มู่หลันฮวารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง นางเพียงหายเข้าไปในป่าเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น เมื่อกลับออกมา กลับพบว่าตนเองได้กลายเป็นเครื่องบูชายัญเพื่อเซ่นสังเวยให้แก่เทพเจ้าปีศาจงูไปเสียแล้ว
ต้องเป็นฝีมือของเหยาเว่ยเป็นแน่ นางจะต้องเอ่ยสิ่งใดสักอย่างแก่ผู้ดูแลหมู่บ้าน พวกเขาจึงมาจับตัวนางไปเช่นนี้
ผู้ดูแลหมู่บ้านจ้องมองมู่หลันฮวาด้วยสายตาที่นึกเสียดายไม่น้อย เขาเองเคยคิดอยากจะไปสู่ขอนางเข้ามาเป็นอนุที่ในจวนเพราะเขารู้สึกถูกตาต้องใจนางเป็นอย่างมากน่าเสียดายที่เหยาเว่ยเอ่ยปากเรื่องบางอย่างขึ้นมากับเขาเสียก่อน
นางหายเข้าไปในป่า บอกว่าจะไปตัดฟืนในป่าใหญ่ ท่านผู้ดูแลหมู่บ้านคอยจับตาดูเอาไว้เถิด หากนางสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย นั่นแสดงว่านางมีบางสิ่งบางอย่างที่เทพเจ้าปีศาจงูต้องการ ท่านคิดดูสิ ในหุบเขาแห่งนั้น มิเคยมีผู้ใดที่เข้าไปแล้วกลับออกมาปกติสักคน หากนางกลับออกมาได้ นั่นเท่ากับว่านางคือผู้ที่ถูกเลือกให้ทำหน้าที่ช่วยเหลือหมู่บ้านของพวกเรา
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เขาเองก็จำต้องเห็นดีด้วย จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคนในหมู่บ้าน ทุกคนต่างลงความเห็นว่ารอให้นางกลับมาเสียก่อน ค่อยตรวจดูตามร่างกายของนางว่ามีคุณสมบัติดังเช่นที่เหยาเว่ยกล่าวมาหรือไม่
เหล่าสตรีวัยกลางคนพามู่หลันฮวามาอาบน้ำชำระร่างกาย ก่อนจะตรวจดูตามร่างกายของนางก็พบว่ามีปานแดงที่ไหล่ข้างซ้ายตรงตามที่เหยาเว่ยบอก พวกเขาจึงจัดการแต่งตัวให้นางเสียใหม่ ก่อนจะพาตัวนางมาที่ลานกลางหมู่บ้าน
มู่หลันฮวาจ้องมองเหยาเว่ยด้วยสายตาอำมหิต นางผู้นี้ช่างมีจิตใจที่หยาบช้าเสียจริงเชียว คิดเล่นงานกันถึงตายเชียวหรือ
หากนางรอดออกมาได้ รับรองว่าเหยาเว่ยไม่ได้ตายดีแน่นอน!!!
มู่หลัวทนเห็นภาพที่บุตรสาวของตนจะต้องถูกส่งไปบูชายัญไม่ไหว เขาจึงหนีกลับเข้าไปในห้องนอน และแอบร้องไห้เพียงลำพัง แม้เขาจะเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง แต่มูหลันฮวาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่
มู่หลัวก้มลงไปที่ใต้เตียง ก่อนจะหยิบกล่องบางอย่างออกมา ภายในของมันมีสร้อยข้อมือหยกสีเขียวนวลตา แกะสลักภาพใบพัดทั้งสี่อยู่บนเนื้อหยกนั้น นี่เป็นของตกทอดที่ท่านแม่ของเขาเคยสั่งเสียเอาไว้ก่อนตาย ว่าต้องมอบให้แก่บุตรสาวที่สืบสายเลือดตระกูลมู่โดยตรงเท่านั้น เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเครื่องประดับตกทอดมาตั้งแต่รุ่นไหน แต่เขาอยากจะมอบให้มู่หลันฮวาไว้เป็นสมบัติติดตัวชิ้นสุดท้ายให้แก่นาง
เขาเดินกลับออกมาพร้อมกับสร้อยข้อมือหยกเส้นนั้น ก่อนจะเข้าไปหามู่หลันฮวาและสวมมันให้แก่นาง มู่หลันฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เหยาเว่ยกลับจ้องมองสร้อยข้อมือหยกเส้นนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย
"นำมันติดตัวเอาไว้ นี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อเหลืออยู่ พ่อยกมันให้เจ้า"
"ท่านพี่ นางจะได้กลับมาหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย"
"หุบปาก!!! หากนางไม่กลับมา เจ้าก็เตรียมตัวตายตามนางไปได้เลย!!!"
