LOGIN“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งดีหรือไม่ อย่างไรก็ทางผ่าน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยถามเผยตั้นเยี่ยน
“ไม่เพคะ/ไม่ต้อง” จ้าวฉือลี่และเว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกัน
เว่ยหลิงเฮ่อมองบุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้าสลับกันไปมา แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พอเข้าใจ เพราะหากเขาเป็นเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกสังหาร
ส่วนที่เสด็จอาของเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนส่งนางกลับ ก็คงเพราะอยากพานางกลับไปจัดการสอบสวนเรื่องตราพยัคฆ์ที่หายไปจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งนาง แต่เพราะเหตุนี้แหละที่เว่ยหลิงเฮ่อกลัว เพราะหากเผยตั้นเยี่ยนปริปากบอกว่าขโมยตราพยัคฆ์ไปให้ใคร คราวนี้เสด็จอาของเขาคงไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่ายอย่างแน่นอน
“พอดีว่าสารถีของหม่อมฉันถูกคนของท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง หม่อมฉันเลยจะไปรับเขากลับด้วยเพคะ”
จ้าวฉือลี่รู้ดีว่ามันฟังดูไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่ทว่ายามนี้นางนั้นก็หาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะนางรู้ดีว่าหากไปกับเว่ยหลิงเฮ่อยามนี้ก็มีแต่ตายอย่างเดียว แต่หากไปกับเว่ยเหวินเซียนที่มีใจให้นาง หากเขาหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้มารยาหญิงทำให้รอดตัวไปได้
“คุณหนูเผยช่างเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างเสียจริง น่าอิจฉาคุณชายรองเผยที่มีพี่สาวเช่นเจ้า” เว่ยหลิงเฮ่อรู้ว่าไม่อาจพานางกลับไปพร้อมเขาได้ ไม่เช่นนั้นเสด็จอาของเขาอาจสงสัย จึงได้เอ่ยถึงน้องชายของนางเพื่อเป็นการขู่
อยู่ดี ๆ เว่ยหลิงเฮ่อพูดถึงเผยจือเหยียนน้องชายมารดาเดียวกันของเผยตั้นเยี่ยนขึ้นมา ก็ทำให้จ้าวฉือลี่รู้ว่าเขากำลังข่มขู่นาง เพราะเขารู้ดีว่าเผยตั้นเยี่ยนรักน้องชายมารดาเดียวกันผู้นี้มากเท่าใด
จ้าวฉือลี่เองก็รู้ว่าต่อให้ตายเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดเรื่องที่จะทำให้น้องชายต้องตกอยู่ในอันตราย เพราะตอนที่เผยตั้นเยี่ยนถูกทรมานก็มิยอมเอ่ยปากบอกว่าใครคือคนที่สั่งให้นางขโมยตราพยัคฆ์ เพราะไม่เช่นนั้นเว่ยหลิงเฮ่อจะต้องไม่ปล่อยตระกูลเผยไปอย่างแน่นอน
ส่วนเว่ยเหวินเซียนก็ไม่ยุ่งกับคนในตระกูลเผยอยู่แล้ว เพราะเขารู้ว่าเผยตั้นเยี่ยนนั้นมิถูกกันกับบิดา จึงไม่คิดว่าบิดาของนางเป็นผู้บงการ ส่วนน้องชายของเผยตั้นเยี่ยนก็ยิ่งไม่รู้เรื่องด้วยเข้าไปใหญ่เพราะเขานั้นอยู่ที่สำนักศึกษา
เว่ยเหวินเซียนถึงจะโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าเขาก็ไม่เคยเอาครอบครัวของคนร้ายหรือคนผิดมาลงโทษด้วย เพราะอย่างไรคนเหล่านั้นก็คือผู้บริสุทธิ์ ยกเว้นคนในครอบครัวเหล่านั้นจะมีส่วนรู้เห็นเขาจึงจะจับมาลงทัณฑ์ด้วย นี่ถือเป็นข้อดีของเว่ยเหวินเซียนอย่างหนึ่งที่จ้าวฉือลี่ชอบตอนที่อ่านนิยาย เพราะหากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากให้เจ้าหนี้นอกระบบมาทวงเงินจากนางเพราะพ่อของนางไปค้ำประกันให้กับเพื่อนเหมือนกัน
“องค์รัชทายาทกล่าวเกินไปแล้วเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่มีอันใดที่จะสามารถทำให้คนรอบข้างได้ มีแต่ความรักความห่วงใยให้เท่านั้น มีอันใดให้น่าอิจฉากันเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยพร้อมยิ้มให้องค์รัชทายาทหลิงเฮ่อราวกับจะบอกเขาว่านางนั้นเข้าใจแล้ว
เว่ยหลิงเฮ่อพยักหน้ารับรู้ก่อนหันมาหาเว่ยเหวินเซียน “เสด็จอาเช่นนั้นข้าไม่อยู่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าขอตัวกลับวังก่อน” เมื่อเขาเอ่ยเสร็จก็ผสานมือโค้งกายคารวะผู้เป็นอาทันที
จ้าวฉือลี่มองดูเว่ยหลิงเฮ่อที่ขี่ม้าผ่านไป ‘นักเขียนท่านนี้ช่างแต่งให้บุรุษหน้าตาดีชวนมองต่างจากนิสัยเสียจริง’ นางคิดในใจเพราะเมื่อครู่หากนางไม่มัวแต่พะวงว่าจะรับมือบุรุษทั้งสองอย่างไร ป่านี้นางก็คงมัวแต่หลงรูปโฉมของเว่ยหลิงเฮ่ออยู่เป็นแน่
เว่ยเหวินเซียนมองเผยตั้นเยี่ยนที่กำลังมองตามเว่ยหลิงเฮ่อด้วยท่าทางแบบเดียวกับที่มองเขาก่อนหน้านี้ ‘บังอาจนัก นี่เจ้ามองบุรุษทุกคนด้วยสายตาเช่นนี้หรือ’ ถึงเขาจะรู้สึกว่าวันนี้เผยตั้นเยี่ยนแปลกไปจากเผยตั้นเยี่ยนที่เขารู้จักมากจนเขาไม่อยากเชื่อสายตา แต่เมื่อเห็นนางมองบุรุษอื่นทั้งที่อยู่ต่อหน้าเขาก็อดที่จะเดือดดาลไม่ได้
เขาคว้าตัวนางพร้อมกับจับอุ้มขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนที่เขาจะกระโดดไปนั่งอยู่ด้านหลังของนาง หานสิงเวยองครักษ์คนสนิทชินอ๋องเหวินเซียนเห็นผู้เป็นนายควบม้าออกไปก็รีบกระโดดขึ้นม้าก่อนจะยื่นมือมาดึงมือของฉุยฉุยให้ขึ้นมานั่งที่ข้างหลังของเขา
จวนชินอ๋องเหวินเซียน
เมื่อมาถึงจวนเว่ยเหวินเซียนก็สั่งให้สาวใช้นำทางเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยไปยังเรือนรับรองและทำการตรวจค้นตัวสตรีทั้งสอง ขณเดินไปนั้นก็ให้หานสิงเวยเดินตามหลังไปด้วย เพราะกลัวว่าสตรีทั้งสองอาจจะเล่นตุกติกระหว่างทาง
ส่วนจิ่งหลินสารถีขับรถม้าที่เว่ยเหวินเซียนนั้นช่วยมาได้ระหว่างที่หลบหนีผู้ร้ายก็ถูกเจ้าของจวนสั่งให้ทหารค้นตัวเช่นกันแต่ก็ไม่พบตราพยัคฆ์ เขาจึงสั่งให้คนไปเติมน้ำใส่อ่างพร้อมกับให้ใส่เกลือลงไปในน้ำแล้วให้จิ่งหลินลงไปแช่
