‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจ
จ้าวฉือลี่ยังคงมึนงงเพราะนางไม่เคยอ่านเจอยาแย้มสัตย์ในนิยายเรื่องนี้ แต่ทว่านางนั้นก็รีบสาวเท้าตามเขาไป เพราะกลัวว่าหากขัดขืนจะเผยพิรุธให้เขารู้
จ้าวฉือลี่เดินตามมาจนถึงเรือนหลักหลังใหญ่ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนของเจ้าของจวนก็ถึงกับตาค้างไปกับของตกแต่งที่เพียงเห็นก็รับรู้ถึงราคาเครื่องใช้เครื่องประดับที่คนอย่างนางนั้นมิมีวันได้เป็นเจ้าของ
ห้องนอนของเว่ยเหวินเซียนกว้างกว่าห้องที่นางเช่าอยู่เกือบสิบเท่า เพียงแค่เตียงนอนของเขาก็มีขนาดเท่ากับห้องเช่าที่นางเช่าอยู่แล้ว นางกวาดตามองไปรอบ ๆ จนได้ยินสุรเสียงเคร่งขรึมของเขาดังขึ้น นางจึงได้เลิกตื่นตาตื่นใจไปกับของตกแต่งห้องนอนของคนสูงศักดิ์
“ถอดอาภรณ์และลงไปแช่น้ำในอ่างเสีย”
จ้าวฉือลี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของห้องบรรทมด้วยความข้องใจว่าสิ่งที่นางได้ยินเป็นเพราะนางหูฟาดไป หรือเขาเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ
“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือว่าข้าสั่งให้เจ้าถอดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำ” สุรเสียงของเว่ยเหวินเซียนดังขึ้นกว่าเก่าอีกทั้งยังปนไปด้วยโทสะ
จ้าวฉือลี่กางนิ้วมือทั้งห้าออกปกปิดส่วนบนและส่วนล่างของตนเองอย่างทันท่วงที เพราะคิดว่าบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้กำลังคิดมิดีมิร้ายกับนาง
“ท่านอ๋องเพคะ เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ ในเมื่อหม่อมฉันมิได้ขโมยตราพยัคฆ์ของพระองค์ไปไยจะต้องหยามเกียรติของหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงแข็งด้วยน้ำโห
“ตราพยัคฆ์ของข้าป้ายยาแย้มสัตย์เอาไว้ หากเจ้าบริสุทธิ์ใจก็เพียงถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่น้ำตามที่ข้าบอก หากร่างกายของเจ้ามิมีส่วนใดเปลี่ยนเป็นสีส้ม ข้าจะเชื่อเจ้าว่าเจ้านั้นมิได้เป็นคนเอาตราพยัคฆ์ไป” เสียงของเขาหนักแน่นและเฉียบขาด
ใบหน้าของเผยตั้นเยี่ยนซีดขาว ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจอย่างสุดแสน เพราะไม่คิดว่าเว่ยเหวินเซียนจะป้ายยาแบบนี้ไว้ที่ตราพยัคฆ์ เพราะในนิยายที่นางอ่านเนื่องจากเว่ยเหวินเซียนมาเจอเผยตั้นเยี่ยนตอนกำลังหลบหนี และนางมีท่าทีหวาดกลัวเขาบวกกับนางไม่ยอมให้เขาค้นตัว เขาจึงบังคับค้นตัวนางจนเจอตราพยัคฆ์ที่นางซ่อนเอาไว้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์โดยวิธีนี้
‘จ้าวฉือลี่นะจ้าวฉือลี่ ยามนี้เจ้าได้โอกาสมาเป็นคุณหนูใหญ่สกุลเผยแล้ว แต่ชีวิตของเจ้าก็ยังต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหาทางรอดให้พ้นจากความตายอีก ชาติก่อนเจ้าต้องเป็นคนขายชาติแน่ ๆ’
“เช่นนั้นใช้มือจุ่มน้ำก็พอแล้วมิใช่หรือเพคะ” นางพยายามหาเรื่องพูดเพื่อถ่วงเวลาหาทางออก