เหยาเว่ยหน้าซีดเผือด นางรีบก้มหน้างุดไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาอีก ช่างเถิด อีกสองวันให้หลังหากมู่หลันฮวายังไม่กลับออกมา นั่นก็แปลว่านางตายแล้ว หึ!!! นางค่อยชวนเหยาเถียนบุตรชายไปตามหาสร้อยหยกบนหุบเขานั่นเสียก็สิ้นเรื่อง
"เอาละใกล้ได้เวลาแล้ว!!! พาตัวนางขึ้นไปบนเขา!!!"
"นี่พวกท่าน!เชื่อคำนางเช่นนั้นหรือ!!!"
มู่หลันฮวาหันไปเอ่ยปากถามผู้ดูแลหมู่บ้าน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบจากพวกเขา นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมา
เอาเถิด!!! ในเมื่อไม่สามารถหนีพ้น ก็ยอมรับชะตากรรมไปเสีย
นางเคยตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ตายอีกสักคราจะเป็นไรไป!!!
เหล่าชาวบ้านนำตัวนางเดินลัดเลาะขึ้นไปบนหุบเขา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึก มันลึกกว่าที่นางขึ้นไปเก็บฟืนเมื่อวานเสียอีก มู่หลันฮวาหันไปมองโดยรอบ นางคงไร้หนทางหนีแล้วจริง ๆ
เหล่าชาวบ้านต่างนำผลไม้ที่พอมีอยู่สองถึงสามอย่างจัดวางเอาไว้ที่เนินดินซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก ก่อนจะจัดการจับนางมัดเอาไว้กับต้นไม้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันนางหลบหนี พวกเขาพนมมือเอ่ยขอพรต่อเทพเจ้าปีศาจงูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองนางอีกคราและเดินจากไป
ยามนี้บนหุบเขาช่างเงียบงันยิ่งนัก มู่หลันฮวาหันไปมองด้านล่างหุบเขาก็พบกับทะเลสาบซีหูที่แห้งเหือด เมื่อทอดสายตามองไปที่หุบเขาอีกลูกหนึ่งก็จะพบกับวัดจิ้งฉือที่อยู่บนเขาหนานผิง และนั่น เจดีย์เหลยเฟิง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางวัดแห่งนั้น
มันควรจะเป็นธรรมชาติที่งดงามมากกว่านี้ หากนางไม่ได้ถูกจับมาให้งูกิน
มู่หลันฮวาพยายามขยับกายให้หลุดจากการมัดที่แน่นหนา แต่ก็ไร้ผล นางเริ่มทอดถอนใจเสียแล้ว จนกระทั่งนางได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังแว่วมา
กรร!!! ฟ่อ!!!
มู่หลันฮวาชะงักอยู่กับที่ ใจของนางเริ่มเต้นถี่ระรัว
เสียงนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามาเสียจนนางรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง
ฟ่อออ!!!
นางค่อย ๆ หันหน้าไปมองที่มาของเสียง ก่อนจะต้องอ้าปากค้างดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
งูใหญ่ยักษ์ลำตัวขาวประกายวาววับราวกับแสงจันทร์ที่ส่องแสงสีทองในยามราตรี ดวงตาของมันเป็นสีแดงเพลิง ลำตัวสีขาวใหญ่พาดยาวไปไกลหลายลี้ มันกำลังจ้องมองนางตาไม่กะพริบ มู่หลันฮวารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แม้ว่านางจะเป็นหมอสัตว์ แต่นางก็ไม่เคยพบเจอสัตว์ชนิดใดที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาเช่นนี้มาก่อน
เทพเจ้าปีศาจงู!!!
หลี่เย่ที่ยามนี้กลายร่างเป็นงูขาวตัวใหญ่ยักษ์ กำลังจ้องมองมู่หลันฮวาด้วยแววตาที่ครุ่นคิด
เหตุใดจึงเป็นนาง? แล้วนางมาทำอันใดตรงนี้?
