LOGINไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ซานเซินจะเคยได้ลิ้มลองเนื้อบ้างหรือไม่ รูปร่างของซานเซินมีเพียงเยี่ยนอิงและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่จะมองออก
นางจึงได้รู้ว่า น้องชายของนางยามนี้ ความสูงของเขาเพิ่มจากเดิมไม่น้อยแล้ว ไหนจะแก้มที่แดงระเรื่อเช่นคนสุขภาพดี ต่อจากนี้เพียงขุนเขาให้มีเนื้อเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะน่าเอ็นดูเพียงใด
เยี่ยนอิงและซานเซินกำลังกินอาหารเย็น เรือนตระกูลตู้ก็กินเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ลองชิมอาหารฝีมือของเยี่ยนอิง อาหารที่ป้าตู้และลูกสะใภ้นางทำไว้ก็แทบจะไม่พร่องลงเลย
“ข้าเพิ่งรู้ว่าอิงเออร์นางมีฝีมือมากเพียงนี้” ลุงตู้เลียริมฝีปาก เขาอยากจะกินอาหารของเยี่ยนอิงอีก
“จริงขอรับท่านพ่อ เช่นนี้อิงเออร์ นางเปิดเหลาอาหารได้เลย” บุตรชายของลุงตู้เอ่ยออกมาอีกคน
“พวกท่านแย่งข้ากินหมดเลย ข้าอุตส่าห์หน้าหนาไปขอพี่อิงมา” อาเหมยนั่งหน้าบูดเมื่อนางคีบอาหารไม่ทันคนอื่น
“หากเจ้าชอบฝีมือของพี่อิงของเจ้า อาเหมยเจ้าไปขอให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าดีหรือไม่” กวนซื่อ ลูกสะใภ้ของป้าตู้เอ่ยบอกบุตรสาว
“จริงด้วย พี่เฉียว ท่านไปสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเลยเจ้าค่ะ” อาเหมยหันไปหาพี่ชายของนาง
“เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ผู้ใดได้ยิน อิงเออร์นางจะเสียหายได้” ตู้เฉียวร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา อายุของเขายามนี้สิบแปดหนาวแล้ว
เขาไม่เคยสนใจเยี่ยนอิงมาก่อน ด้วยเมื่อก่อนนางถูกใช้แรงงานอย่างหนัก รูปร่างที่ผอมแห้งของนาง ทั้งนางยังมักหลบสายตาของผู้คน ทำให้เขาไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา
“พอๆ อิงเออร์ นางก็ไม่สนใจพี่ชายของเจ้าหรอกอาเหมย แล้วอย่าได้ไปพูดกับนางเช่นนี้เล่า ต่อไปนางจะไม่แบ่งอาหารให้เจ้ากิน ทั้งยังจะไม่ให้เจ้าเข้าเรือนด้วย” ป้าตู้โบกมือห้ามหลานสองคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่
เยี่ยนอิงในตอนนี้ นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย นางทั้งฉลาดและยังร่ำรวยจนเรียกได้ว่าเงินที่นางมีใช้ชาตินี้ก็ยังไม่หมด ความต้องการของนางก็ดูเหมือนจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้นางจะมาสนใจหลานชายของตนได้อย่างไร
เยี่ยนอิงมองชามอาหารตรงหน้าที่ยามนี้แทบไม่เหลือสิ่งใดอยู่ ทั้งหมดลงไปอยู่ในท้องของซานเซินและเสี่ยวไป๋หมดแล้ว
“ข้าจะไปล้างชามก่อน เซินเออร์เจ้าเข้าไปปูที่นอนเองได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ” เขาพยักหน้ารับ