“เจ้าคิดว่าข้าอ่อนโตโลกถึงเพียงนั้นเลยหรือ ข้าโตมาในราชวงศ์ที่เพียงแค่ของใช้ส่วนตัวชิ้นเดียวหายไปก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ในภายภาคหน้าได้ พวกที่จะมาขโมยย่อมมีวิธีต่าง ๆ นานาในการหยิบและซ่อนมันออกไป เรื่องพวกนี้ข้าเห็นมามากแล้วเช่นนั้นเล่ห์เหลี่ยมของหัวขโมยกระจอกเช่นเจ้าไม่มีทางรอดพ้นสายตาของข้าไปได้อย่างแน่นอน”
เว่ยเหวินเซียนเคยเจอขโมยที่ไม่ใช้มือหยิบสิ่งของ แต่ใช้ถุงมือหรือผ้าคลุมสิ่งของนั้น ๆ มาก่อน แต่ยามพวกเขาซ่อนมันเอาไว้กับตัวก็ไม่ทันระวังว่าร่างกายบางส่วนจะสัมผัสโดนกับของสิ่งนั้นทำให้ยาที่เขาป้ายไว้เผยให้เห็นว่าใครคือคนขโมยตัวจริง
จ้าวฉือลี่รู้แล้วว่าต่อให้นางได้อ่านนิยายเรื่องนี้มาก็ไม่ใช่ว่านางจะเอาชีวิตรอดได้ง่าย ๆ เพราะนักเขียนทุกคนนั้นไม่สามารถจะเล่าเรื่องราวรายละเอียดที่เกิดขึ้นกับตัวละครทุกตัวได้ พวกเขาเพียงบรรยายเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้นักอ่านติดตามเท่านั้น
เวลานี้ทางออกเดียวที่จะทำให้นางไม่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายคนนี้ก็คงมีเพียงวิธีเดียวคือ ต้องให้เขาเจอตราพยัคฆ์ ‘เสวี่ยเฟิงข้าฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว’ จ้าวฉือลี่ภาวนาให้เสวี่ยเฟิงนำตราพยัคฆ์ไปซ่อนไว้ในที่ที่ทหารของเว่ยเหวินเซียนหาเจอได้โดยเร็วก่อนที่นางจะโดนเขาจับถอดเสื้อผ้า
“จะให้หม่อมฉันถอดเสื้อผ้าเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อหน้าพระองค์ก็ย่อมได้ แต่หม่อมฉันขอถามท่านอ๋องให้หายข้องใจก่อนนะเพคะ” จ้าวฉือลี่หยุดเอ่ยแล้วมองหน้าเว่ยเหวินเซียนครู่หนึ่ง เมื่อเขามิได้ปฏิเสธนางจึงเอ่ยต่อ
“ทำไมท่านอ๋องจึงเชื่อว่าหม่อมฉันเป็นคนขโมยตราพยัคฆ์ไปอย่างนั้นหรือเพคะ”
“เพราะเจ้าใส่ยานอนหลับในจอกสุราของข้า” เว่ยเหวินเซียนหยุดดูสีหน้าของเผยตั้นเยี่ยน คิ้วของนางเลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาแฝงไปด้วยความเคลือบแคลง ‘หรือนางจะไม่รู้เรื่องนี้’ เขานึกในใจ แต่ในเมื่อนางไม่เอ่ยอันใดเขาจึงได้เอ่ยต่อ
ที่จ้าวฉือลี่ไม่เอ่ยอันใดเพราะนางกำลังคิดไตร่ตรองเรื่องราวในนิยายอยู่ เพราะนางจำได้ว่าเผยตั้นเยี่ยนมิได้วางยาแต่แค่มอมเหล้าเว่ยเหวินเซียนเท่านั้น
“และอีกอย่างก็มีบ่าวรับใช้เห็นเจ้าจากหน้าต่างว่าเจ้ารื้อค้นห้องนอนของข้า หลังจากที่พาข้ามาถึงห้องนอนแล้ว” เว่ยเหวินเซียนถึงกับประหลาดใจเมื่อเห็นมุมปากของเผยตั้นเยี่ยนยกขึ้น
“หม่อมฉันมิได้วางยาท่านอ๋องเพคะ จริงอยู่ที่หม่อมฉันอยู่ในห้องเช็ดตัวให้พระองค์เพียงลำพัง แต่ทว่าช่วงเวลาแค่ไม่กี่อึดใจหม่อมฉันไหนเลยจะค้นห้องบรรทมอันกว้างใหญ่ของท่านอ๋องได้ทั่วอย่างที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นพูด” จ้าวฉือลี่เอ่ยพร้อมใช้สายตาอ่านทางทีของเว่ยเหวินเซียน และดูจากที่เขาย่นคิ้วก็ทำให้นางใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
เว่ยเหวินเซียนขมวดคิ้วพร้อมคิดตาม เมื่อฟังจากคำพูดของนางก็จริงอย่างที่นางเอ่ย ยามนั้นหานสิงเวยก็อยู่หน้าห้องบรรทมของเขา หากนางค้นข่าวของย่อมมีเสียงแปลก ๆ ให้องครักษ์คนสนิทของเขาสงสัยขึ้นมาบ้าง แต่หานสิงเวยกลับบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอันใดผิดปกติ
