แม้จะเกิดเรื่องราววุ่นวายหลายอย่าง กระนั้นทุกอย่างกลับผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างดูฉุกละหุกไปหมดแต่ก็สามารถทำขึ้นมาใหม่ได้ทันเวลา แม้จะไม่หวือหวาเหมือนดั่งตอนแรกแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว
“คณะทูตแคว้นฉู่มาถึงแล้ว”
เสียงประกาศจากคนเฝ้าประตูด้านนอก ทำให้คนที่คอยท่าอยู่ในห้องรับรองต่างลุกขึ้นยืนรอต้อนรับ
เหล่าคณะทูตแคว้นฉู่ต่างพากันเดินเรียงรายเข้ามาถึงโถงด้านใน สองฝ่ายประจันหน้าต่างฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากทักทายกัน ยกเว้นก็แต่อำมาตย์โส่วฮุ่ยทั้งนอบน้อมและคอยเอาอกเอาใจฝ่ายตรงข้ามอย่างออกหน้าออกตา
“ท่านทูตพวกท่านเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ เชิญพักชมการแสดงดื่มกินให้สุขสำราญเถิดขอรับ” อำมาตย์โส่ววิ่งรอกจากตรงนั้นไปตรงนี้ให้วุ่น ไม่แม้แต่จะสนใจบุคคลสำคัญของแคว้นตนเองเลยสักนิด
“อืม ดี จัดการได้ดี ไม่นึกว่าแคว้นที่เอาแต่ทำศึกติดต่อกันมานานจะคงมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แต่ก็เทียบกับแคว้นฉู่เราไม่ได้ละนะ ของพวกนี้ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น” หัวหน้าคณะทูตแคว้นฉู่ เตี่ยซำฮวง วางท่าโอ้อวดเปรียบเทียบทั้งสองแคว้น มิหนำซ้ำเขายังกล่าวกระทบกระทั่ง คล้ายจะชื่นชมแต่กลับดูแคลนอยู่ในที
“งานนี้ฝ่าบาททรงรับสั่งด้วยองค์เองให้ข้าน้อยต้อนรับพวกท่านเป็นอย่างดี และยังกำชับด้วยว่าพวกท่านต้องการสิ่งใดก็ให้หาให้ ดูแลเสมือนให้เป็นบ้านเมืองของพวกท่านเอง อย่าให้พวกท่านขัดเคืองใจเด็ดขาด”
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเสด็จพ่อรับสั่งเช่นนั้น” ซิงเยี่ยนที่ได้ฟังโกรธแทบควันออกหู อำมาตย์โส่วชักจะเหิมเกริมไม่เกรงผู้ใด ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มแผนการแต่กลับดูมั่นอกมั่นใจว่างานนี้จะทำสำเร็จ คอยดูเถิดข้าอยากรู้นักตอนที่แผนของพวกเจ้าล่มไม่เป็นท่าจะทำเช่นไร
“ที่แท้ก็ท่านอ๋องซิงเยี่ยน ข้าต้องขออภัยที่ไม่ทันกล่าวทักทาย”
“ไม่เป็นไร ข้าเป็นคนใจกว้างไม่ถือสาผู้ไม่รู้กาลเทศะอยู่แล้ว ต่างคนต่างแคว้นก็อาจจะถูกสั่งสอนมาไม่เหมือนกัน”
“ท่านอ๋องมันจะมากเกินหรือไม่” เตี่ยซำฮวงถึงกับหน้าชาที่ถูกอีกฝ่ายด่าไม่ไว้หน้า เขาหมายจะด่ากลับทว่าถูกโส่วฮุ่ยผลักให้นั่งลงประจำที่เสียก่อน
“ท่านเตี่ยซำฮวงเดินทางมาเหนื่อย ๆ เชิญนั่งก่อนขอรับ” โส่วฮุ่ยรีบออกรับหน้า แม้ตนจะอยู่ฝั่งแคว้นฉู่ก็ตาม ทว่าตอนนี้ยังคงทำหน้าที่สำคัญอยู่ จะให้เสียเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
ด้านคนสำคัญทั้งสองรวมไปถึงไป๋เหลียนกลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่อยู่ แม้แต่เจ้าตัวเองยังต้องแสร้งยกน้ำชาขึ้นจิบกลั้นหัวเราะไม่ต่างจากคนอื่น