เขายื่นส่วนหัวที่เป็นงูเข้าไปใกล้นางพร้อมกับแลบลิ้นออกมาเป็นครั้งคราว มู่หลันฮวาที่เห็นว่างูยักษ์เริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความตื่นตระหนก นางจึงเป็นลมหมดสติไปในทันที
หลี่เย่ยังคงจ้องมองนางอย่างไม่ลดละ ดวงตาสีแดงเพลิงปรายตามองไปยังทะเลสาบซีหู ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
มนุษย์เหล่านั้นไม่มีอาหารดีดีมาบูชาเขา จึงคิดจับมนุษย์มาเซ่นสังเวย และนางก็เป็นผู้ที่โชคร้ายคนนั้น!!!
จิตใจของมนุษย์ช่างต่ำช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
"เจียวฟาง"
"ขอรับนายท่าน"
งูเขียวน้อยเจียวฟางที่กำลังกลืนขนมกุ้ยฮวาลงท้อง เอ่ยตอบรับหลี่เย่ทั้งที่ยังมีขนมอยู่เต็มปาก หลี่เย่ที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันเขาไม่น้อย
"ข้าจะพานางกลับไปที่ถ้ำ"
"นายท่าน แต่นางเป็นมนุษย์นะขอรับ"
"มนุษย์พวกนั้นมอบนางให้เป็นทาสรับใช้ข้าเพื่อแลกกับสายฝน"
"หืม?"
"ข้าจะรับตัวนางมาเป็นทาสรับใช้ข้าเพียงเจ็ดวันเท่านั้น แล้วข้าจะปล่อยนางกลับไป"
พูดจบหลี่เย่ก็จ้องมองไปที่มู่หลันฮวา ดวงตาแดงเพลิงส่องประกายเล็กน้อย เชือกที่มัดนางอยู่ก็คลายออก ร่างของมู่หลันฮวากำลังจะร่วงหล่นลงไปบนพื้นเขาจึงใช้ส่วนหางพันรัดรอบลำตัวนางเอาไว้ ก่อนจะพานางกลับไปที่ถ้ำของเขาอย่างไม่รอช้า
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม สายฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยามนี้ทะเลสาบซีหูเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิมแล้ว ต้นไม้ที่เคยแห้งเฉาตายก็เริ่มจะผลิดอกออกใบอีกครา
เหมือนกับหลี่เย่ที่ไม่รู้ตัวเลยว่า หัวใจที่เย็นชาของเขากำลังจะกลับมาเต้นแรงอีกครา
เขาพานางกลับมาที่ถ้ำของตนเอง ก่อนจะวางนางลงบนเตียงนอนที่นุ่มสบาย เตียงนี้แต่ก่อนมู่เหลียนฮวานางเคยชอบแอบมานอนเล่นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อนางจากไปเขาก็เก็บมันเอาไว้เป็นอย่างดี
หลี่เย่กลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งงูอีกครา เขาต้องเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด หากนางตื่นขึ้นมาเห็นคงจะตกใจกลัวไม่น้อย
และถ้าหากว่านางปากเปราะนำเรื่องของเขาไปเล่าให้มนุษย์ในหมู่บ้านฟัง แล้วกระทบกระเทือนถึงความสงบสุขของเขา เขาคงไม่ลังเลที่จะต้องจัดการนางทิ้งเสีย
มู่หลันฮวาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองโดยรอบ
มันคือถ้ำ!!!
ถ้ำที่เย็นสบาย มีเสียงน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา และยัง น่าอยู่มาก ๆ อีกด้วย
เหตุใดนางจึงมาอยู่ในนี้ได้
นางยังไม่ได้ถูกงูยักษ์ตัวนั้นกินอีกหรือ?
"ฟื้นแล้วหรือ?"
มู่หลันฮวารู้สึกว่าเสียงนั้นช่างฟังดูคุ้นเคย นางจึงรีบหันไปมองทันที
ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้นางรู้สึกตกตะลึงเหลือเกิน
นี่มัน!!! ยังมีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ซ่อนเร้นอยู่อีกหรือ
เขาเป็นครึ่งคนครึ่งงู!!!
คนที่นางพบเมื่อคืน!!!
ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องมองนางด้วยความเย็นชา นางรู้แล้ว เขาเองก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเช่นไร?
มู่หลันฮวาจ้องมองหลี่เย่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบตั้งสติขึ้นมา นางมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่ยามนี้ดูเย็นชา ดวงตาสีเหลืองอำพันที่งดงามน่าค้นหา ช่างทำให้ใจของนางสั่นไหว แล้วนั่น!!! ท่อนล่างของเขาที่เป็นหางงูสีขาวนวลตาช่างงดงามยิ่งนัก นางไม่เคยพบเห็นเกล็ดงูตัวใดจะงดงามเช่นนี้มาก่อนเลย
มันสุดยอดมาก!!! มัน!!! นี่มันเรื่องอัศจรรย์อันใดกัน
"ท่านคือเทพเจ้าปีศาจงู?"
หลี่เย่ขมวดคิ้วมุ่น เทพเจ้าอันใดกันมนุษย์นี่ช่างเอ่ยวาจาเหลวไหลยิ่งนัก!!!
"ข้าเป็นเพียงปีศาจงูไม่ได้เป็นเทพเจ้า เจ้าระวังคำพูดด้วย"
มู่หลันฮวาพยักหน้า เมื่อได้รู้ว่าเป็นเขาที่มอบเสื้อให้นางห่มกันหนาววันนั้นนางก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยนางก็พอดูออกว่าเขาไม่ใช่งูที่ใจร้าย น่าเสียดายที่เสื้อคลุมตัวนั้นนางวางมันเอาไว้ที่กิ่งไม้ในป่านั่น ไม่ได้นำมันมาคืนเขา
หลี่เย่เมื่อได้เห็นว่ามู่หลันฮวาไม่เกรงกลัวตนเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
"เจ้าไม่กลัวข้า?"
"ไม่แล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าข้าชอบท่านมาก"
ชอบท่านมาก!!!
"หุบปากเดี๋ยวนี้!!!"
ยิ่งเขานึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เขาเผลอไปจิ้มหน้าอกนาง เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย
"นายท่านงูรูปงาม ข้ายินยอมเป็นทาสของท่านไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ"
หลี่เย่ "..."
หลี่ฮวาจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉย ยามนี้นางตามเฟิ่งจิ้งมาที่เผ่ามารด้วย เจียวฟางงูน้อยและเซียงเซียงปีศาจแมวก็คอยตามมารับใช้นางด้วยตามคำสั่งของหลี่เย่และมู่หลันฮวา จวนตระกูลมู่ถูกปิดตายเอาไว้เช่นนั้นไม่มีผู้ใดอยู่อีก นางคิดว่าไว้มีเวลาว่างนางจะกลับไปเยี่ยมจวนของท่านแม่เป็นครั้งคราวเผ่ามารเป็นสถานที่น่าเกรงขาม รอบบริเวณต่างปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนาสีดำ สถานที่แห่งนี้ดูแล้วช่างน่าอันตรายไม่น้อย สายตาของเหล่ามารที่มองนางก็ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรเสียเท่าไหร่เฟิ่งจิ้งแต่งงานกับนางแล้ว เขาพานางมายังเผ่ามารด้วยกัน แม้ภายนอกเขาจะดูเงียบขรึมแต่ทว่ายามที่อยู่กับนางเขาช่างร้อนแรงไม่เบา เขาพานางเดินมายังสถานที่แห่งหนึ่ง มันคล้ายกับเรือนพักของมนุษย์ แต่ดูจะใหญ่โตมากกว่า ภายในประดับตกแต่งด้วยหัวกะโหลกของมนุษย์มากมาย ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ถูกจองจำในครั้งนั้นเฟิ่งจิ้งก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าเขาจะไม่ทำร้ายมนุษย์บริสุทธิ์อีก นอกจากมนุษย์จิตใจต่ำช้าเพียงเท่านั้น น่าแปลกยิ่งนักการที่เขาได้กินหัวใจสด ๆ และกลืนกินพลังชีวิตของเหล่ามนุษย์จิตใจหยาบช้า พลังของเขากลับมีมากมายกว่าแต่ก่อนเสียอีก