“หม่อมฉันว่าท่านอ๋องคงรู้จักเล่ห์เหลี่ยมของโจรผู้นี้น้อยไปแล้วกระมังเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเพื่อให้เขานั้นรู้สึกเสียงหน้าที่อาจถูกบ่าวรับใช้หลอก และเป็นไปอย่างที่นางคาด ใบหน้าของเขานั้นมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงรีบเอ่ยต่อ
“มิสู้ท่านอ๋องลองสั่งคนให้ไปรื้อค้นแถวเรือนพักของบ่าวผู้นั้นให้ดี ๆ อีกสักรอบดีหรือไม่เพคะ หากไม่เจอหม่อมฉันจะยอมถอดเสื้อผ้าและลงไปแช่น้ำเพื่อให้ท่านอ๋องดูให้ชัด ๆ ว่ามีรอยสีส้มปรากฏอยู่บนร่างกายของหม่อมฉันหรือไม่” น้ำเสียงของนางกระด้างขึ้น ราวกับกำลังท้าทายเขา
เพราะตามเนื้อเรื่องเผยตั้นเยี่ยนเป็นคนมอมสุราเว่ยเหวินเซียนและให้ฉุยฉุยแกล้งปวดท้องเพื่อแอบไปเอาตราพยัคฆ์ที่ห้องนอนของเว่ยเหวินเซียน เนื่องจากปกติบุรุษผู้นี้แทบจะไม่ดื่มสุรากับใครเลย นั้นอาจเป็นเพราะเขาเกิดในราชวงศ์จึงมักระแวงว่าจะมีคนปองร้าย ในเมื่อไม่ค่อยดื่มสุราเผยตั้นเยี่ยนจึงคิดว่าเขานั้นเป็นพวกคออ่อน
และก็เป็นตามที่เผยตั้นเยี่ยนคาด เพียงดื่มไปไม่กี่จอกเว่ยเหวินเซียนก็สลบไปทันที แต่นางคงไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้คออ่อน แต่มีคนวางยาเขา หลังจากนั้นเพราะเผยตั้นเยี่ยนกลัวว่าหากนางให้หานสิงเวยองครักษ์คนสนิทของเว่ยเหวินเซียนพาเขากลับห้องนอนเพียงลำพังจะไปเจอฉุยฉุยที่กำลังขโมยตราพยัคฆ์ นางจึงช่วยพยุงเว่ยเหวินเซียนไปยังห้องนอนของเขา และเมื่อใกล้ถึงเรือนนอนเผยตั้นเยี่ยนจึงแกล้งชวนหานสิงเวยพูดคุย เพื่อหวังให้ฉุยฉุยรู้ตัว
เพื่อให้แนบเนียนเผยตั้นเยี่ยนจึงเป็นคนอาสาเช็ดตัวให้เว่ยเหวินเซียนด้วยตนเอง หานสิงเวยไม่กล้าขัดจึงได้ออกไปรอด้านนอก เช่นนั้นบ่าวผู้นั้นที่เอ่ยใส่ความนางย่อมไม่ได้เห็นกับตา เพียงแต่พูดไปตามที่เว่ยหลิงเฮ่อสั่งมาเท่านั้น
“สิงเวย เจ้าพาคนไปค้นหาตราพยัคฆ์แถวเรือนนอนของบ่าวรับใช้ผู้นั้นเดี๋ยวนี้” สุรเสียงของเขาดังก้อง เขาเอ่ยพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตานาง
“แล้วฝ่าบาทต้องการให้เหวินเซียนทำอันใดอีกเล่าเพคะ หรือท่านอยากเล่นเป็นบทคนดีแล้วให้เขาเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทบอกว่าเขาติดอิสตรีจนไม่เอาการเอางาน เช่นนั้นใยฝ่าบาทไม่ย้อนคิดหน่อยหรือเพคะ ว่าตอนที่ฝ่าบาทหลงใหลสนมอวี๋มีสภาพเช่นไร” สตรีเจ้าของวังหลังที่เพิ่งเดินเข้ามาตรัสด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันเจือโทสะเสิ่นฮองเฮาวางถ้วยโอสถลงบนโต๊ะเล็กที่วางอยู่บนตั่ง ถ้วยยากระทบกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง แรงกระแทกทำให้ยากระฉอกออกมาจากถ้วย เหล่านางกำนัลขันทีก้มหน้าก้มตาเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบออกไปจากห้องทรงอักษรเมื่อเห็นไป๋กงกงสะบัดมือไล่ท่าทางและน้ำเสียงของเสิ่นฮองเฮาทำให้บุตรชายถึงกับตกตะลึง เพราะปกติมารดาของเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของวังหน้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ และมิว่าจะโกรธเพียงใดก็จะเก็บอารมณ์เอาไว้เสมอ แต่ครานี้กลับต่างจากที่เขาเคยเห็นอย่างลิบลับ ทำให้เจ้าของตำหนักบูรพานึกขยาดกลัว จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด ไม่เพียงเท่านั้นเว่ยหลิงเฮ่อยังก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเจ้าของบัลลังก์ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไม่เพียงแต่บุตรชายที่แปลกใจ แม้แต่เจ้าของบัลลั