คำด่าของซิงเยี่ยนช่างเจ็บแสบนัก ทำเอาหัวหน้าคณะทูตโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่จำต้องเงียบปากไว้เพราะงานใหญ่ยังไม่สำเร็จ ที่สำคัญบัดนี้พวกเขาก็ได้เห็นแล้วว่าหลี่มู่กวายังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้บาดเจ็บปางตายอย่างที่ได้รับข่าวมาเลยสักนิด การที่ฝ่านักฆ่ากว่าร้อยคนมาได้โดยที่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่อาจดูถูกฝีมือได้เลย
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ โส่วฮุ่ยจึงจัดการส่งสัญญาณให้เริ่มทำการแสดงได้ เขาปรบมือไม่กี่ครั้งนางรำต่างก็ปรากฏตัวตามจุดต่าง ๆ ก่อนจะแปรขบวนอย่างสวยงามตรงกลางโถงรับรอง ทั้งเครื่องแต่งกายอวดรูปโฉมเย้ายวน บุรุษทั้งหลายต่างก็มองไม่วางตา
การร่ายรำของเหล่านางรำ ราวกับดอกบัวสีชมพูกำลังเบ่งบาน เมื่อยามต้องแสงอรุณแรกของวันก็มิปาน
“เจ้าระวังตัวด้วยเล่า เกิดอะไรขึ้นพี่จะให้คนพาเจ้าไปที่ปลอดภัย” หลี่มู่กวาโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูภรรยา เขาให้นางสวมผ้าปิดหน้าเพื่อป้องกันการถูกพิษอีกชั้น กระนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อย่างไรเสียต้องกำชับนางให้ดี ไม่เช่นนั้นเขาไม่อาจวางใจ
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ ในนิยายบอกว่าพวกเขาจะชวนประชันปัญญาจำนวนห้าข้อ ผู้ใดแพ้จะต้องเสียเมืองให้กับอีกฝ่ายเจ้าค่ะ แต่น่าเสียดายที่ข้าจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้ จึงช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้มาก แต่ข้าจำได้ว่าแคว้นเป่ยเสียห้าหัวเมืองให้แคว้นฉู่คือ หลัวเป่ย ซางถัว ซีหนาน ต้าซุน และเข่อเป่ยเจ้าค่ะ” ไม่ว่าจะนอนคิดนั่งคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เหตุใดเนื้อเรื่องช่วงนั้นถึงไม่มีกันนะ
“ล้วนเป็นเมืองสำคัญทางการค้า เหมือง รวมไปถึงเส้นทางสายไหมที่เพิ่งตัดผ่านเมืองเข่อเป่ยได้ไม่นาน ขอบคุณน้องหญิงมาก เป็นข้อมูลสำคัญทีเดียว ที่เหลือพี่กับท่านอ๋องจัดการเอง”
“ระวังตัวกันด้วยนะเจ้าคะ”
ระหว่างที่ทุกคนเริ่มระวังตัวและสังเกตการณ์ เหล่านางรำเพิ่มจังหวะการเต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเป็นการเขย่าถุงหอมให้กระจายกลิ่นออกไป พร้อมกันนั้นก็ยังคอยยั่วยวนฝ่ายแคว้นเป่ยด้วยการเต้นใกล้บ้าง เทสุราบาง ทำเอาพวกเขาเคลิบเคลิ้มไปกับสาวงามอย่างไม่รู้ตัว
แต่เมื่อสังเกตให้ดีคนของแคว้นเป่ยทุกคนเริ่มมีอาการเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติไปแล้ว ต่างก็ตรงที่คนของแคว้นฉู่ พวกเขากลับดูปกติดีทุกคน
ทว่าอยู่ ๆ นางรำกลับหยุดร่ายรำไปเสียดื้อ ๆ จากนั้นก็พากันออกไปด้านนอกพร้อมกลุ่มคณะทูต ในช่วงผู้คนกำลังชุลมุนไป๋เหลียนกลับถูกหน่วยอารักขาดึงตัวออกไปจากตรงนั้น รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ดูเหตุการณ์สำคัญ อยากรู้เหลือเกินว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รวมไปถึงท่านอ๋องจะเอาคืนคนเหล่านั้นอย่างไร
