว่ยเหวินเซียนกว้างกว่าห้องที่นางเช่าอยู่เกือบสิบเท่า เพียงแค่เตียงนอนของเขาก็มีขนาดเท่ากับห้องเช่าที่นางเช่าอยู่แล้ว นางกวาดตามองไปรอบ ๆ จนได้ยินสุรเสียงเคร่งขรึมของเขาดังขึ้น นางจึงได้เลิกตื่นตาตื่นใจไปกับของตกแต่งห้องนอนของคนสูงศักดิ์
“ถอดอาภรณ์และลงไปแช่น้ำในอ่างเสีย”
จ้าวฉือลี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของห้องบรรทมด้วยความข้องใจว่าสิ่งที่นางได้ยินเป็นเพราะนางหูฟาดไป หรือเขาเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ
“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือว่าข้าสั่งให้เจ้าถอดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำ” สุรเสียงของเว่ยเหวินเซียนดังขึ้นกว่าเก่าอีกทั้งยังปนไปด้วยโทสะ
จ้าวฉือลี่กางนิ้วมือทั้งห้าออกปกปิดส่วนบนและส่วนล่างของตนเองอย่างทันท่วงที เพราะคิดว่าบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้กำลังคิดมิดีมิร้ายกับนาง
“ท่านอ๋องเพคะ เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ ในเมื่อหม่อมฉันมิได้ขโมยตราพยัคฆ์ของพระองค์ไปไยจะต้องหยามเกียรติของหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงแข็งด้วยน้ำโห
“ตราพยัคฆ์ของข้าป้ายยาแย้มสัตย์เอาไว้ หากเจ้าบริสุทธิ์ใจก็เพียงถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่น้ำตามที่ข้าบอก หากร่างกายของเจ้ามิมีส่วนใดเปลี่ยนเป็นสีส้ม ข้าจะเชื่อเจ้าว่าเจ้านั้นมิได้เป็นคนเอาตราพยัคฆ์ไป” เสียงของเขาหนักแน่นและเฉียบขาด
ใบหน้าของเผยตั้นเยี่ยนซีดขาว ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจอย่างสุดแสน เพราะไม่คิดว่าเว่ยเหวินเซียนจะป้ายยาแบบนี้ไว้ที่ตราพยัคฆ์ เพราะในนิยายที่นางอ่านเนื่องจากเว่ยเหวินเซียนมาเจอเผยตั้นเยี่ยนตอนกำลังหลบหนี และนางมีท่าทีหวาดกลัวเขาบวกกับนางไม่ยอมให้เขาค้นตัว เขาจึงบังคับค้นตัวนางจนเจอตราพยัคฆ์ที่นางซ่อนเอาไว้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์โดยวิธีนี้
‘จ้าวฉือลี่นะจ้าวฉือลี่ ยามนี้เจ้าได้โอกาสมาเป็นคุณหนูใหญ่สกุลเผยแล้ว แต่ชีวิตของเจ้าก็ยังต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหาทางรอดให้พ้นจากความตายอีก ชาติก่อนเจ้าต้องเป็นคนขายชาติแน่ ๆ’
“เช่นนั้นใช้มือจุ่มน้ำก็พอแล้วมิใช่หรือเพคะ” นางพยายามหาเรื่องพูดเพื่อถ่วงเวลาหาทางออก
“เจ้าคิดว่าข้าอ่อนโตโลกถึงเพียงนั้นเลยหรือ ข้าโตมาในราชวงศ์ที่เพียงแค่ของใช้ส่วนตัวชิ้นเดียวหายไปก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ในภายภาคหน้าได้ พวกที่จะมาขโมยย่อมมีวิธีต่าง ๆ นานาในการหยิบและซ่อนมันออกไป เรื่องพวกนี้ข้าเห็นมามากแล้วเช่นนั้นเล่ห์เหลี่ยมของหัวขโมยกระจอกเช่นเจ้าไม่มีทางรอดพ้นสายตาของข้าไปได้อย่างแน่นอน”