“นายหญิง ท่านกับนายน้อยเข้าไปพักในมิติไม่ดีกว่ารึขอรับ”
“แล้วหากมีคนมาที่เรือนเล่า หายไปกันหมดเช่นนี้จะทำอย่างไร”
“หากมีคนมาที่เรือน ท่านและข้าล้วนแต่รับรู้ได้ทันที อย่างไรก็ออกมาได้ทันขอรับ”
“เช่นนั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ต้องปูที่นอนไว้” นางหันไปบอกซานเซิน แล้วจึงนำชามเข้าไปล้างในครัว จะได้รีบออกมาช่วยน้องชายปูที่นอนห้องของนางและของซานเซิน
ทั้งสามจัดการเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะพากันเข้าไปอยู่ภายในมิติ ซานเซินดูจะตื่นเต้นกับห้องนอนใหม่ของเขาและห้องน้ำที่มีอยู่ด้านในไม่น้อย
“เสื้อผ้าพวกนี้ เจ้าเก็บไว้ในมิติเถิด ด้านนอกใส่เพียงชุดที่ป้าตู้นางซื้อให้ก็พอ” เยี่ยนอิงส่งเสื้อผ้าที่นางซื้อมาให้ซานเซินให้เขานำไปเก็บในห้อง
“ขอบคุณขอรับท่านพี่” มือน้อยๆ ของเขาสั่นเทาเมื่อได้รับชุดผ้าไหมเนื้อดี เป็นครั้งแรกของซานเซินเลยที่ได้สัมผัสผ้าดีเช่นนี้
“ต่อไป พี่จะซื้อให้เจ้าใส่สีไม่ซ้ำวันกันเลยดีหรือไม่” นางลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องขอรับ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนอิงอย่างขอบคุณ
“นายหญิง นายน้อย หากพวกท่านนำของเข้าไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ห้องตำราด้วยขอรับ”
“ห้องตำรา เหตุใดข้าต้องไปที่ห้องตำรา” เยี่ยนอิงหันไปมองเสี่ยวไป๋อย่างไม่เข้าใจ
“นายน้อยควรหัดคัดตัวอักษร เพื่อเตรียมเข้าสำนักศึกษา ตัวท่านในเมื่อเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้ว ก็ควรจะเดินลมปราณ เพื่อเข้าสู่การฝึกตนเสียทีขอรับ”
“ฝึกตนเช่นนั้นรึ คือสิ่งใดกัน” นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ทั้งจากความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างเหมือนว่าก็ไม่รู้เรื่องการฝึกตนเช่นกัน
“การฝึกตน เพื่อให้ท่านเข้าสู่หนทางของการเป็นเซียน ท่านจะต้องฝึกเดินลมปราณ เพื่อขยายเส้นลมปราณให้พร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นแต่ละระดับ”
“อธิบายง่ายๆ ได้หรือไม่” อย่างไรนางก็ฟังไม่ออก
“เพื่อทำให้ท่านเก่งเหนือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวรยุทธ์ พลังปราณมีส่งออกมาจะรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตน หากท่านบรรลุไปถึงขั้นเทพเซียนได้ ท่านจะอยู่ได้นานนับพันปี”
“มากไป ข้ามีเหตุผลใดที่จะอยู่นานเพียงนั้น” ที่นี่ไม่เหมือนโลกก่อนของนาง
ที่นางทั้งมีเงินทอง มีอำนาจ ความเป็นอยู่ก็แสนจะสุขสบาย หากมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณนับพันปี กว่านางจะทนรอถึงพันปี เพื่อจะได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นางคงได้เบื่อก่อนแน่
