“ในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที ซิงเยี่ยนมาหาข้า” หัวหน้าคณะทูตกวาดสายตามองทุกคนพร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่าผู้ที่เขาหมายตาอยากจะแก้แค้นมากที่สุด บังอาจมาหยามหน้าตนต่อธารกำนัลจะไม่เอาคืนได้อย่างไร
ข้างกายเตี่ยซำฮวงก็ยังมีโส่วฮุ่ยผู้ร่วมขบวนการ อำมาตย์งูพิษยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ภูมิใจที่ตนมีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี
เมื่อกายหนาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ก้าวออกมาตามคำสั่งด้วยสายตาเหม่อลอย บัดนี้เขาไม่เหมือนคนปกติ ดวงตาเลื่อนลอย เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากเตี่ยซำฮวงก็ไม่อาจขัดขืน ยอมทำตามคำสั่งได้อย่างไม่มีข้อแม้
“ข้าหรือก็นึกว่าจะแน่ เจ้าหนูคนอ่อนประสบการณ์เช่นเจ้าจะไปสู้จิ้งจอกอย่างข้าได้หรือ ช่างไม่รู้จักเจียมตัว แล้วข้าจะให้เจ้าเห็นว่าคนจริงเขาทำกันอย่างไร ฮ่า ๆ” ทูตเฒ่าตบเบา ๆ ข้างแก้มอ๋องหนุ่ม ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ปลายเท้าของตน “คุกเข่า”
ปึก!
เพียงแค่ประโยคเดียวกายหนากลับคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบอ๋องผู้เกรียงไกรกรำศึกมาทุกสนามรบ การกระทำของซิงเยี่ยนพานทำให้คนทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ไม่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้
“ไม่นึกว่าจะง่ายดายเช่นนี้นะขอรับ” โส่วฮุ่ยกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ เขาหรือก็อดทนปั้นหน้ามาเสียนาน ในที่สุดก็ได้เป็นตัวของตัวเองเสียที
“ไอ้พวกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มีหรือจะทันเล่ห์เหลี่ยมของข้า รีบจัดการกันเถอะประเดี๋ยวยาจะหมดฤทธิ์เสียก่อน”
“นี่ขอรับหนังสือส่งมอบห้าหัวเมืองที่ข้าเตรียมไว้” โส่วฮุ่ยยื่นหนังสือสัญญายกห้าหัวเมืองให้กับแคว้นฉู่ โดยสัญญานี้เขาได้ปลอมแปลงตราประทับชินอ๋องมาเรียบร้อย รับรองว่าแนบเนียนไม่มีผู้ใดจับได้แน่นอน จากนั้นก็จะโยนความผิดให้ชินอ๋องและพรรคพวก สร้างเรื่องแพ้พนันกับคณะทูตจึงทำให้เสียหัวเมืองสำคัญ แล้วเอาหนังสือสัญญานี้ยกมาเป็นเครื่องต่อรองได้อีก
“ดีมาก” หัวหน้าคณะทูตเฒ่ารับหนังสือสัญญานั่นมา ก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าของซิงเยี่ยนเพื่อให้เขาประทับลายนิ้วมือ “ลงชื่อแล้วประทับลายนิ้วมือของเจ้าซะ”
สิ้นคำของหัวหน้าทูตเฒ่าสีหน้าเลื่อนลอยเมื่อครู่ของซิงเยี่ยนต่างออกไป บัดนี้เขากลับยกยิ้มราวกับปีศาจร้ายที่กำลังเล่นกับเหยื่อของมัน ไม่ทันตั้งตัวอ๋องหนุ่มกลับใช้ถุงหอมที่เขาได้จากไป๋เหลียน อุดจมูกเตี่ยซำฮวงอย่างว่องไว
“ท่านอ๋องเสียสติไปแล้ว ใครอยู่ด้านนอกรีบมาจับท่านอ๋องไว้เร็วเข้า ท่านอ๋องทำร้ายท่านทูต”
ทว่าเสียงของโส่วฮุ่ยกลับเบาลงกระทั่งเงียบไปในที่สุด เมื่อปลายมีดแหลมจ่อที่คอหอย และดูเหมือนมันพร้อมจะเชือดเขาได้ทุกเมื่อ