เว่ยเหวินเซียนเคยเจอขโมยที่ไม่ใช้มือหยิบสิ่งของ แต่ใช้ถุงมือหรือผ้าคลุมสิ่งของนั้น ๆ มาก่อน แต่ยามพวกเขาซ่อนมันเอาไว้กับตัวก็ไม่ทันระวังว่าร่างกายบางส่วนจะสัมผัสโดนกับของสิ่งนั้นทำให้ยาที่เขาป้ายไว้เผยให้เห็นว่าใครคือคนขโมยตัวจริง
จ้าวฉือลี่รู้แล้วว่าต่อให้นางได้อ่านนิยายเรื่องนี้มาก็ไม่ใช่ว่านางจะเอาชีวิตรอดได้ง่าย ๆ เพราะนักเขียนทุกคนนั้นไม่สามารถจะเล่าเรื่องราวรายละเอียดที่เกิดขึ้นกับตัวละครทุกตัวได้ พวกเขาเพียงบรรยายเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้นักอ่านติดตามเท่านั้น
เวลานี้ทางออกเดียวที่จะทำให้นางไม่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายคนนี้ก็คงมีเพียงวิธีเดียวคือ ต้องให้เขาเจอตราพยัคฆ์ ‘เสวี่ยเฟิงข้าฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว’ จ้าวฉือลี่ภาวนาให้เสวี่ยเฟิงนำตราพยัคฆ์ไปซ่อนไว้ในที่ที่ทหารของเว่ยเหวินเซียนหาเจอได้โดยเร็วก่อนที่นางจะโดนเขาจับถอดเสื้อผ้า
“จะให้หม่อมฉันถอดเสื้อผ้าเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อหน้าพระองค์ก็ย่อมได้ แต่หม่อมฉันขอถามท่านอ๋องให้หายข้องใจก่อนนะเพคะ” จ้าวฉือลี่หยุดเอ่ยแล้วมองหน้าเว่ยเหวินเซียนครู่หนึ่ง เมื่อเขามิได้ปฏิเสธนางจึงเอ่ยต่อ
“ทำไมท่านอ๋องจึงเชื่อว่าหม่อมฉันเป็นคนขโมยตราพยัคฆ์ไปอย่างนั้นหรือเพคะ”
“เพราะเจ้าใส่ยานอนหลับในจอกสุราของข้า” เว่ยเหวินเซียนหยุดดูสีหน้าของเผยตั้นเยี่ยน คิ้วของนางเลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาแฝงไปด้วยความเคลือบแคลง ‘หรือนางจะไม่รู้เรื่องนี้’ เขานึกในใจ แต่ในเมื่อนางไม่เอ่ยอันใดเขาจึงได้เอ่ยต่อ
ที่จ้าวฉือลี่ไม่เอ่ยอันใดเพราะนางกำลังคิดไตร่ตรองเรื่องราวในนิยายอยู่ เพราะนางจำได้ว่าเผยตั้นเยี่ยนมิได้วางยาแต่แค่มอมเหล้าเว่ยเหวินเซียนเท่านั้น
“และอีกอย่างก็มีบ่าวรับใช้เห็นเจ้าจากหน้าต่างว่าเจ้ารื้อค้นห้องนอนของข้า หลังจากที่พาข้ามาถึงห้องนอนแล้ว” เว่ยเหวินเซียนถึงกับประหลาดใจเมื่อเห็นมุมปากของเผยตั้นเยี่ยนยกขึ้น
“หม่อมฉันมิได้วางยาท่านอ๋องเพคะ จริงอยู่ที่หม่อมฉันอยู่ในห้องเช็ดตัวให้พระองค์เพียงลำพัง แต่ทว่าช่วงเวลาแค่ไม่กี่อึดใจหม่อมฉันไหนเลยจะค้นห้องบรรทมอันกว้างใหญ่ของท่านอ๋องได้ทั่วอย่างที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นพูด” จ้าวฉือลี่เอ่ยพร้อมใช้สายตาอ่านทางทีของเว่ยเหวินเซียน และดูจากที่เขาย่นคิ้วก็ทำให้นางใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