ซานเซินฟังสิ่งที่ทั้งสองโต้ตอบกันก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ตัวเขาเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดถึงเป็นครั้งแรกเช่นกัน
“มิใช่ว่าท่านจะอยู่ได้ถึงพันปีในโลกมนุษย์เสียเมื่อไหร่ ท่านจะต้องไปอยู่ในดินแดนของเทพเซียนต่างหากเล่า” เสี่ยวไป๋ปรายตามองเยี่ยนอิงอย่างดูแคลน
“หื้ม...ไม่ต้องทำความดีก็ได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ข้าเข้าใจถูกหรือไม่”
“ก็ไม่ถึงกับอยู่บนสวรรค์ แต่มีดินแดนแยกสำหรับของผู้เป็นเทพเซียนอีกแห่ง มีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นที่จะสามารถอยู่ได้”
“แล้วไม่ต้องแกร่งแย่งชิงดีกันอีกรึ” เยี่ยนอิงกอดอกมองเสี่ยวไป๋ นางเบื่อเรื่องการแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันแล้ว
“ไม่ขอรับ ผู้ฝึกตนส่วนมากต่างเร้นกายอยู่ในที่ของตน จะมีเพียงไม่กี่คนที่นึกสนุกลงมาสร้างเรื่องในโลกมนุษย์”
“เอาเถิด หากเจ้าว่าดีข้าก็จะฝึก เพียงแต่ไม่รับรองว่าจะมีความอดทนจนฝึกไปถึงขั้นเทพเซียนหรือไม่” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าเองก็อยากฝึกขอรับ” ซานเซินเดินเข้ามาดึงแขนเสื้อของเยี่ยนอิงไว้แน่น
“นายน้อย ท่านเองก็ต้องฝึกเช่นกัน เพียงแต่ต้องรอให้ถึงสิบสามหนาวก่อน ร่างกายของท่านต้องเติบโตมากกว่านี้เสียหน่อย”
“ใช่แล้วเซินเออร์ ยามนี้เจ้าควรจะสนใจเรื่องอ่านตำรากับคัดอักษรก่อน ข้าอยากจะให้เจ้าเข้าสำนักศึกษา” เยี่ยนอิงลูบหัวน้องชายเบาๆ
“เข้าใจแล้วขอรับ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เยี่ยนอิงและซานเซินแยกตัวไปที่ห้องของตน เพื่อนำของไปเก็บด้านใน ส่วนเสี่ยวไป๋เดินไปรอทั้งสองที่ห้องตำราแล้ว
ภายในห้องตำรา นอกจากจะมีตำราวางเรียงรายอยู่บนชั้นนับพันเล่มแล้ว ยังมีโต๊ะอยู่ตรงมุมห้อง เพื่อให้นั่งสำหรับอ่านตำรา คัดตัวอักษรด้วย
บนโต๊ะมีพู่กันด้ามงาม แท่นหมึกและกระดาษวางไว้พร้อม เสี่ยวไป๋ยังเป็นผู้ที่เลือกตำราออกมาวางไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ซานเซินหัดคัดตามตัวอักษรด้านใน
"ของข้ารึ” ซานเซินลูบคลำกระดาษและพู่กัน
เมื่อก่อนเขาเคยเห็น อู๋ซวง บุตรชายของลุงใหญ่ มักจะนำกระดาษออกมานั่งคัดตัวอักษรที่ชานเรือน เขาก็หวังว่าสักวันตนจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นกัน
“ใช่แล้วขอรับ เป็นของนายน้อย ข้าน้อยเตรียมไว้ให้ท่าน” เสี่ยวไป๋ชี้ไปตรงตำแหน่งที่เก็บกระดาษและแท่งหมึกไว้ หากหมดซานเซินสามารถมาหยิบใช้ได้ตลอด
“ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวไป๋” ซานเซินพุ่งตัวเข้าสวมกอดเสี่ยวไป๋ไว้แน่น แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่โอบต้นขาของมันไว้เท่านั้น