หลังจากเว่ยเหวินเซียนกับเผยตั้นเยี่ยนทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ให้ฉุยฉุยไปตามคุณหนูอีกสองคนมาพบ พร้อมกับให้เรียกองครักษ์สาวใช้ทั้งสองคนมาด้วย เพื่อบอกองครักษ์หญิงทั้งสองให้รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องคุ้มกันคุณหนูสามเผิงกับคุณหนูรองเผยกลับเมืองหลวง และหากใครถามถึงเผยตั้นเยี่ยนก็ให้บอกไปว่านางยังไม่หายป่วยครั้นบอกรายละเอียดทุกอย่างแล้วเว่ยชินอ๋องก็ไล่ให้พวกนางออกจากห้องไป แต่ทว่าก่อนที่สตรีทั้งห้าจะออกไป เว่ยเหวินเซียนก็ไม่ลืมเอ่ยคาดโทษพวกนางทั้งห้าที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขึงขัง“เรื่องที่พวกเจ้าลงไปในบ่อน้ำพุของข้า ข้าจะยังมิลงโทษ แต่มิใช่ว่าข้าให้อภัยพวกเจ้าหรอกนะ เพียงแต่เมื่อวานนี้ข้าลงทัณฑ์คนมามากแล้ว เหนื่อยแล้ว เอาไว้ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทีหลังแล้วกัน” เขามิได้จะลงโทษพวกนางจริง ๆ เพียงแค่อยากให้พวกนางทั้งห้าติดค้างเขาเอาไว้เท่านั้น“ขอบพระทัยเพคะ” สตรีทั้งห้ารีบตอบพร้อมกัน ก่อนจะรีบยอบกายแล้วถอยหลังออกจากห้องไปเช้าวันต่อมาเผยตั้นเยี่ยนได้เดินมาส่งสตรีทั้งสี่ที่หน้าจวนด้วยใบหน้าเบิกบาน ต่างจากเว่ยเหวินเซียนที่ใบหน้าหม
เว่ยชินอ๋องพยายามลุกออกจากเตียงด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้สตรีที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ครั้นบุรุษสายเลือดมังกรเห็นภรรยาตัวน้อยตื่นก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที“ปล่อยนางเข้ามา” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากจนหญิงสาวที่เพิ่งตื่นนอนสะดุ้งกลัวกระแสเสียงของอ๋องหนุ่มทำเอาหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงอาภรณ์ของตน เพียงครู่เดียวสตรีที่ทำให้เจ้าของเรือนอารมณ์เสียก็เดินเข้ามา เผยตั้นเยี่ยนเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าคนของตนเองทำให้บุรุษตรงหน้ามีโทสะ“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เข้ามารบกวน เพียงแต่ใกล้ถึงเวลาที่คุณหนูต้องดื่มยาแล้ว หม่อมฉันจึงได้ทำอาหารมาให้คุณหนูรับประทานก่อนดื่มยาเพคะ อาการของคุณหนูเกี่ยวกับภายในของสตรีมีผลถึงการสืบสายเลือดของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงมิอาจปล่อยผ่านไปได้เพคะ หวังว่าท่านอ๋องจะให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ” ฉุยฉุยพยายามควบคุมความกลัวของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุให้เว่ยชินอ๋องหงุดหงิดความโกรธก่อนหน้าหายไปในช่ว
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