เว่ยเหวินเซียนขมวดคิ้วพร้อมคิดตาม เมื่อฟังจากคำพูดของนางก็จริงอย่างที่นางเอ่ย ยามนั้นหานสิงเวยก็อยู่หน้าห้องบรรทมของเขา หากนางค้นข่าวของย่อมมีเสียงแปลก ๆ ให้องครักษ์คนสนิทของเขาสงสัยขึ้นมาบ้าง แต่หานสิงเวยกลับบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอันใดผิดปกติ
“หม่อมฉันว่าท่านอ๋องคงรู้จักเล่ห์เหลี่ยมของโจรผู้นี้น้อยไปแล้วกระมังเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเพื่อให้เขานั้นรู้สึกเสียงหน้าที่อาจถูกบ่าวรับใช้หลอก และเป็นไปอย่างที่นางคาด ใบหน้าของเขานั้นมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงรีบเอ่ยต่อ
“มิสู้ท่านอ๋องลองสั่งคนให้ไปรื้อค้นแถวเรือนพักของบ่าวผู้นั้นให้ดี ๆ อีกสักรอบดีหรือไม่เพคะ หากไม่เจอหม่อมฉันจะยอมถอดเสื้อผ้าและลงไปแช่น้ำเพื่อให้ท่านอ๋องดูให้ชัด ๆ ว่ามีรอยสีส้มปรากฏอยู่บนร่างกายของหม่อมฉันหรือไม่” น้ำเสียงของนางกระด้างขึ้น ราวกับกำลังท้าทายเขา
เพราะตามเนื้อเรื่องเผยตั้นเยี่ยนเป็นคนมอมสุราเว่ยเหวินเซียนและให้ฉุยฉุยแกล้งปวดท้องเพื่อแอบไปเอาตราพยัคฆ์ที่ห้องนอนของเว่ยเหวินเซียน เนื่องจากปกติบุรุษผู้นี้แทบจะไม่ดื่มสุรากับใครเลย นั้นอาจเป็นเพราะเขาเกิดในราชวงศ์จึงมักระแวงว่าจะมีคนปองร้าย ในเมื่อไม่ค่อยดื่มสุราเผยตั้นเยี่ยนจึงคิดว่าเขานั้นเป็นพวกคออ่อน
และก็เป็นตามที่เผยตั้นเยี่ยนคาด เพียงดื่มไปไม่กี่จอกเว่ยเหวินเซียนก็สลบไปทันที แต่นางคงไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้คออ่อน แต่มีคนวางยาเขา หลังจากนั้นเพราะเผยตั้นเยี่ยนกลัวว่าหากนางให้หานสิงเวยองครักษ์คนสนิทของเว่ยเหวินเซียนพาเขากลับห้องนอนเพียงลำพังจะไปเจอฉุยฉุยที่กำลังขโมยตราพยัคฆ์ นางจึงช่วยพยุงเว่ยเหวินเซียนไปยังห้องนอนของเขา และเมื่อใกล้ถึงเรือนนอนเผยตั้นเยี่ยนจึงแกล้งชวนหานสิงเวยพูดคุย เพื่อหวังให้ฉุยฉุยรู้ตัว
เพื่อให้แนบเนียนเผยตั้นเยี่ยนจึงเป็นคนอาสาเช็ดตัวให้เว่ยเหวินเซียนด้วยตนเอง หานสิงเวยไม่กล้าขัดจึงได้ออกไปรอด้านนอก เช่นนั้นบ่าวผู้นั้นที่เอ่ยใส่ความนางย่อมไม่ได้เห็นกับตา เพียงแต่พูดไปตามที่เว่ยหลิงเฮ่อสั่งมาเท่านั้น
“สิงเวย เจ้าพาคนไปค้นหาตราพยัคฆ์แถวเรือนนอนของบ่าวรับใช้ผู้นั้นเดี๋ยวนี้” สุรเสียงของเขาดังก้อง เขาเอ่ยพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตานาง
ในเมื่อพระชายาของเขาจัดการเรื่องหลินเยว่ฉีแล้ว เขาก็ไม่อยากรบเร้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นเรื่องที่จะทำให้พระชายาของเขาไม่สบายใจในยามนี้ก็คงไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ดังนั้นเว่ยเหวินเซียนจึงหันหน้าไปยังหลานชายของตนเพราะแน่นอนว่าเรื่องมงคลนี้เขามีหรือจะเก็บงำเอาไว้เพียงคนเดียว ถ้าหากเป็นไปได้เขาอยากจะประกาศให้รู้กันทั่วใต้หล้าเสียด้วยซ้ำ บุรุษเจ้าของจวนมิรอช้าตะโกนบอกหลานชายของตนเสียงดังจนคนทั่วทั้งงานเลี้ยงได้ยิน ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนก่อนโค้งตัวลงพร้อมกับเอ่ยแสดงความยินดีที่เว่ยชินอ๋องกำลังจะมีซื่อจื่อน้อยหลังจากเอ่ยแสดงความยินดีจบเผิงเจียวเจี๋ยกับเว่ยหลิงเฮ่อต่างจ้องมองหน้ากัน เหมือนทั้งคู่กำลังคิดบางอย่างขึ้นมาได้พร้อมกัน ก่อนที่เจ้าของตำหนักบูรพาจะหันไปยังเหล่าคุณชายพร้อมกับตรัสขึ้นเสียงดัง“ในเมื่อมีเรื่องมงคล เช่นนั้นพวกเราก็มาดื่มสุราฉลองกันดีหรือไม่” เว่ยหลิงเฮ่อรีบเปลี่ยนงานเลี้ยงดูตัวให้เป็นงานเลี้ยงฉลองที่พระชายาชินอ๋องตั้งครรภ์“ดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นด้วย” คุณชายรองตระกูลเผิงรีบเอ่ยเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาคิดไว้เช่นกัน“พ่อบ้านนำสุราออกมา” เว่ย
ความจริงเผยตั้นเหม่ยเห็นเผิงเจียวเจี๋ยเดินเข้ามาในงานเลี้ยงแล้ว เพียงแต่นางอยากทำให้เขาเห็นว่านางเองก็หาใช่สตรีไร้ค่าที่ต้องรอคอยเพียงบุรุษคนเดียว เพราะยังมีบุรุษอีกมากมายที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อนาง และต่อให้ไม่มีเขานางก็สามารถแต่งไปเป็นฮูหยินเอกในตระกูลที่ดีได้ เผยตั้นเหม่ยจึงทำทีเป็นไม่สนใจบุรุษตระกูลเผิง และแสร้งทำเป็นชื่นชอบการแสดงของบุรุษอื่นให้เขาเห็นทว่าถึงเผยตั้นเหม่ยจะคิดเช่นนั้น แต่ครั้นได้ยินเสียงของเว่ยเหวินเซียนตวาดใส่เผิงเจียวเจี๋ย หญิงสาวก็ตกใจเป็นอันมากในใจรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาว่าเผิงเจียวเจี๋ยจะถอดใจและกลับจวนตระกูลเผิงไป แต่ทว่านางก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ เพราะนางเชื่อว่าไม่ว่าพี่เขยและพี่สาวของนางจะทำอันใดลงไป ย่อมคิดถึงนางเป็นสำคัญ และหากเขาจะไปจริง ๆ นางจะได้รู้เอาไว้ว่าความรักที่เขามีให้นางนั้นช่างน้อยนิดนัก หญิงสาวจะได้ตัดใจจากเขาได้อย่างไม่ต้องนึกเสียใจในภายหลังขณะที่ในใจของเผยตั้นเหม่ยกำลังรู้สึกเศร้าเมื่อคิดว่าตนเองต้องตัดใจจากบุรุษที่รัก ในช่วงพริบตาเดียวที่หางตาของนางเหลือบไปเห็นบุรุษตระกูลเผิงจูงมือขององค์รัชทายาทหลิงเฮ่อเดินมา ในใจของนางก็กลับมาเบิกบานอีกคร