“แล้วข้า ต้องทำเช่นใด” เยี่ยนอิงเอ่ยถามออกมา
“นายหญิง ท่านต้องเดินลมปราณ เพื่อปรับพลังชี่ในร่างกายก่อนขอรับ”
หลิวเลี่ยงเฟิ่งเชยคางของฟู่จูอิ๋งขึ้น ก่อนจะประทับจุมพิตไว้แน่น จุมพิตครั้งนี้ของเขา ราวกับอยากจะเผยความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีเอาไว้ให้นางได้รู้ ความหวาดกลัวที่จะสูญเสียนางไปอีกครั้ง ความคิดถึงทั้งหมดของภพที่แล้วที่มี อยู่ในจุมพิตที่เขาบรรจงมอบให้นาง“แล้วท่านเข้ามาได้อย่างไร มิใช่ว่าท่านพ่อเพิ่มองครักษ์แล้วรึ” นางเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างสงสัย“ข้าย่อมมีหนทาง นอนพักเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”“หากมีคนมาเห็นเล่า”“ข้าจะออกไปก่อนฟ้าสว่าง อาม่านให้ข้าได้นอนพักหน่อยเถิด ข้ามิได้นอนดีๆ มาหลายวันแล้ว” เขาถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะดึงตัวนางเข้ามาสวมกอดเอาไว้แน่นพอเห็นคนในอ้อมแขนหลับไปแล้ว หลิวเลี่ยงเฟิ่งได้แต่นอนมองนางอย่างเป็นสุข เมื่อชาติก่อน แม้แต่หลับฝันยังไม่กล้าจะคิด เขาต้องขอบคุณสวรรค์เพียงใด ที่ยอมให้เขาได้กลับมาก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นผ่านเรื่องร้ายมาได้สองเดือน จวนตระกูลฟู่และตระกูลหลิวก็มีงานมงคลเกิดขึ้นผู้ตรวจการหลิวอยู่ในชุดมงคลนั่งบนหลังม้าสง่ามารับเจ้าสาวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ภาพความทรงจำตอนที่ไปรับสวีอวี้หรันเข้าจวน ตัวเขาเองก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว และไม่คิดจะจำอีกด้วยตอนกราบลาบิด
หลิวเลี่ยงเฟิ่ง มิกล้าพูดออกมา ว่าเป็นเพราะตัวเขา ตระกูลสวีคงต้องการให้สวีอวี้หรันแต่งเข้าตระกูลหมาน ผู้ใดเล่าจะไม่ต้องการบุตรเขยที่เป็นถึงผู้ตรวจการนครหลวงไปเสริมบารมีให้จวนตนเอง“อีกหนึ่งชั่วยาม ท่านไปรอที่ว่าการได้เลยขอรับ ข้าน้อยคงต้องออกไปช่วยตามหาคุณหนูสวีอีกแรง อาชวี่เจ้าไปกับข้า”“เหตุใดข้าต้องไปด้วยเล่า” ฟู่ชวี่ไม่เข้าใจ เขามีเหตุผลอะไรถึงต้องไปช่วยตามคนที่คิดร้ายกับน้องสาวของเขาด้วย“ประเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้เอง”นายท่านฟู่ยังไม่ทันถามเลยว่า แล้วเหตุใดสวีอวี้หรันนางถึงได้ถูกลักพาตัวไปแทนบุตรสาวของตนได้ หลิวเลี่ยงเฟิ่งก็พาฟู่ชวี่เดินออกจากห้องโถงไปเสียแล้ว“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด” ฟู่ชวี่เอ่ยถามออกมาเมื่อทางที่หลิวเลี่ยงเฟิ่งพาเดินมา เป็นป่าที่อยู่ด้านหลังทิศตะวันตก มิใช่เส้นทางที่จะออกนอกเมือง เช่นนี้แล้วจะเรียกว่าออกมาตามหาคนได้อย่างไร ด้วยคนร้ายก็คงไม่โง่จับตัวคนมาซ่อนเอาไว้ใกล้หูใกล้ตาเช่นนี้แน่“ข้าสั่งให้คนจับตัวคุณหนูสวีนางมาซ่อนเอาไว้ ข้าอยากให้นางได้รับรู้ว่าหากอาม่านนางถูกจับตัวไป นางจะต้องหวาดกลัวมากเพียงใด” ฟู่ชวี่เข้าใจสหายของตนได้ทันทีเพียงเดินเข้าไปในป่าไม่ได้ไกลมากน