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขานั้นออกศึกบ่อยครั้งจึงมักไม่ค่อยอยู่จวน ของมีค่าทั่วไปนั้นหากหายเขานั้นก็ไม่เสียดายอันใด เขาเพียงกลัวว่าของต่างหน้าที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่เคยมอบให้นั้นจะหายไป จึงติดนิสัยป้ายยาแย้มสัตย์ไว้ตามของมีค่า เพราะหากผู้ใดมาแตะต้องหรือหยิบจับของชิ้นนั้น เพียงแค่แช่ด้วยน้ำเกลือส่วนใดก็ตามที่โดนของที่ป้ายด้วยยาแย้มสัตย์ไว้ก็จะกลายเป็นสีส้มทันตา
เว่ยเหวินเซียนทดสอบกับจิ่งหลินแล้วทว่าตัวของจิ่งหลินกลับไม่มีส่วนใดเปลี่ยนเป็นสีส้มเลย เขาจึงยกสุรากระดกเข้าปากไปหลายจอก เพราะหากเขาหาตราพยัคฆ์ไม่เจอ พรุ่งนี้เขาคงต้องเข้าวังไปรับโทษกับเหวินหลิงฮ่องเต้พระเชษฐาของเขาก่อนที่จะเข้าประชุมเช้าที่ท้องพระโรงเป็นแน่
ขณะนี้ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะไฟที่สุมอยู่ในอก จึงทำให้เขานั้นร้อนรนจนอยู่ไม่สุข เขามองไปทางเรือนรับรองที่เผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยกำลังโดนค้นตัว ถึงในใจเขานั้นไม่ต้องการให้เจอตราพยัคฆ์หรือสีส้มจากยาแย้มสัตย์ตามตัวของเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุย แต่หากไม่เจอดูแล้วคนในจวนรวมถึงทหารใต้บัญชาการของเขาทั้งหมดคงต้องถอดเกราะกลับไปอยู่บ้าน หรือไม่ก็ต้องไปเข้ากับทัพของค่ายอื่นแล้ว
เมื่อเว่ยเหวินเซียนเห็นสาวรับใช้เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเอ่ยบางอย่างกับหานสิงเวยเขาก็ลุกขึ้นทันที พร้อมกับจ้องมององครักษ์คนสนิทอย่างรอคอยคำตอบ
เมื่อหานสิงเวยเห็นผู้เป็นนายมองมาก็ส่ายหัวไปมาให้ผู้เป็นนายได้เห็น เพียงเว่ยเหวินเซียนเห็นองครักษ์คนสนิทส่ายหัวก็รู้ทันทีว่าไม่พบตราพยัคฆ์ที่ตัวของสตรีทั้งสองคน เขาจึงเอ่ยเสียงดังบอกทหารให้เตรียมน้ำอุ่นผสมเกลือที่เรือนนอนของเขาก่อนที่เขาจะก้าวเท้ายาวไปยังเรือนรับรอง
เมื่อเจ้าของจวนมาถึงเรือนรับรองเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยก็ใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เว่ยเหวินเซียนเปิดประตูเข้าไปด้านในด้วยความร้อนใจ เมื่อเจอเผยตั้นเยี่ยนเขาก็จับมือของนางพร้อมออกแรงดึงเพื่อให้นางเดินตามเขาไป
ด้วยความตกใจจ้าวฉือลี่จึงสะบัดข้อมือสุดแรง พร้อมเอ่ยเสียงดัง “ท่านอ๋องเพคะ พระองค์จะทำอันใดเพคะ”
“ข้าป้ายยาแย้มสัตย์ไว้ที่ตราพยัคฆ์ ถึงยามนี้ตราพยัคฆ์จะไม่อยู่ที่ตัวของเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ได้เอาไป” เพียงพูดจบเขาก็กระชากมือนางให้เดินตามเขาไป
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจ
ในเมื่อพระชายาของเขาจัดการเรื่องหลินเยว่ฉีแล้ว เขาก็ไม่อยากรบเร้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นเรื่องที่จะทำให้พระชายาของเขาไม่สบายใจในยามนี้ก็คงไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ดังนั้นเว่ยเหวินเซียนจึงหันหน้าไปยังหลานชายของตนเพราะแน่นอนว่าเรื่องมงคลนี้เขามีหรือจะเก็บงำเอาไว้เพียงคนเดียว ถ้าหากเป็นไปได้เขาอยากจะประกาศให้รู้กันทั่วใต้หล้าเสียด้วยซ้ำ บุรุษเจ้าของจวนมิรอช้าตะโกนบอกหลานชายของตนเสียงดังจนคนทั่วทั้งงานเลี้ยงได้ยิน ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนก่อนโค้งตัวลงพร้อมกับเอ่ยแสดงความยินดีที่เว่ยชินอ๋องกำลังจะมีซื่อจื่อน้อยหลังจากเอ่ยแสดงความยินดีจบเผิงเจียวเจี๋ยกับเว่ยหลิงเฮ่อต่างจ้องมองหน้ากัน เหมือนทั้งคู่กำลังคิดบางอย่างขึ้นมาได้พร้อมกัน ก่อนที่เจ้าของตำหนักบูรพาจะหันไปยังเหล่าคุณชายพร้อมกับตรัสขึ้นเสียงดัง“ในเมื่อมีเรื่องมงคล เช่นนั้นพวกเราก็มาดื่มสุราฉลองกันดีหรือไม่” เว่ยหลิงเฮ่อรีบเปลี่ยนงานเลี้ยงดูตัวให้เป็นงานเลี้ยงฉลองที่พระชายาชินอ๋องตั้งครรภ์“ดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นด้วย” คุณชายรองตระกูลเผิงรีบเอ่ยเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาคิดไว้เช่นกัน“พ่อบ้านนำสุราออกมา” เว่ย
ความจริงเผยตั้นเหม่ยเห็นเผิงเจียวเจี๋ยเดินเข้ามาในงานเลี้ยงแล้ว เพียงแต่นางอยากทำให้เขาเห็นว่านางเองก็หาใช่สตรีไร้ค่าที่ต้องรอคอยเพียงบุรุษคนเดียว เพราะยังมีบุรุษอีกมากมายที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อนาง และต่อให้ไม่มีเขานางก็สามารถแต่งไปเป็นฮูหยินเอกในตระกูลที่ดีได้ เผยตั้นเหม่ยจึงทำทีเป็นไม่สนใจบุรุษตระกูลเผิง และแสร้งทำเป็นชื่นชอบการแสดงของบุรุษอื่นให้เขาเห็นทว่าถึงเผยตั้นเหม่ยจะคิดเช่นนั้น แต่ครั้นได้ยินเสียงของเว่ยเหวินเซียนตวาดใส่เผิงเจียวเจี๋ย หญิงสาวก็ตกใจเป็นอันมากในใจรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาว่าเผิงเจียวเจี๋ยจะถอดใจและกลับจวนตระกูลเผิงไป แต่ทว่านางก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ เพราะนางเชื่อว่าไม่ว่าพี่เขยและพี่สาวของนางจะทำอันใดลงไป ย่อมคิดถึงนางเป็นสำคัญ และหากเขาจะไปจริง ๆ นางจะได้รู้เอาไว้ว่าความรักที่เขามีให้นางนั้นช่างน้อยนิดนัก หญิงสาวจะได้ตัดใจจากเขาได้อย่างไม่ต้องนึกเสียใจในภายหลังขณะที่ในใจของเผยตั้นเหม่ยกำลังรู้สึกเศร้าเมื่อคิดว่าตนเองต้องตัดใจจากบุรุษที่รัก ในช่วงพริบตาเดียวที่หางตาของนางเหลือบไปเห็นบุรุษตระกูลเผิงจูงมือขององค์รัชทายาทหลิงเฮ่อเดินมา ในใจของนางก็กลับมาเบิกบานอีกคร