ภายในชั่วพริบตาห้องที่เคยครื้นเครงกลับเหลือเพียงความเงียบ คนของแคว้นเป่ยยังเหลือครบทว่าคนของแคว้นฉู่กลับเหลือเพียงเตี่ยซำฮวงผู้เป็นหัวหน้าคณะเพียงหนึ่งเดียว เขาลุกจากที่นั่งก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้า วางท่าเย่อหยิ่งเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาทันที
“ในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที ซิงเยี่ยนมาหาข้า” หัวหน้าคณะทูตกวาดสายตามองทุกคนพร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่าผู้ที่เขาหมายตาอยากจะแก้แค้นมากที่สุด บังอาจมาหยามหน้าตนต่อธารกำนัลจะไม่เอาคืนได้อย่างไรข้างกายเตี่ยซำฮวงก็ยังมีโส่วฮุ่ยผู้ร่วมขบวนการ อำมาตย์งูพิษยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ภูมิใจที่ตนมีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีเมื่อกายหนาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ก้าวออกมาตามคำสั่งด้วยสายตาเหม่อลอย บัดนี้เขาไม่เหมือนคนปกติ ดวงตาเลื่อนลอย เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากเตี่ยซำฮวงก็ไม่อาจขัดขืน ยอมทำตามคำสั่งได้อย่างไม่มีข้อแม้“ข้าหรือก็นึกว่าจะแน่ เจ้าหนูคนอ่อนประสบการณ์เช่นเจ้าจะไปสู้จิ้งจอกอย่างข้าได้หรือ ช่างไม่รู้จักเจียมตัว แล้วข้าจะให้เจ้าเห็นว่าคนจริงเขาทำกันอย่างไร ฮ่า ๆ” ทูตเฒ่าตบเบา ๆ ข้างแก้มอ๋องหนุ่ม ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ปลายเท้าของตน “คุกเข่า”ปึก!เพียงแค่ประโยคเดียวกายหนากลับคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบอ๋องผู้เกรียงไกรกรำศึกมาทุกสนามรบ การกระทำของซิงเยี่ยนพานทำให้คนทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ไม่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้“ไม่นึกว่าจะง่ายดายเช่นนี้นะขอรับ” โส่วฮุ่ยกล
แม้จะเกิดเรื่องราววุ่นวายหลายอย่าง กระนั้นทุกอย่างกลับผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างดูฉุกละหุกไปหมดแต่ก็สามารถทำขึ้นมาใหม่ได้ทันเวลา แม้จะไม่หวือหวาเหมือนดั่งตอนแรกแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว“คณะทูตแคว้นฉู่มาถึงแล้ว”เสียงประกาศจากคนเฝ้าประตูด้านนอก ทำให้คนที่คอยท่าอยู่ในห้องรับรองต่างลุกขึ้นยืนรอต้อนรับเหล่าคณะทูตแคว้นฉู่ต่างพากันเดินเรียงรายเข้ามาถึงโถงด้านใน สองฝ่ายประจันหน้าต่างฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากทักทายกัน ยกเว้นก็แต่อำมาตย์โส่วฮุ่ยทั้งนอบน้อมและคอยเอาอกเอาใจฝ่ายตรงข้ามอย่างออกหน้าออกตา“ท่านทูตพวกท่านเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ เชิญพักชมการแสดงดื่มกินให้สุขสำราญเถิดขอรับ” อำมาตย์โส่ววิ่งรอกจากตรงนั้นไปตรงนี้ให้วุ่น ไม่แม้แต่จะสนใจบุคคลสำคัญของแคว้นตนเองเลยสักนิด“อืม ดี จัดการได้ดี ไม่นึกว่าแคว้นที่เอาแต่ทำศึกติดต่อกันมานานจะคงมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แต่ก็เทียบกับแคว้นฉู่เราไม่ได้ละนะ ของพวกนี้ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น” หัวหน้าคณะทูตแคว้นฉู่ เตี่ยซำฮวง วางท่าโอ้อวดเปรียบเทียบทั้งสองแคว้น มิหนำซ้ำเขายังกล่าวกระทบกระทั่ง คล้ายจะชื่นชมแต่กลับดูแคลนอยู่ในที“งานนี้