ครั้งนี้เขารุนแรงกับนางไปหน่อย ด้วยโมโหที่คิดว่านางจะต้องไปเป็นสตรีของผู้อื่นเช่นชาติที่แล้ว หน้าของอู๋หยวนก็ไม่เคยได้พบเห็น แต่รู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูกรถม้าของฟู่จูอิ๋งเคลื่อนตัวได้ช้า ทำให้หลิวเลี่ยงเฟิ่งได้ลงโทษนางจนพอใจ“บวมหมดแล้ว” หลิวเลี่ยงเฟิ่งมองริมฝีปากบางที่บวมเจ่ออย่างสงสาร“ก็ท่านมิใช่รึ ที่ทำข้า” ฟู่จูอิ๋งต้องใช้ผ้าปิดหน้าที่นางเตรียมมาแต่ไม่คิดว่าจะใช้ ปิดบังสิ่งที่หลิวเลี่ยงเฟิ่งทำไว้หลิวเลี่ยงเฟิ่งลงจากรถม้าก่อนที่รถม้าจะมาหยุดลงที่หน้าโรงน้ำชา สถานที่ ที่ฟู่จูอิ๋งนัดพบกับสวีอวี้หรันพอหลิวเลี่ยงเฟิ่งเห็นสวีอวี้หรันมองมาทางตนอย่างหลงใหล เขาก็มองตอบนางอย่างรังเกียจโดยไม่ปิดบังเมื่อชาติที่แล้ว เขามิได้สังเกตการณ์กระทำของนาง พอมาตอนนี้จึงได้เข้าใจว่าทุกครั้งที่นางต้องการพบเจอเขา จะใช้ฟู่จูอิ๋งมาเป็นข้ออ้าง“คารวะพี่เฟิ่งเจ้าค่ะ”“เรียกข้าผู้ตรวจการหลิวเถิด หากผู้อื่นมาได้ยินจะเข้าใจผิดได้ คำเรียกขานนี้ ข้าให้อาม่านนางเรียกข้าได้เพียงผู้เดียว” ใบหน้าของสวีอวี้หรันซีดเผือดทันที ยิ่งสายตาของเขาที่มองนางอย่างโกรธแค้น หรือว่าจะรู้แผนการที่นางวางเอาไว้แล้ว“พี่เฟิ่ง ท่านพ
“คุณชาย คุณชายขอรับ หากตื่นสายกว่านี้ จะไม่ทันไปรับคุณหนูฟู่นะขอรับ”เสียงบ่าวร้องเรียกอยู่ที่หน้าห้อง พร้อมทั้งเสียงเคาะประตูระรัว ปลุกให้หลิวเลี่ยงเฟิ่ง ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงเขามองไปรอบห้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เป็นเรือนพักเก่า ที่เขาใช้อยู่ก่อนที่จะแต่งสวีอวี้หรันเข้ามาในจวนเขานั่งพิงหัวเตียงนวดขมับอย่างไม่เข้าใจ เขาจำได้ดีว่า ก่อนหน้านี้ตนเองยังนอนรอความตายอยู่บนเตียงอยู่เลยหลิวเพ่ยหมินผู้เป็นบุตรชาย ยังจับมือเขาไม่ห่าง และสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะฝังร่างของเขาใกล้สุสานตระกูลฟู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ความปรารถนาสุดท้ายที่จะได้พบเจอ ฟู่จูอิ๋งในภพชาติหน้าเป็นจริงหลิวเลี่ยงเฟิ่ง ยังจำคำพูดสุดท้ายที่เยี่ยนอิงนางมาพบเขาก่อนตายได้ดี“ผู้ตรวจการหลิว ภพหน้าที่ท่านปรารถนามีจริง ข้าหวังว่าท่านจะตามหาท่านแม่ข้าเจอ แต่ท่านคงไม่เชื่อ ว่าข้า...คือคนที่ข้ามภพมาจากภพอื่น”เยี่ยนอิงเพียงต้องการให้เขาเชื่อว่าชาติภพมีจริง หากแรงปรารถนาของเขาแข็งแกร่งมากพอ นางเชื่อว่าเขาจะต้องได้ย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวในอดีตหลิวเลี่ยงเฟิ่ง ใช้สายตาที่พร่ามัว จ้องมองภาพของเยี่ยนอ
