ไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ซานเซินจะเคยได้ลิ้มลองเนื้อบ้างหรือไม่ รูปร่างของซานเซินมีเพียงเยี่ยนอิงและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่จะมองออก
นางจึงได้รู้ว่า น้องชายของนางยามนี้ ความสูงของเขาเพิ่มจากเดิมไม่น้อยแล้ว ไหนจะแก้มที่แดงระเรื่อเช่นคนสุขภาพดี ต่อจากนี้เพียงขุนเขาให้มีเนื้อเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะน่าเอ็นดูเพียงใด
เยี่ยนอิงและซานเซินกำลังกินอาหารเย็น เรือนตระกูลตู้ก็กินเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ลองชิมอาหารฝีมือของเยี่ยนอิง อาหารที่ป้าตู้และลูกสะใภ้นางทำไว้ก็แทบจะไม่พร่องลงเลย
“ข้าเพิ่งรู้ว่าอิงเออร์นางมีฝีมือมากเพียงนี้” ลุงตู้เลียริมฝีปาก เขาอยากจะกินอาหารของเยี่ยนอิงอีก
“จริงขอรับท่านพ่อ เช่นนี้อิงเออร์ นางเปิดเหลาอาหารได้เลย” บุตรชายของลุงตู้เอ่ยออกมาอีกคน
“พวกท่านแย่งข้ากินหมดเลย ข้าอุตส่าห์หน้าหนาไปขอพี่อิงมา” อาเหมยนั่งหน้าบูดเมื่อนางคีบอาหารไม่ทันคนอื่น
“หากเจ้าชอบฝีมือของพี่อิงของเจ้า อาเหมยเจ้าไปขอให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าดีหรือไม่” กวนซื่อ ลูกสะใภ้ของป้าตู้เอ่ยบอกบุตรสาว
“จริงด้วย พี่เฉียว ท่านไปสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเลยเจ้าค่ะ” อาเหมยหันไปหาพี่ชายของนาง
“เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ผู้ใดได้ยิน อิงเออร์นางจะเสียหายได้” ตู้เฉียวร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา อายุของเขายามนี้สิบแปดหนาวแล้ว
เขาไม่เคยสนใจเยี่ยนอิงมาก่อน ด้วยเมื่อก่อนนางถูกใช้แรงงานอย่างหนัก รูปร่างที่ผอมแห้งของนาง ทั้งนางยังมักหลบสายตาของผู้คน ทำให้เขาไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา
“พอๆ อิงเออร์ นางก็ไม่สนใจพี่ชายของเจ้าหรอกอาเหมย แล้วอย่าได้ไปพูดกับนางเช่นนี้เล่า ต่อไปนางจะไม่แบ่งอาหารให้เจ้ากิน ทั้งยังจะไม่ให้เจ้าเข้าเรือนด้วย” ป้าตู้โบกมือห้ามหลานสองคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่
เยี่ยนอิงในตอนนี้ นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย นางทั้งฉลาดและยังร่ำรวยจนเรียกได้ว่าเงินที่นางมีใช้ชาตินี้ก็ยังไม่หมด ความต้องการของนางก็ดูเหมือนจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้นางจะมาสนใจหลานชายของตนได้อย่างไร
เยี่ยนอิงมองชามอาหารตรงหน้าที่ยามนี้แทบไม่เหลือสิ่งใดอยู่ ทั้งหมดลงไปอยู่ในท้องของซานเซินและเสี่ยวไป๋หมดแล้ว
“ข้าจะไปล้างชามก่อน เซินเออร์เจ้าเข้าไปปูที่นอนเองได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ” เขาพยักหน้ารับ
“นายหญิง ท่านกับนายน้อยเข้าไปพักในมิติไม่ดีกว่ารึขอรับ”