“ร้องอีกสิ คมดาบของข้าอยากลิ้มลองเลือดคนทรยศอยู่พอดี” เสียงเหี้ยมของหลี่มู่กวาทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไป ไม่แม้แต่จะกล้าส่งเสียง
โส่วฮุ่ยนั้นแม้เขาจะภักดีต่อแคว้นบ้านเกิดก็จริง ทว่ากลับกลัวตายมากกว่า ได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกไม่กล้าปริปาก คิดไม่ถึงว่าพิษหลอนประสาทจะใช้กับทั้งสองไม่ได้ผล
จากผู้วางยากลับกลายเป็นผู้ถูกวางเสียเอง เตี่ยซำฮวงบัดนี้มีอาการไม่ต่างจากคนอื่นเท่าใดนัก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้แต่ยืนรอคอยคำสั่งจากคนตรงหน้าก็เท่านั้น
“ลงชื่อของเจ้า ประทับตราแล้วประทับลายมือซะ” ซิงเยี่ยนยื่นม้วนสัญญา ทว่าเนื้อความข้างในแตกต่างออกไปจากฉบับของเตี่ยซำฮวง จากที่แคว้นเป่ยต้องยกห้าหัวเมืองสำคัญให้ กลายเป็นว่าแคว้นฉู่กลับต้องยกสิบหัวเมืองสำคัญให้แคว้นเป่ยแทน
เตี่ยซำฮวงยอมทำตามอย่างว่าง่าย แม้โส่วฮุ่ยจะพยายามหาทางทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวก็ตาม ทว่าเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก นอกจากยื่นเท้าสะกิดเพียงเล็กน้อย จะขยับมากก็ไม่ได้ด้วยเกรงว่าจะถูกเชือดคอตายเสียก่อน
“ท่านอ๋อง ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถอะขอรับ กระหม่อมถูกบีบบังคับ กระหม่อมมิได้เต็มใจ” ถึงเวลาที่ต้องเอาตัวรอดโส่วฮุ่ยไม่เกี่ยงวิธีการ แม้ให้ก้มกราบหรือหักหลังพวกเดียวกันก็ยอมทำทั้งนั้น ขอแค่ให้รอดไปได้ก็พอ
“คนขายชาติบ้านเมืองเช่นเจ้า แม้แต่แผ่นดินก็คงไม่มีให้ฝังกลบหน้า”
“ได้โปรดปล่อยกระหม่อมไปเถอะ กระหม่อมยอมให้ความร่วมมือทุกอย่าง แค่ไว้ชีวิตกระหม่อมก็พอ อ๊ะ!”
ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้อนวอนร้องขอชีวิต หลี่มู่กวาหมดความอดทนกับเสียงอันน่ารำคาญ จึงใช้สันมือสับเข้าที่ท้ายทอยอีกฝ่าย ทำให้โส่วฮุ่ยถึงกับล้มทั้งยืน
สองบุรุษต่างจ้องตาพร้อมกับเผยรอยยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะช่วยกันจัดการเก็บหลักฐานทุกอย่างให้เรียบร้อย โส่วฮุ่ยถูกองครักษ์นำไปคุมขังเพื่อรอวันชำระโทษ เตี่ยซำฮวงถูกพาไปนั่งประจำที่ ไม่นานนักเหล่าองครักษ์ที่คอยท่าอยู่แล้วก็กรูเข้ามา พร้อมกับนำผ้าจุ่มกับปัสสาวะป้ายจมูกทุกคนที่โดนพิษหลอนประสาท ไม่นานทุกคนก็ได้สติกลับมา
แปะ ๆ
“เอาละทุกท่าน งานเลี้ยงฉลองวันนี้จบลงแล้ว แยกย้ายกันไปพักเถอะ” อ๋องหนุ่มปรบมือเรียกสติ พร้อมกันนั้นได้ประกาศให้ทุกคนแยกย้าย
ทุกคนที่ได้ยินต่างมึนงง พลางคิดว่าเหมือนพวกเขาเพิ่งนั่งลงเมื่อครู่แท้ ๆ งานเลี้ยงจบลงแล้วหรือ แม้สงสัยแต่กลับไม่มีผู้ใดกล่าวถาม ต่างพากันแยกย้ายออกไปตามคำสั่ง
ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าคณะทูตเตี่ยซำฮวง ที่บัดนี้สีหน้าของเจ้าตัวราวกับคนที่เพิ่งตื่นนอน จำได้ว่าตนกำลังสั่งให้อ๋องซิงเยี่ยนมอบหัวเมืองให้ แต่เหตุไฉนหลังจากนั้นถึงนึกไม่ออกเล่า ทั้งยังรู้สึกเหม็นตุ ๆ เหมือนมีใครมาฉี่รดไว้บนตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้ใดมันบังอาจฉี่เรี่ยราดอยู่แถวนี้กัน ช่างไม่มีมารยาท”
“ในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที ซิงเยี่ยนมาหาข้า” หัวหน้าคณะทูตกวาดสายตามองทุกคนพร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่าผู้ที่เขาหมายตาอยากจะแก้แค้นมากที่สุด บังอาจมาหยามหน้าตนต่อธารกำนัลจะไม่เอาคืนได้อย่างไรข้างกายเตี่ยซำฮวงก็ยังมีโส่วฮุ่ยผู้ร่วมขบวนการ อำมาตย์งูพิษยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ภูมิใจที่ตนมีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีเมื่อกายหนาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ก้าวออกมาตามคำสั่งด้วยสายตาเหม่อลอย บัดนี้เขาไม่เหมือนคนปกติ ดวงตาเลื่อนลอย เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากเตี่ยซำฮวงก็ไม่อาจขัดขืน ยอมทำตามคำสั่งได้อย่างไม่มีข้อแม้“ข้าหรือก็นึกว่าจะแน่ เจ้าหนูคนอ่อนประสบการณ์เช่นเจ้าจะไปสู้จิ้งจอกอย่างข้าได้หรือ ช่างไม่รู้จักเจียมตัว แล้วข้าจะให้เจ้าเห็นว่าคนจริงเขาทำกันอย่างไร ฮ่า ๆ” ทูตเฒ่าตบเบา ๆ ข้างแก้มอ๋องหนุ่ม ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ปลายเท้าของตน “คุกเข่า”ปึก!เพียงแค่ประโยคเดียวกายหนากลับคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบอ๋องผู้เกรียงไกรกรำศึกมาทุกสนามรบ การกระทำของซิงเยี่ยนพานทำให้คนทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ไม่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้“ไม่นึกว่าจะง่ายดายเช่นนี้นะขอรับ” โส่วฮุ่ยกล
แม้จะเกิดเรื่องราววุ่นวายหลายอย่าง กระนั้นทุกอย่างกลับผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างดูฉุกละหุกไปหมดแต่ก็สามารถทำขึ้นมาใหม่ได้ทันเวลา แม้จะไม่หวือหวาเหมือนดั่งตอนแรกแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว“คณะทูตแคว้นฉู่มาถึงแล้ว”เสียงประกาศจากคนเฝ้าประตูด้านนอก ทำให้คนที่คอยท่าอยู่ในห้องรับรองต่างลุกขึ้นยืนรอต้อนรับเหล่าคณะทูตแคว้นฉู่ต่างพากันเดินเรียงรายเข้ามาถึงโถงด้านใน สองฝ่ายประจันหน้าต่างฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากทักทายกัน ยกเว้นก็แต่อำมาตย์โส่วฮุ่ยทั้งนอบน้อมและคอยเอาอกเอาใจฝ่ายตรงข้ามอย่างออกหน้าออกตา“ท่านทูตพวกท่านเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ เชิญพักชมการแสดงดื่มกินให้สุขสำราญเถิดขอรับ” อำมาตย์โส่ววิ่งรอกจากตรงนั้นไปตรงนี้ให้วุ่น ไม่แม้แต่จะสนใจบุคคลสำคัญของแคว้นตนเองเลยสักนิด“อืม ดี จัดการได้ดี ไม่นึกว่าแคว้นที่เอาแต่ทำศึกติดต่อกันมานานจะคงมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แต่ก็เทียบกับแคว้นฉู่เราไม่ได้ละนะ ของพวกนี้ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น” หัวหน้าคณะทูตแคว้นฉู่ เตี่ยซำฮวง วางท่าโอ้อวดเปรียบเทียบทั้งสองแคว้น มิหนำซ้ำเขายังกล่าวกระทบกระทั่ง คล้ายจะชื่นชมแต่กลับดูแคลนอยู่ในที“งานนี้