“เจ้าเข้ามาวุ่นวายอะไรที่นี่ ท่านแม่ทัพมิได้บอกหรือว่านี่คือเขตหวงห้ามคนนอกห้ามเข้าน่ะ” โส่วฮุ่ยไม่คิดจะให้เกียรติสตรีตรงหน้า เขามองว่าก็แค่สตรีชาวบ้านไร้ชาติตระกูล ยกตนขึ้นมาเป็นฮูหยินแม่ทัพได้คงไม่พ้นใช้เรือนร่าง ไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องใส่ใจ“ข้าก็แค่เห็นว่าพวกนางแต่งกายงามนัก จึงอยากจะเข้ามาชื่นชมสักหน่อยเจ้าค่ะ”“เฮอะ! สตรีบ้านนอกไร้ชาติตระกูลก็เช่นนี้ ออกไปได้แล้ว อย่าได้มาก่อความวุ่นวายให้คนอื่น”“อย่างไรเสียท่านผู้นี้คือฮูหยินท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ อย่างไรก็ควรให้ความเคารพกันบ้าง” หลิวซือซือทนไม่ได้กับความไร้มารยาทของอีกฝ่าย อย่างไรแม่นางไป๋เหลียนก็เป็นถึงฮูหยินท่านแม่ทัพก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง“พอเถอะซือซือ” หญิงสาวรีบปรามไม่ให้หลิวซือซือ ยามนี้ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ “ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะเข้ามาเอง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”“แต่ว่าฮูหยิน เราจะยอมง่าย ๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ”“ช่างเถอะข้าไม่ได้สนใจ” ที่นางมิได้ใส่ใจคำตำหนิ ก็เพราะตัวนางเองก็มิได้มีชาติตระกูลจริง ทั้งตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อปากต่อคำไร้สาระ เรื่องถุงหอมมีพิษสำคัญกว่า“ก็แค่สตรีที่เอาเรือนร่างเข้าแลก มีค่าอะไร
พักอยู่เมืองหน้าด่านมาก็หลายวัน ในที่สุดก็ถึงวันที่คณะราชทูตแคว้นฉู่เดินทางมาถึงเมืองหน้าด่าน ขบวนของพวกเขานั้นยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา สมกับเป็นแคว้นที่กำลังรุ่งเรืองในเรื่องการค้า แม้จะขึ้นชื่อเรื่องการค้าทว่ากลับอ่อนด้านฝีมือทหาร ที่ยืนหยัดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะความมากเล่ห์ จึงไม่แปลกที่แคว้นฉู่มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองจะต้องเป็นต่อแคว้นเป่ยแคว้นฉู่จึงใช้การแลกเปลี่ยนเพื่อหวังจะได้เปรียบไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเขาเสนอของมีค่ามากมายเพื่อทำข้อตกลงในการใช้เส้นทางสายไหมของแคว้นเป่ยส่งสินค้า แคว้นเป่ยที่ขาดทรัพย์เพื่อมาฟื้นฟูแว่นแคว้นจึงได้ตกปากรับคำ โดยลดค่าผ่านทางให้แคว้นฉู่หนึ่งในสามส่วนที่ต้องจ่ายในแต่ละปีดังนั้นของที่อยู่บนเกวียนม้ากว่าสามสิบคันรถ พร้อมกับคนคุ้มกันห้าร้อยนายกำลังเคลื่อนขบวนสู่ประตูเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่ามหาศาล ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้น ดีอกดีใจที่พวกเขาจะไม่ต้องอดตายในยามศึกสงครามเช่นนี้บัดนี้จวนแม่ทัพกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมต้อนรับเป็นการใหญ่ คนในเรือนคึกคักตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสจัดงานใหญ่ครั้งแรก มีเพียงไป๋เหลียนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย นา
ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มตอนนี้ ไม่มีสตรีใดเข้ามาแทนที่ไป๋เหลียนในใจเขาได้อีกแล้ว และยิ่งได้รู้ว่าคนที่มีสัมพันธ์กับตนในคืนนั้นก็คือนาง เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันทั้งนั้นการกระทำของไป๋เหลียนคนก่อนเขาจะให้อภัย แม้ความผิดนางมากนักทว่าความดีที่ทำให้เขาได้พบรักแท้ ถือว่าทุกอย่างลบล้างกันได้ก๊อก ๆ ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังหวานชื่นกันนั้น กลับมีคนเคาะประตูขัดจังหวะเข้าพอดี สองร่างดีดตัวออกห่างกันอย่างรวดเร็ว ได้แต่นึกเสียดายที่มีคนมาขัดช่วงเวลาสำคัญ“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพ ข้านำของว่างมาให้เจ้าค่ะ”“เข้ามาได้” เสียงคนด้านนอกช่างคุ้นหูนัก ทว่าเมื่อประตูถูกเปิดออกไป๋เหลียนจึงกระจ่างแล้วว่าน้ำเสียงอันคุ้นหูคือผู้ใดหลิวซือซือพร้อมหญิงรับใช้อีกสองคนยกของเข้ามาในห้อง นางเผยยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มีพระคุณ การได้มาอยู่ที่นี่คือวาสนาของนางแล้ว ทั้งสะดวกสบายและมีคนให้เกียรติ ราวกับเป็นโลกใบใหม่ที่เพิ่งได้เคยสัมผัส“ซือซือเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเหมือนได้รับชีวิตใหม่เลยเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสอง ได้โปรดให้ข้า
หลังจากพักอยู่เมืองเจียงเป่ยหนึ่งคืน รุ่งสางคนทั้งสี่ก็ได้ออกเดินทางกลับเมืองหน้าด่านฉู่เจียงทันที เมื่อรู้แล้วว่าผู้ใดคือหนอนบ่อนไส้ คอยแฝงตัวได้อย่างแนบเนียน เรื่องนี้สำคัญมากซิงเยี่ยนจึงสั่งให้จิ้งกังเป็นผู้ส่งสารให้ถึงมือฝ่าบาทด้วยตนเองอนึ่งเพื่อให้ฝ่าบาทได้วางแผนตั้งรับได้ทันท่วงที พร้อมกับเสนอให้แสร้งทำเป็นเห็นดีเห็นงาม เมื่อได้โอกาสจึงค่อยตลบหลังพวกแคว้นฉู่ในตอนที่พวกมันชะล่าใจหลังจากจิ้งกังตะบึงม้าแยกตัวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง คนที่เหลือจึงกลับไปรอที่เมืองหน้าด่าน ทว่ากว่าจะไปถึงไป๋เหลียนก็ถึงกับโอดครวญ เป็นครั้งแรกที่นางอยู่บนหลังม้ากว่าครึ่งค่อนวัน ร้าวระบมไปหมดโดยเฉพาะก้นของนาง ที่ต้องกระแทกกับอานม้าเป็นเวลานานดีที่การเดินทางครั้งนี้นางอ้อนขอให้หลี่มู่กวาสอนขี่ม้า เพื่อว่าในภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นภาระผู้อื่น ซิงเยี่ยนเห็นว่ายังพอมีเวลาไม่ต้องเร่งรีบ จึงอนุญาตให้สหายสอนภรรยาขี่ม้าตามต้องการ ด้วยทั้งสองเมืองห่างกันไม่ไกลนัก หากปล่อยม้าเดินเอื่อย ๆ อย่างมากก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม หรือถ้าวิ่งเหยาะ ๆ ก็คงถึงเมืองหน้าด่านค่ำพอดีเมื่อมาถึงเมืองหน้าด่านฉู่เจียง ทุกคนต่างแยกย้า