เมื่อสารทฤดูมาเยือน (ฤดูใบไม้ร่วง) หลี่เว่ยต้องรีบกลับมาหาผู้เป็นมารดาอย่างรีบร้อน ด้วยเพราะได้รับข่าวแจ้งจากหลี่ฮวา ว่ามู่หลันฮวาใกล้หมดสิ้นลมหายใจสุดท้ายเต็มทีแล้ว นางสั่งเสียให้บุตรทั้งสองพานางขึ้นไปบนเจดีย์เหลยเฟิง มู่หลันฮวาจ้องมองไปที่เจดีย์สูงตระหง่านด้วยดวงตาที่พร่ามัว มือเหี่ยวย่นยื่นไปจับมือของบุตรทั้งสองมากอบกุมเอาไว้ "จงรักกัน พึ่งพากัน สายใยพี่น้องย่อมมิอาจตัดขาด"หลี่เว่ยและหลี่ฮวาพยักหน้าทั้งน้ำตา เขามิอยากสูญเสียมารดาไปเช่นนี้เลย แต่จะให้ทำเช่นไรได้เล่า มารดาของเขาเป็นมนุษย์ ย่อมมีวันหมดสิ้นอายุขัยเป็นเรื่องธรรมดาห้วงลมหายใจสุดท้าย ก่อนที่มู่หลันฮวาจะจากโลกนี้ไป ก็บังเกิดลำแสงสีขาวพวยพุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าลงมายังเจดีย์เหลยเฟิง ปรากฏร่างของหลี่เย่ที่ยามนี้ช่างงดงามสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก ท่อนล่างของเขาเป็นงู เกล็ดสีขาวนวลราวไข่มุกราตรีช่างงดงามเหลือเกิน หลี่เว่ยและหลี่ฮวาหันไปมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาเป็นประกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับหลี่เย่ท่านพ่อของเขามู่หลันฮวาใช้แรงเฮือกสุดท้ายยื่นฝ่ามือเหี่ยวย่นออกไปหาเขา หลี่เย่เองก็ยื่นมือออกไปรับมือของนางเอาไว้ แล้วจึงโน้มใบหน
มู่หลันฮวาจ้องมองหลี่เย่ที่ถูกจองจำเอาไว้ในเจดีย์เหลยเฟิงอีกครั้ง ก่อนที่นางจะกลั้นใจรวบรวมสติที่เหลืออยู่ พาตนเองกลับไปหาลูกน้อยที่ถ้ำบนหุบเขาเมื่อไปถึง นางก็ได้พบกับเจียวฟางและเซียงเซียงที่รออยู่หน้าถ้ำ พร้อมกับอุ้มบุตรทั้งสองของนางเอาไว้ มู่หลันฮวาพบกับท่านผู้เฒ่าจิ้งจอกอีกครา เขามองนางด้วยสายตาที่เป็นมิตรมากกว่าครั้งแรกอยู่มาก "คารวะท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ""อืม ช่างเถิด ข้ามาที่นี่เพื่อจะมาบอกเจ้าว่า ข้าจะมารับบุตรชายของเจ้ากลับไปยังเผ่าปีศาจของเรา"มู่หลันฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องท่านผู้เฒ่าจิ้งจอกเขม็ง จนเขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดที่มีสายตาอำมหิตเช่นนางมาก่อน "เอ่อ แม่นางเจ้าฟังข้าก่อน นี่เป็นความต้องการของหลี่เย่ เขาอยากให้บุตรชายได้เป็นราชาปีศาจเช่นเดียวกับเขา""ลูกข้ายังเด็กนัก!!!""เอาเถิด ข้ายังไม่รีบร้อนเสียหน่อย รอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย ข้าจะกลับมาถามเจ้าอีกครา วันนี้ข้าเพียงแวะมาเยี่ยมเยียนลูกหลานของเผ่าปีศาจเพียงเท่านั้น""ท่านไม่รังเกียจที่เขามีเลือดมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในร่างหรือเจ้าคะ""เหลวไหล!!! เขาเป็นปีศาจ เจ้าแหกตาดูสิ เขาเหมือนหลี่เย่ยิ่งนัก!!!