“เจ้าเข้ามาวุ่นวายอะไรที่นี่ ท่านแม่ทัพมิได้บอกหรือว่านี่คือเขตหวงห้ามคนนอกห้ามเข้าน่ะ” โส่วฮุ่ยไม่คิดจะให้เกียรติสตรีตรงหน้า เขามองว่าก็แค่สตรีชาวบ้านไร้ชาติตระกูล ยกตนขึ้นมาเป็นฮูหยินแม่ทัพได้คงไม่พ้นใช้เรือนร่าง ไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องใส่ใจ“ข้าก็แค่เห็นว่าพวกนางแต่งกายงามนัก จึงอยากจะเข้ามาชื่นชมสักหน่อยเจ้าค่ะ”“เฮอะ! สตรีบ้านนอกไร้ชาติตระกูลก็เช่นนี้ ออกไปได้แล้ว อย่าได้มาก่อความวุ่นวายให้คนอื่น”“อย่างไรเสียท่านผู้นี้คือฮูหยินท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ อย่างไรก็ควรให้ความเคารพกันบ้าง” หลิวซือซือทนไม่ได้กับความไร้มารยาทของอีกฝ่าย อย่างไรแม่นางไป๋เหลียนก็เป็นถึงฮูหยินท่านแม่ทัพก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง“พอเถอะซือซือ” หญิงสาวรีบปรามไม่ให้หลิวซือซือ ยามนี้ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ “ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะเข้ามาเอง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”“แต่ว่าฮูหยิน เราจะยอมง่าย ๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ”“ช่างเถอะข้าไม่ได้สนใจ” ที่นางมิได้ใส่ใจคำตำหนิ ก็เพราะตัวนางเองก็มิได้มีชาติตระกูลจริง ทั้งตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อปากต่อคำไร้สาระ เรื่องถุงหอมมีพิษสำคัญกว่า“ก็แค่สตรีที่เอาเรือนร่างเข้าแลก มีค่าอะไร
พักอยู่เมืองหน้าด่านมาก็หลายวัน ในที่สุดก็ถึงวันที่คณะราชทูตแคว้นฉู่เดินทางมาถึงเมืองหน้าด่าน ขบวนของพวกเขานั้นยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา สมกับเป็นแคว้นที่กำลังรุ่งเรืองในเรื่องการค้า แม้จะขึ้นชื่อเรื่องการค้าทว่ากลับอ่อนด้านฝีมือทหาร ที่ยืนหยัดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะความมากเล่ห์ จึงไม่แปลกที่แคว้นฉู่มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองจะต้องเป็นต่อแคว้นเป่ยแคว้นฉู่จึงใช้การแลกเปลี่ยนเพื่อหวังจะได้เปรียบไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเขาเสนอของมีค่ามากมายเพื่อทำข้อตกลงในการใช้เส้นทางสายไหมของแคว้นเป่ยส่งสินค้า แคว้นเป่ยที่ขาดทรัพย์เพื่อมาฟื้นฟูแว่นแคว้นจึงได้ตกปากรับคำ โดยลดค่าผ่านทางให้แคว้นฉู่หนึ่งในสามส่วนที่ต้องจ่ายในแต่ละปีดังนั้นของที่อยู่บนเกวียนม้ากว่าสามสิบคันรถ พร้อมกับคนคุ้มกันห้าร้อยนายกำลังเคลื่อนขบวนสู่ประตูเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่ามหาศาล ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้น ดีอกดีใจที่พวกเขาจะไม่ต้องอดตายในยามศึกสงครามเช่นนี้บัดนี้จวนแม่ทัพกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมต้อนรับเป็นการใหญ่ คนในเรือนคึกคักตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสจัดงานใหญ่ครั้งแรก มีเพียงไป๋เหลียนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย นา
ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มตอนนี้ ไม่มีสตรีใดเข้ามาแทนที่ไป๋เหลียนในใจเขาได้อีกแล้ว และยิ่งได้รู้ว่าคนที่มีสัมพันธ์กับตนในคืนนั้นก็คือนาง เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันทั้งนั้นการกระทำของไป๋เหลียนคนก่อนเขาจะให้อภัย แม้ความผิดนางมากนักทว่าความดีที่ทำให้เขาได้พบรักแท้ ถือว่าทุกอย่างลบล้างกันได้ก๊อก ๆ ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังหวานชื่นกันนั้น กลับมีคนเคาะประตูขัดจังหวะเข้าพอดี สองร่างดีดตัวออกห่างกันอย่างรวดเร็ว ได้แต่นึกเสียดายที่มีคนมาขัดช่วงเวลาสำคัญ“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพ ข้านำของว่างมาให้เจ้าค่ะ”“เข้ามาได้” เสียงคนด้านนอกช่างคุ้นหูนัก ทว่าเมื่อประตูถูกเปิดออกไป๋เหลียนจึงกระจ่างแล้วว่าน้ำเสียงอันคุ้นหูคือผู้ใดหลิวซือซือพร้อมหญิงรับใช้อีกสองคนยกของเข้ามาในห้อง นางเผยยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มีพระคุณ การได้มาอยู่ที่นี่คือวาสนาของนางแล้ว ทั้งสะดวกสบายและมีคนให้เกียรติ ราวกับเป็นโลกใบใหม่ที่เพิ่งได้เคยสัมผัส“ซือซือเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเหมือนได้รับชีวิตใหม่เลยเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสอง ได้โปรดให้ข้า
หลังจากพักอยู่เมืองเจียงเป่ยหนึ่งคืน รุ่งสางคนทั้งสี่ก็ได้ออกเดินทางกลับเมืองหน้าด่านฉู่เจียงทันที เมื่อรู้แล้วว่าผู้ใดคือหนอนบ่อนไส้ คอยแฝงตัวได้อย่างแนบเนียน เรื่องนี้สำคัญมากซิงเยี่ยนจึงสั่งให้จิ้งกังเป็นผู้ส่งสารให้ถึงมือฝ่าบาทด้วยตนเองอนึ่งเพื่อให้ฝ่าบาทได้วางแผนตั้งรับได้ทันท่วงที พร้อมกับเสนอให้แสร้งทำเป็นเห็นดีเห็นงาม เมื่อได้โอกาสจึงค่อยตลบหลังพวกแคว้นฉู่ในตอนที่พวกมันชะล่าใจหลังจากจิ้งกังตะบึงม้าแยกตัวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง คนที่เหลือจึงกลับไปรอที่เมืองหน้าด่าน ทว่ากว่าจะไปถึงไป๋เหลียนก็ถึงกับโอดครวญ เป็นครั้งแรกที่นางอยู่บนหลังม้ากว่าครึ่งค่อนวัน ร้าวระบมไปหมดโดยเฉพาะก้นของนาง ที่ต้องกระแทกกับอานม้าเป็นเวลานานดีที่การเดินทางครั้งนี้นางอ้อนขอให้หลี่มู่กวาสอนขี่ม้า เพื่อว่าในภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นภาระผู้อื่น ซิงเยี่ยนเห็นว่ายังพอมีเวลาไม่ต้องเร่งรีบ จึงอนุญาตให้สหายสอนภรรยาขี่ม้าตามต้องการ ด้วยทั้งสองเมืองห่างกันไม่ไกลนัก หากปล่อยม้าเดินเอื่อย ๆ อย่างมากก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม หรือถ้าวิ่งเหยาะ ๆ ก็คงถึงเมืองหน้าด่านค่ำพอดีเมื่อมาถึงเมืองหน้าด่านฉู่เจียง ทุกคนต่างแยกย้า