“แล้วหากมีคนมาที่เรือนเล่า หายไปกันหมดเช่นนี้จะทำอย่างไร”
“หากมีคนมาที่เรือน ท่านและข้าล้วนแต่รับรู้ได้ทันที อย่างไรก็ออกมาได้ทันขอรับ”
“เช่นนั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ต้องปูที่นอนไว้” นางหันไปบอกซานเซิน แล้วจึงนำชามเข้าไปล้างในครัว จะได้รีบออกมาช่วยน้องชายปูที่นอนห้องของนางและของซานเซิน
ทั้งสามจัดการเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะพากันเข้าไปอยู่ภายในมิติ ซานเซินดูจะตื่นเต้นกับห้องนอนใหม่ของเขาและห้องน้ำที่มีอยู่ด้านในไม่น้อย
“เสื้อผ้าพวกนี้ เจ้าเก็บไว้ในมิติเถิด ด้านนอกใส่เพียงชุดที่ป้าตู้นางซื้อให้ก็พอ” เยี่ยนอิงส่งเสื้อผ้าที่นางซื้อมาให้ซานเซินให้เขานำไปเก็บในห้อง
“ขอบคุณขอรับท่านพี่” มือน้อยๆ ของเขาสั่นเทาเมื่อได้รับชุดผ้าไหมเนื้อดี เป็นครั้งแรกของซานเซินเลยที่ได้สัมผัสผ้าดีเช่นนี้
“ต่อไป พี่จะซื้อให้เจ้าใส่สีไม่ซ้ำวันกันเลยดีหรือไม่” นางลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องขอรับ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนอิงอย่างขอบคุณ
“นายหญิง นายน้อย หากพวกท่านนำของเข้าไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ห้องตำราด้วยขอรับ”
“ห้องตำรา เหตุใดข้าต้องไปที่ห้องตำรา” เยี่ยนอิงหันไปมองเสี่ยวไป๋อย่างไม่เข้าใจ
“นายน้อยควรหัดคัดตัวอักษร เพื่อเตรียมเข้าสำนักศึกษา ตัวท่านในเมื่อเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้ว ก็ควรจะเดินลมปราณ เพื่อเข้าสู่การฝึกตนเสียทีขอรับ”
“ฝึกตนเช่นนั้นรึ คือสิ่งใดกัน” นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ทั้งจากความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างเหมือนว่าก็ไม่รู้เรื่องการฝึกตนเช่นกัน
“การฝึกตน เพื่อให้ท่านเข้าสู่หนทางของการเป็นเซียน ท่านจะต้องฝึกเดินลมปราณ เพื่อขยายเส้นลมปราณให้พร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นแต่ละระดับ”
“อธิบายง่ายๆ ได้หรือไม่” อย่างไรนางก็ฟังไม่ออก
“เพื่อทำให้ท่านเก่งเหนือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวรยุทธ์ พลังปราณมีส่งออกมาจะรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตน หากท่านบรรลุไปถึงขั้นเทพเซียนได้ ท่านจะอยู่ได้นานนับพันปี”
“มากไป ข้ามีเหตุผลใดที่จะอยู่นานเพียงนั้น” ที่นี่ไม่เหมือนโลกก่อนของนาง
ที่นางทั้งมีเงินทอง มีอำนาจ ความเป็นอยู่ก็แสนจะสุขสบาย หากมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณนับพันปี กว่านางจะทนรอถึงพันปี เพื่อจะได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นางคงได้เบื่อก่อนแน่