วันที่สามของการแต่งงาน เยี่ยนอิงกลับบ้านเดิม พร้อมข้าวของที่ตระกูลหมานจัดเตรียมเอาไว้ให้นางหลายคันรถม้า แม้จะบอกแล้วว่าที่จวนตระกูลฟู่มิได้ขาดแคลนสิ่งใด แต่ในเมื่อเป็นความตั้งใจของพ่อแม่สามี นางจึงมิอยากจะปฏิเสธให้เสียน้ำใจ“พวกเจ้า กลับมาค้างที่จวนหมานบ่อยๆ เล่า” ฮูหยินหมานเอ่ยออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์แม้จะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ทั้งสองจะย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ของเยี่ยนอิง จนกว่าจวนท่านแม่ทัพจะปรับปรุงเรียบร้อย“ได้เจ้าค่ะ ข้าอยู่ห่างไปเพียงสองตรอกเท่านั้น หากท่านแม่คิดถึงท่านพี่ ข้าจะให้คนมารับท่านไปพักด้วยกันสักหลายวันหน่อย”ฮูหยินหมานรู้ในความหมายของเยี่ยนอิง นางมิได้ชวนไปพักที่จวนตระกูลฟู่ แต่ชวนเข้าไปพักในมิติต่างหาก“ท่านพี่ ไปวันนี้เลยดีหรือไม่” ฮูหยินหมานหันไปเอ่ยถามสามี“อีกสองวันเถิด ข้าจะพาเจ้าไป” นายท่านหมานถอนหายใจออกมา กับความเอาแต่ใจของผู้เป็นภรรยาเยี่ยนอิงได้แต่อมยิ้มมองแม่สามีของนางงอนพ่อสามี ก่อนจะเอ่ยลากลับจวนตระกูลฟู่คนตระกูลฟู่ล้วนแต่ไม่มีผู้ใดไปทำงาน แม้แต่ซานเซินที่ไม่เคยทิ้งเรื่องการเรียนยังขอหยุดเพื่อรอรับพี่สาวอยู่ที่จวน“พี่หญิง!!!” เขาร้องเรียกอย่างยินดี พร
สายตาของหมานจื้อจ้าน จ้องมองร่างงามที่เปลือยเปล่าตรงหน้าอย่างเหม่อลอย“จะมองอีกนานหรือไม่” เยี่ยนอิงกระดิกนิ้วอย่างเชื้อเชิญ“ไม่มองแล้ว” หมานจื้อจ้านรีบถอดเสื้อผ้าของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปอยู่บนเตียงเสียงใสของเยี่ยนอิงที่หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวานที่เกิดจากความเสียวซ่านที่ได้รับเรียวลิ้นร้ายของหมานจื้อจ้านกวาดเลียไปทุกส่วนของร่างกายเยี่ยนอิง ราวกับมาจะประทับร่องรอยของเขาไว้บนเรือนร่างงามของนางนิ้วมือของเขาลูบไล้เรือนร่างของนางอย่างหื่นกระหาย เมื่อเล้าโลมนางจนอ่อนระทวยไปทั้งตัวแล้ว นิ้วร้ายของก็หยอกล้ออยู่ที่กลีบดอกไม้งามอย่างเชี่ยวชาญ“อ๊า....” เยี่ยนอิงเชิดหน้าขึ้น ยามที่หมานจื้อจ้านส่งนิ้วเข้าไปในช่องทางรักของนางลิ้นของเขาก็ตวัดดูดกลืนเนินเนื้องามอย่างที่เคยหมายเอาไว้อย่างอดยาก มือด้านล่างก็เร่งจังหวะให้นางได้เสร็จสมเร็วขึ้น ด้วยตัวเขาเองก็แทบจะทนไม่ไหวเสียแล้ว“ชะ ช้า หน่อย” เยี่ยนอิงกัดฟันแน่น เมื่อหมานจื้อจ้านกดลำทวนของเขาเข้ามาในช่องทางรักจนเกือบจะมิดลำทวนในคราเดียว“เจ็บหรือไม่” เขาจูบที่ขมับของนาง“มะ ไม่” เยี่ยนอิงไม่ได้มีความรู้สึกเจ