เผิงเจียวเจี๋ยเพียงเห็นสายตาของเว่ยเหวินเซียน อีกทั้งบวกกับคำพูดก่อนหน้าก็พอจะเข้าใจสิ่งที่บุรุษตรงหน้าต้องการจะสื่อ เขาจึงคิดจะเอ่ยแก้ต่างให้ตนเองทว่ากลับไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น“แต่ดูจากการแต่งตัวของเจ้าแล้ว ตระกูลของเจ้าคงมิอยากให้ตั้นเหม่ยเลือกเจ้ากระมัง หรือไม่ก็เป็นเจ้าที่มั่นใจในตัวเองเกินไปว่าตั้นเหม่ยจะยอมทิ้งต้นไม้งามทั้งผืนป่า เพื่อรอเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าจึงได้แต่งตัวมาลวก ๆ ถึงเพียงนี้” ถึงเว่ยเหวินเซียนจะไม่ได้เอ่ยเสียงดังมากนัก ทว่าน้ำเสียงของเขาบวกกับพลังงานดำมืดในตัวเขากลับแผ่ออกมาอย่างชัดเจนถึงโทสะที่มีอยู่ภายใน“ขอท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว กระหม่อมมิได้คิดเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมคิดเช่นนั้นไหนเลยวันนี้จะรีบตามเสด็จองค์รัชทายาทมาเช่นนี้” เผิงเจียวเจี๋ยรีบแก้ตัวทันที“ถึงเรื่องอื่นที่เจียวเจี๋ยกล่าวมา หลานไม่อาจยืนยันได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน หลานยืนยันแทนเขาได้พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหลิงเฮ่อที่ยืนฟังบุรุษทั้งสองคนอยู่พักใหญ่เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาบุรุษทั้งสองเผิงเจียวเจี๋ยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันตาเมื่อ
แต่ถึงบุรุษหนุ่มแซ่เผิงจะรู้สึกไม่พอใจป้าสะใภ้มากเพียงไรก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ เพราะอย่างไรนางก็อาวุโสกว่าอีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าคนนอก เขาจึงทำได้เพียงกลืนความโกรธนั้นลงท้องไป“ขอบคุณท่านป้าสะใภ้ที่เป็นห่วง แต่ร่างกายของข้ามิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น หากเพียงลมหนาวแค่นี้ทำให้ข้ามิอาจออกจากจวนไปที่ใดได้เลย วันหน้าไหนเลยจะเป็นขุนนางรับใช้แว่นแคว้นได้ ท่านปู่ท่านย่าว่าจริงหรือไม่ขอรับ?” เผิงเจียวเจี๋ยกล่าวกับฮูหยินใหญ่เผิงจบก็หันไปถามท่านผู้เฒ่าเผิงและฮูหยินผู้เฒ่าเผิงทันทีชายหญิงชราเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกถามอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ไม่อาจหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับไปอย่างไม่อาจบ่ายเบี่ยงบุรุษแซ่เว่ยที่ยืนมองบุรุษหนุ่มแซ่เผิงจัดการผู้อาวุโสในเรือน ถึงกับไม่อาจซ่อนสีหน้าพึงพอใจที่มีเอาไว้ได้ จนองครักษ์ข้างกายถึงขั้นต้องสะกิดเตือนให้เจ้าของตำหนักบูรพาเก็บอาการ“ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเผิงกับฮูหยินผู้เฒ่ามิว่ากล่าวอันใด หากเจ้าอยากตามเราไป เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เว่ยหลิงเฮ่อกล่าวกับเผิงเจียวเจี๋ยจบก็หมุนตัวย่างก้าวเดินไปทางประตูจวนทันทีถึงเจ้าของตำหนักบูรพาจะอยากเล่นงานคนตระกูลเผิงมากกว่าน