ซานเซินฟังสิ่งที่ทั้งสองโต้ตอบกันก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ตัวเขาเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดถึงเป็นครั้งแรกเช่นกัน
“มิใช่ว่าท่านจะอยู่ได้ถึงพันปีในโลกมนุษย์เสียเมื่อไหร่ ท่านจะต้องไปอยู่ในดินแดนของเทพเซียนต่างหากเล่า” เสี่ยวไป๋ปรายตามองเยี่ยนอิงอย่างดูแคลน
“หื้ม...ไม่ต้องทำความดีก็ได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ข้าเข้าใจถูกหรือไม่”
“ก็ไม่ถึงกับอยู่บนสวรรค์ แต่มีดินแดนแยกสำหรับของผู้เป็นเทพเซียนอีกแห่ง มีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นที่จะสามารถอยู่ได้”
“แล้วไม่ต้องแกร่งแย่งชิงดีกันอีกรึ” เยี่ยนอิงกอดอกมองเสี่ยวไป๋ นางเบื่อเรื่องการแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันแล้ว
“ไม่ขอรับ ผู้ฝึกตนส่วนมากต่างเร้นกายอยู่ในที่ของตน จะมีเพียงไม่กี่คนที่นึกสนุกลงมาสร้างเรื่องในโลกมนุษย์”
“เอาเถิด หากเจ้าว่าดีข้าก็จะฝึก เพียงแต่ไม่รับรองว่าจะมีความอดทนจนฝึกไปถึงขั้นเทพเซียนหรือไม่” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าเองก็อยากฝึกขอรับ” ซานเซินเดินเข้ามาดึงแขนเสื้อของเยี่ยนอิงไว้แน่น
“นายน้อย ท่านเองก็ต้องฝึกเช่นกัน เพียงแต่ต้องรอให้ถึงสิบสามหนาวก่อน ร่างกายของท่านต้องเติบโตมากกว่านี้เสียหน่อย”
“ใช่แล้วเซินเออร์ ยามนี้เจ้าควรจะสนใจเรื่องอ่านตำรากับคัดอักษรก่อน ข้าอยากจะให้เจ้าเข้าสำนักศึกษา” เยี่ยนอิงลูบหัวน้องชายเบาๆ
“เข้าใจแล้วขอรับ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เยี่ยนอิงและซานเซินแยกตัวไปที่ห้องของตน เพื่อนำของไปเก็บด้านใน ส่วนเสี่ยวไป๋เดินไปรอทั้งสองที่ห้องตำราแล้ว
ภายในห้องตำรา นอกจากจะมีตำราวางเรียงรายอยู่บนชั้นนับพันเล่มแล้ว ยังมีโต๊ะอยู่ตรงมุมห้อง เพื่อให้นั่งสำหรับอ่านตำรา คัดตัวอักษรด้วย
บนโต๊ะมีพู่กันด้ามงาม แท่นหมึกและกระดาษวางไว้พร้อม เสี่ยวไป๋ยังเป็นผู้ที่เลือกตำราออกมาวางไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ซานเซินหัดคัดตามตัวอักษรด้านใน
"ของข้ารึ” ซานเซินลูบคลำกระดาษและพู่กัน
เมื่อก่อนเขาเคยเห็น อู๋ซวง บุตรชายของลุงใหญ่ มักจะนำกระดาษออกมานั่งคัดตัวอักษรที่ชานเรือน เขาก็หวังว่าสักวันตนจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นกัน
“ใช่แล้วขอรับ เป็นของนายน้อย ข้าน้อยเตรียมไว้ให้ท่าน” เสี่ยวไป๋ชี้ไปตรงตำแหน่งที่เก็บกระดาษและแท่งหมึกไว้ หากหมดซานเซินสามารถมาหยิบใช้ได้ตลอด
“ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวไป๋” ซานเซินพุ่งตัวเข้าสวมกอดเสี่ยวไป๋ไว้แน่น แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่โอบต้นขาของมันไว้เท่านั้น
“แล้วข้า ต้องทำเช่นใด” เยี่ยนอิงเอ่ยถามออกมา