เผิงเจียวเจี๋ยเพียงเห็นสายตาของเว่ยเหวินเซียน อีกทั้งบวกกับคำพูดก่อนหน้าก็พอจะเข้าใจสิ่งที่บุรุษตรงหน้าต้องการจะสื่อ เขาจึงคิดจะเอ่ยแก้ต่างให้ตนเองทว่ากลับไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น“แต่ดูจากการแต่งตัวของเจ้าแล้ว ตระกูลของเจ้าคงมิอยากให้ตั้นเหม่ยเลือกเจ้ากระมัง หรือไม่ก็เป็นเจ้าที่มั่นใจในตัวเองเกินไปว่าตั้นเหม่ยจะยอมทิ้งต้นไม้งามทั้งผืนป่า เพื่อรอเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าจึงได้แต่งตัวมาลวก ๆ ถึงเพียงนี้” ถึงเว่ยเหวินเซียนจะไม่ได้เอ่ยเสียงดังมากนัก ทว่าน้ำเสียงของเขาบวกกับพลังงานดำมืดในตัวเขากลับแผ่ออกมาอย่างชัดเจนถึงโทสะที่มีอยู่ภายใน“ขอท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว กระหม่อมมิได้คิดเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมคิดเช่นนั้นไหนเลยวันนี้จะรีบตามเสด็จองค์รัชทายาทมาเช่นนี้” เผิงเจียวเจี๋ยรีบแก้ตัวทันที“ถึงเรื่องอื่นที่เจียวเจี๋ยกล่าวมา หลานไม่อาจยืนยันได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน หลานยืนยันแทนเขาได้พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหลิงเฮ่อที่ยืนฟังบุรุษทั้งสองคนอยู่พักใหญ่เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาบุรุษทั้งสองเผิงเจียวเจี๋ยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันตาเมื่อ
แต่ถึงบุรุษหนุ่มแซ่เผิงจะรู้สึกไม่พอใจป้าสะใภ้มากเพียงไรก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ เพราะอย่างไรนางก็อาวุโสกว่าอีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าคนนอก เขาจึงทำได้เพียงกลืนความโกรธนั้นลงท้องไป“ขอบคุณท่านป้าสะใภ้ที่เป็นห่วง แต่ร่างกายของข้ามิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น หากเพียงลมหนาวแค่นี้ทำให้ข้ามิอาจออกจากจวนไปที่ใดได้เลย วันหน้าไหนเลยจะเป็นขุนนางรับใช้แว่นแคว้นได้ ท่านปู่ท่านย่าว่าจริงหรือไม่ขอรับ?” เผิงเจียวเจี๋ยกล่าวกับฮูหยินใหญ่เผิงจบก็หันไปถามท่านผู้เฒ่าเผิงและฮูหยินผู้เฒ่าเผิงทันทีชายหญิงชราเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกถามอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ไม่อาจหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับไปอย่างไม่อาจบ่ายเบี่ยงบุรุษแซ่เว่ยที่ยืนมองบุรุษหนุ่มแซ่เผิงจัดการผู้อาวุโสในเรือน ถึงกับไม่อาจซ่อนสีหน้าพึงพอใจที่มีเอาไว้ได้ จนองครักษ์ข้างกายถึงขั้นต้องสะกิดเตือนให้เจ้าของตำหนักบูรพาเก็บอาการ“ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเผิงกับฮูหยินผู้เฒ่ามิว่ากล่าวอันใด หากเจ้าอยากตามเราไป เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เว่ยหลิงเฮ่อกล่าวกับเผิงเจียวเจี๋ยจบก็หมุนตัวย่างก้าวเดินไปทางประตูจวนทันทีถึงเจ้าของตำหนักบูรพาจะอยากเล่นงานคนตระกูลเผิงมากกว่าน