“ท่านคิดว่าข้าโง่ใช่หรือไม่ พระชายาชินอ๋องมีเหตุผลอันใดจะต้องรีบให้ตั้นเหม่ยแต่งงานด้วย?” เผิงเจียวเจี๋ยโต้กลับทันควันองครักษ์คนสนิทขององค์รัชทายาทหัวเราะอย่างขบขันเมื่อได้ยินคำพูดของเผิงเจียวเจี๋ยเมื่อคุณชายรองเผิงได้ยินเสียงขำขันของบุรุษตรงหน้าความคับแค้นในใจก็ยิ่งมากขึ้น ครั้นจะเอ่ยถามให้หายข้องใจก็มิทันแล้ว เมื่ออีกฝ่ายได้เปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน“คุณชายรองเผิงมัวแต่ซ่อนตัวอยู่แต่ในเรือนคงไม่รู้ข่าวคราวด้านนอก เช่นนั้นข้าจะบอกคุณชายรองเผิงเพื่อเอาบุญสักครั้ง นั่นเป็นเพราะอีกไม่นานท่านอ๋องกับพระชายาจะเสด็จไปครองแคว้นแล้ว มีหรือพระชายาจะเสด็จไปโดยไม่จัดการเรื่องทางบ้านทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเรื่องคู่ครองที่จะมาดูแลน้องสาวอันเป็นที่รัก ดังนั้นหากท่านจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงเพียงเพราะคิดว่าคุณหนูรองเผยจะไม่เลือกบุรุษอื่นแล้วละก็ ข้าว่าท่านต้องพิจารณาให้ดีแล้วล่ะ เนื่องจากก่อนหน้านี้เพราะคุณหนูรองเผยไม่เคยได้พูดคุยกับบุรุษอื่นมาก่อน แต่วันนี้นางจะได้มีโอกาสพูดคุยกับบุรุษมากหน้าหลายตา อีกทั้งทางบ้านของบุรุษเหล่านั้นก็ล้วนยินดีรับนางเป็นลูกสะใภ้เข้าตระกูล แล้วนางจะยังรอบุรุษที่เอาแน่เอานอ
พ่อบ้านจวนตระกูลเผิงพาหมอหลวงและเติ้งจื่ออวี๋เดินมายังเรือนของเผิงเจียวเจี๋ย ใบหน้าของเขาซีดมีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุดทั้งที่ยามนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นมากแล้วแท้ ๆ แต่ทว่าคนทั้งสองที่เดินตามมาก็หาได้คิดจะเอ่ยถามให้ชายชราที่นำทางลำบากใจไม่ เพราะทั้งสองคนที่ตามมาล้วนรู้ดีว่าเป็นคำสั่งของคนเป็นนาย คนที่เป็นบ่าวหรือคนใต้บัญชาอย่างพวกเขาก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ในเมื่อหัวอกเดียวกันทั้งสองย่อมไม่อยากให้ชายชราที่นำทางมาลำบากใจเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนของเผิงเจียวเจี๋ย พ่อบ้านจวนตระกูลเผิงก็ยิ่งมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมากกว่าเก่า เขาเคาะประตูห้องนอนสองสามทีก่อนเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก“คุณชายรองขอรับ องค์รัชทายาทเป็นห่วงอาการป่วยของคุณชายจึงได้ให้หมอหลวงมาตรวจขอรับ” ชายชราเอ่ยจบหัวใจก็เต้นรัวระส่ำ เพราะความจริงที่ว่าผู้นำตระกูลเผิงหลอกลวงองค์รัชทายาทหลิงเฮ่อคงต้องถูกคุณชายรองเผิงเปิดเผยความจริงออกมาเป็นแน่“เราใกล้หายดีแล้วไม่รบกวนท่านหมอหลวงจะดีกว่า เจ้าพาท่านหมอกลับไปเถิด แล้วขอบพระทัยองค์รัชทายาทแทนเราด้วย อีกอย่างหากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าให้ใครมารบกวนเราอีก เราอยากพักผ่อน” เผิงเจียวเจี๋ยตะโก