“นายหญิง ท่านต้องเดินลมปราณ เพื่อปรับพลังชี่ในร่างกายก่อนขอรับ”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ นางหูซื่อก็เดินมาถึงเรือนตระกูลกวน ด้วยก่อนหน้านี้ปู่กวนให้หลานชายไปตามนางมาพบ"อิงเออร์ เซินเออร์” นางเห็นหลานทั้งสองนั่งอยู่ภายในห้องโถงตระกูลกวน ก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งสวมกอดทั้งสองด้วยความคิดถึง“ท่านย่า/ท่านย่า” เยี่ยนอิงเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความรักที่นางหูซื่อมีต่อเจ้าของร่างเดิมและน้องชายของนาง“พวกเจ้าได้กินอันใดหรือไม่ เหตุใดถึงได้ผอมเช่นนี้” นางมองหลานทั้งสองอย่างปวดใจหากผู้เป็นสามียังมีชีวิตอยู่ บุตรชายคนโตคงไม่กล้ารังแกหลานทั้งสอง เป็นเพราะนางอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดพวกเขาได้“ท่านย่า ท่านไม่ต้องห่วงข้ากับเซินเออร์เจ้าค่ะ เมื่อสองวันก่อนข้าขึ้นเขาไปกับป้าตู้แล้วพบของดีเข้า ได้เงินมาไม่น้อย จึงคิดจะนำเงินมาตอบแทนท่านเจ้าค่ะ”“ตอบแทนอันใดกัน ข้าไม่เคยช่วยเหลือพวกเจ้าได้เลย” พอนึกถึงเรื่องในหนเก่า นางหูซื่อก็ร้องออกมาอย่างปวดใจ บุตรชายคนรองของนางและลูกสะใภ้ ต่างตกตายกันไปสิ้น เหลือเพียงหลานทั้งสองให้ดูต่างหน้า แต่นางก็ไม่อาจดูแลพวกเขาได้คนที่อยู่ในห้องโถง ต่างมองย่าหลานพูดคุยกันด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ“เอาเถิด ที่เรียกเจ้ามาก็ด้วยเรื่องนี
เยี่ยนอิงที่ยังไม่เคยเดินลมปราณสักครั้ง นางต้องปรับพลังชี่ให้ไหลเวียนได้คล่องเสียก่อน ถึงจะทะลวงเส้นลมปราณ“แล้วต้องนั่งที่ใด” นางมองหาที่นั่งภายในห้องตำราก็เห็นว่าไม่มีมุมใดที่นางจะนั่งเดินลมปราณได้“ด้านนอกขอรับ ท่านตามข้ามา” เสี่ยวไป๋เดินนำหน้าเยี่ยนอิงออกไปด้านนอกด้านหลังเรือนพักมีต้นไม้ใหญ่ ตรงโค่นต้นมีแท่นหินเกลี้ยงเกลากว้างขนาดเท่าเตียงนอนอยู่ด้วย“ท่านขึ้นไปนั่งเดินลมปราณบนแท่นหินได้เลยขอรับ”เยี่ยนอิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่ง“อืม...เย็นสบายนัก” แท่นหินที่นางนั่งอยู่ไม่ได้เย็นจนไม่อาจจะทนนั่งได้ มันเป็นความเย็นที่นางรู้สึกว่าสบาย หากเป็นเช่นนี้นางคิดว่านางคงนั่งได้นาน“หินที่ท่านนั่งอยู่มิใช่หินธรรมดา เป็นหินที่ดูดซับพลังฟ้าดินมานับหมื่นปี นายแห่งมิติคนเก่านำมาจากสวรรค์...” มันเกือบจะหลุดพูดถึงแหล่งที่มาต่อ แต่ก็เงียบปากลง เมื่อนึกถึงคำสั่งที่ถูกห้ามพูดไว้เยี่ยนอิงนางก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจ ในสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูด นางสนใจไอเย็นที่แผ่ออกมาจากแท่นหิน พามือของนางไปสัมผัสเข้า ก็ราวกับว่าไอเย็นที่เห็นกำลังไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างช้าๆ“ท่านหลับตาเข้าสมาธิได้เลยขอรับ
ไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ซานเซินจะเคยได้ลิ้มลองเนื้อบ้างหรือไม่ รูปร่างของซานเซินมีเพียงเยี่ยนอิงและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่จะมองออกนางจึงได้รู้ว่า น้องชายของนางยามนี้ ความสูงของเขาเพิ่มจากเดิมไม่น้อยแล้ว ไหนจะแก้มที่แดงระเรื่อเช่นคนสุขภาพดี ต่อจากนี้เพียงขุนเขาให้มีเนื้อเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะน่าเอ็นดูเพียงใดเยี่ยนอิงและซานเซินกำลังกินอาหารเย็น เรือนตระกูลตู้ก็กินเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ลองชิมอาหารฝีมือของเยี่ยนอิง อาหารที่ป้าตู้และลูกสะใภ้นางทำไว้ก็แทบจะไม่พร่องลงเลย“ข้าเพิ่งรู้ว่าอิงเออร์นางมีฝีมือมากเพียงนี้” ลุงตู้เลียริมฝีปาก เขาอยากจะกินอาหารของเยี่ยนอิงอีก“จริงขอรับท่านพ่อ เช่นนี้อิงเออร์ นางเปิดเหลาอาหารได้เลย” บุตรชายของลุงตู้เอ่ยออกมาอีกคน“พวกท่านแย่งข้ากินหมดเลย ข้าอุตส่าห์หน้าหนาไปขอพี่อิงมา” อาเหมยนั่งหน้าบูดเมื่อนางคีบอาหารไม่ทันคนอื่น“หากเจ้าชอบฝีมือของพี่อิงของเจ้า อาเหมยเจ้าไปขอให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าดีหรือไม่” กวนซื่อ ลูกสะใภ้ของป้าตู้เอ่ยบอกบุตรสาว“จริงด้วย พี่เฉียว ท่านไปสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเลยเจ้าค่ะ” อาเหมยหันไปหาพี่ชายของนาง“เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ผ
เยี่ยนอิงยืนมองทั้งคู่เข้าไปในป่าเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้ออกไปด้านนอกมิติ เพื่อเตรียมอาหารไว้ให้พวกเขา“อิงเออร์ เจ้ายังมิได้ทำอาหารใช้หรือไม่ เช่นนั้นไปกินที่บ้านป้าเถิด” ป้าตู้ที่เพิ่งจะไล่ชาวบ้านไปได้แล้ว อีกทั้งนางเพิ่งจะนำของที่ซื้อมาไปเก็บที่เรือน ก็เดินมาหาเยี่ยนอิงที่เรือนของนาง“ท่านป้า วันนี้ข้ารบกวนท่านมาตลอดทั้งวันแล้ว อีกอย่างเซินเออร์ยังมิหายดี ข้าไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่เรือนเพียงลำพังเจ้าค่ะ”“จริงด้วย ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าต้องดูแลเซินเออร์ ประเดี๋ยวข้าจะให้เหมยเออร์ นำอาหารมาให้เจ้าก็แล้วกัน” อาเหมยเป็นหลานสาวของป้าตู้ อายุรุ่นเดียวกับซานเซิน“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงเดินไปส่งป้าตู้ที่หน้าเรือน ก่อนนางจะกลับมาเตรียมข้างของเพื่อทำอาหารแต่ว่า...นางจุดไฟไม่เป็น เยี่ยนอิงมองเตาไฟที่ต้องใช้ฟืนอย่างครุ่นคิด ผัก เนื้อสัตว์นางล้วนแต่หั่นเตรียมไว้หมดแล้ว ซานเซินก็ไม่อยู่ในเรือนด้วย นางหมดหนทางที่จะหาวิธีจุดไฟแล้ว“จะทำเช่นใด” นางเกาหัวอย่างมึนงง ก่อนจะหยิบตะบันไฟขึ้นมามองหาวิธีใช้ด้ามไม้ไผ่ขนาดสามชุ่น (1ชุ่น=1นิ้ว) ในมือถูกเปิดขึ้นเพื่อสำรวจดูสิ่งที่อยู่ด้านใน เยี่ยนอิงมองอย่า