“ท่านคิดว่าข้าโง่ใช่หรือไม่ พระชายาชินอ๋องมีเหตุผลอันใดจะต้องรีบให้ตั้นเหม่ยแต่งงานด้วย?” เผิงเจียวเจี๋ยโต้กลับทันควันองครักษ์คนสนิทขององค์รัชทายาทหัวเราะอย่างขบขันเมื่อได้ยินคำพูดของเผิงเจียวเจี๋ยเมื่อคุณชายรองเผิงได้ยินเสียงขำขันของบุรุษตรงหน้าความคับแค้นในใจก็ยิ่งมากขึ้น ครั้นจะเอ่ยถามให้หายข้องใจก็มิทันแล้ว เมื่ออีกฝ่ายได้เปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน“คุณชายรองเผิงมัวแต่ซ่อนตัวอยู่แต่ในเรือนคงไม่รู้ข่าวคราวด้านนอก เช่นนั้นข้าจะบอกคุณชายรองเผิงเพื่อเอาบุญสักครั้ง นั่นเป็นเพราะอีกไม่นานท่านอ๋องกับพระชายาจะเสด็จไปครองแคว้นแล้ว มีหรือพระชายาจะเสด็จไปโดยไม่จัดการเรื่องทางบ้านทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเรื่องคู่ครองที่จะมาดูแลน้องสาวอันเป็นที่รัก ดังนั้นหากท่านจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงเพียงเพราะคิดว่าคุณหนูรองเผยจะไม่เลือกบุรุษอื่นแล้วละก็ ข้าว่าท่านต้องพิจารณาให้ดีแล้วล่ะ เนื่องจากก่อนหน้านี้เพราะคุณหนูรองเผยไม่เคยได้พูดคุยกับบุรุษอื่นมาก่อน แต่วันนี้นางจะได้มีโอกาสพูดคุยกับบุรุษมากหน้าหลายตา อีกทั้งทางบ้านของบุรุษเหล่านั้นก็ล้วนยินดีรับนางเป็นลูกสะใภ้เข้าตระกูล แล้วนางจะยังรอบุรุษที่เอาแน่เอานอ
พ่อบ้านจวนตระกูลเผิงพาหมอหลวงและเติ้งจื่ออวี๋เดินมายังเรือนของเผิงเจียวเจี๋ย ใบหน้าของเขาซีดมีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุดทั้งที่ยามนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นมากแล้วแท้ ๆ แต่ทว่าคนทั้งสองที่เดินตามมาก็หาได้คิดจะเอ่ยถามให้ชายชราที่นำทางลำบากใจไม่ เพราะทั้งสองคนที่ตามมาล้วนรู้ดีว่าเป็นคำสั่งของคนเป็นนาย คนที่เป็นบ่าวหรือคนใต้บัญชาอย่างพวกเขาก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ในเมื่อหัวอกเดียวกันทั้งสองย่อมไม่อยากให้ชายชราที่นำทางมาลำบากใจเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนของเผิงเจียวเจี๋ย พ่อบ้านจวนตระกูลเผิงก็ยิ่งมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมากกว่าเก่า เขาเคาะประตูห้องนอนสองสามทีก่อนเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก“คุณชายรองขอรับ องค์รัชทายาทเป็นห่วงอาการป่วยของคุณชายจึงได้ให้หมอหลวงมาตรวจขอรับ” ชายชราเอ่ยจบหัวใจก็เต้นรัวระส่ำ เพราะความจริงที่ว่าผู้นำตระกูลเผิงหลอกลวงองค์รัชทายาทหลิงเฮ่อคงต้องถูกคุณชายรองเผิงเปิดเผยความจริงออกมาเป็นแน่“เราใกล้หายดีแล้วไม่รบกวนท่านหมอหลวงจะดีกว่า เจ้าพาท่านหมอกลับไปเถิด แล้วขอบพระทัยองค์รัชทายาทแทนเราด้วย อีกอย่างหากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าให้ใครมารบกวนเราอีก เราอยากพักผ่อน” เผิงเจียวเจี๋ยตะโก