ตลอดทางที่เดินทางกลับหมู่บ้าน ป้าตู้พูดคุยเรื่องซื้อที่ดินเพิ่มกับเยี่ยนอิง ทั้งถามว่านางจะซ่อมแซมบ้านหรือไม่“อิงเออร์ เจ้าคิดจะทำหรือไม่ หากเจ้าต้องการซื้อที่ดินหรือซ่อมแซมเรือน ข้าจะให้ลุงตู้ของเจ้าออกหน้าให้”“ไม่เจ้าค่ะ ข้าคิดจะพาเซินเออร์ย้ายมาอยู่ในเมือง ต่อไปข้าจะให้เขาเข้าสำนักศึกษา หากยังอยู่ในหมู่บ้านคงเดินทางไปกลับไม่สะดวกนัก” นางสอบถามคนในเมืองแล้ว หากต้องการซื้อเรือนต้องไปติดต่อที่ใด“สวรรค์ เจ้าออกไปอยู่สองคนกับน้องชายของเจ้าเช่นนั้นรึ” ป้าตู้ร้องออกมาด้วยความตกใจทั้งสองที่เป็นเพียงเด็กน้อย จะออกมาอยู่ด้วยกันตามลำพังได้อย่างไร หากรั้งอยู่ภายในหมู่บ้านก็ยังมีนางและสามีคอยเป็นหูเป็นตาให้อยู่“เจ้าค่ะ ข้าคิดจะทำการค้าด้วย เมื่อก่อนท่านพ่อสอนข้าเอาไว้ไม่น้อย ในเมื่อมีเงินแล้วก็อยากจะหาทางเพิ่มให้มีมากขึ้น มิใช่อยู่ใช้เงินที่ได้มาจนหมด ต่อไปไม่รู้ว่าจะยังโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่”“เงินตั้งเยอะเพียงนั้น เจ้าใช้จนตายก็ยังไม่หมด” ป้าตู้ถลึงตามองเยี่ยนอิง เมื่อนางพูดว่าสักวันเงินที่มีอยู่จะหมดไป“...” เยี่ยนอิงมิได้พูดสิ่งใด นางเพียงอมยิ้มมองป้าตู้หากป้าตู้ได้รู้ว่าวันนี้เยี่ยนอ
“แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องตระกูลฟู่ในเมืองหลวงหรือไม่”“ไม่เจ้าค่ะ แคว้นต้าหลี่กว้างใหญ่นัก ตระกูลฟู่ก็คงไม่ได้มีเพียงแค่ในเมืองหลวง หากญาติของท่านแม่ข้า อยากจะออกตามหานางจริง คงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงมานานนับสิบกว่าปี”ด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดมารดาของเจ้าของร่างเดิมถึงได้หมดสติอยู่ที่ข้างทาง ทั้งยังไร้ซึ่งความทรงจำ หากนางถูกขับออกจากตระกูลหรือถูกตามสังหาร ถ้าเยี่ยนอิงยังอยากจะรู้เรื่องของตระกูลฟู่ จะไม่มีจุดจบเช่นบิดามารดารึ“เช่นนั้นรึ” เขาเห็นสายตาที่เด็ดเดี่ยวของนาง ก็อดที่จะชื่นชมในความเข้มแข็งไม่ได้ทั้งสองต่างมองพิจารณากันโดยไม่มีสิ่งใดเอ่ยออกมา เยี่ยนอิงที่กลัวจะหาซื้อของได้ไม่ครบก่อนที่ซานเซินจะตื่น นางจึงขอตัวเพื่อออกไปด้านนอก“หากท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าเพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงลุกขึ้น เพื่อจะออกไปซื้อของก่อนที่น้องชายจะตื่น แต่ก็ถูกหมอหลิวเอ่ยรั้งไว้อีกครั้ง“หากเจ้ามีเรื่องให้ข้าช่วยเหลือ มาพบข้าได้ที่โรงหมอ หรือจะไปที่จวนของข้าอยู่ที่ทิศตะวันออกของเมือง หน้าจวนมีป้ายตระกูลหลิว เจ้าหาได้ไม่ยาก”“หึหึ ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่หากจะรบกวนท่านก็คงเป็นเรื่องนำสมุนไพรมาขาย”