อวี้ฉือที่ตามหลี่เย่ออกมาด้วย เมื่อได้เห็นเขาคุกเข่าอ้อนวอนต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิตก็รู้สึกสงสารหลี่เย่เป็นอย่างมาก อวี้ฉือเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยขอความเห็นใจจากองค์เง็กเซียนฮ่องเต้แทนหลี่เย่ "ทูลองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ หลี่เย่ได้สำนึกผิดแล้ว ขอพระองค์ทรงเมตตาเขาสักคราด้วยเถิด อย่างน้อยเรายังจะได้ชุบชีวิตมนุษย์ผู้สืบสายเลือดบริสุทธิ์ให้กลับมามีชีวิตอีกครา นางอาจจะช่วยแดนสวรรค์ของเราได้ไม่มากก็น้อยพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เย่เงยหน้าไปมองอวี้ฉือด้วยแววตาที่เย็นชา ท้ายที่สุดแล้ว เผ่าสวรรค์ก็ยังคงต้องการเลือดของนางไปซ่อมแซมตาข่ายสวรรค์อยู่ดี เห็นแก่ตัวกันยิ่งนัก!!!องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดังกังวานน่าเกรงขาม "หลี่เย่!!! เช่นนั้นเจ้าจงนำหญ้าเซียนไปให้แก่นาง แล้วจงรีบกลับมาที่นี่ เตรียมรับโทษจากข้า!!!""เป็นพระกรุณายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เย่น้อมกายทำความเคารพต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้อย่างจำยอม เมื่อเขาตอบตกลงที่จะทำตามเงื่อนไข ท้องฟ้าพลันสว่างสดใส ประตูเจดีย์เหลยเฟิงจึงเปิดออก เผยให้เห็นหญ้าเซียนสีทองจำนวนมหาศาลที่ยืนต้น
เหล่าวิญญาณร้ายที่ถูกไห่ซือจับเป็นทาสรับใช้ รวมถึงเหล่าปีศาจและมารชั้นต่ำที่ไห่ซือจับพวกมันมาได้จากการหลุดลอดหนีออกมาจากตาข่ายสวรรค์ ต่างพุ่งทะยานเข้ามาหาหลี่เย่และเฟิ่งจิ้งทันที ควันสีดำทะมึนต่างพวยพุ่งเข้ามาอย่างมิขาดสาย หลี่เย่หาได้เกรงกลัวไม่ เขาพร้อมตั้งรับอย่างเต็มที่กรร!!!หลี่เย่กลายร่างเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่ ลำตัวของเขาใหญ่โตราวกับภูเขา ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมองไปที่ไห่ซือและเฉินเฟยด้วยความโกรธแค้น เกล็ดสีขาวนวลราวไข่มุกราตรีส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ สร้างความหวั่นเกรงต่อผู้ที่ได้พบเห็นไม่น้อย ฟ่อ!!!เพียงแค่เขาอ้าปากพ่นพิษไฟออกมา ร่างของเหล่ามารปีศาจชั้นต่ำและวิญญาณร้ายต่างแหลกสลายมอดไหม้กลายเป็นจุณ ไม่นานนักเหล่าข้ารับใช้ของไห่ซือก็ทยอยสลายกลายเป็นผุยผงไปเสียหมด ไห่ซือยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก เขาเปิดขวดน้ำเต้าทองออกมาอีกครั้ง ก็ปรากฏร่างของปีศาจงูสีดำขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงฉานของมันจ้องมองมาที่หลี่เย่ด้วยความดุดัน ลำตัวของมันมีขนาดใหญ่ไม่ต่างจากหลี่เย่ ไห่ซือที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ปีศาจงูตนนี้เขาจับมันมาได้ตอนที่มันหลบหนีจากตาข่ายสวรรค์เฝ้าดูแลและเลี้ยงดูมันมาหลา
มู่หลันฮวามิได้รู้สึกว่าตนเองมีอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารมากเท่าใดนัก นางยังคงใช้ชีวิตได้เช่นปกติทั่วไป อาจจะมีเหนื่อยล้าและง่วงนอนบ้างบางเวลา แต่ก็ถือว่าไม่ได้อ่อนแอมากเท่าใดนักตรงกันข้ามนางกลับต้องการดื่มเลือดสด ๆ บ้างในบางครั้งก็เท่านั้นมู่หลัวแม้จะยังรู้สึกแปลกใจและสงสัยว่ามู่หลันฮวาจับงูมาทำสามีได้เช่นไร แต่เขายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว และไม่อยากทำให้บุตรสาวของตนเองลำบากใจ จึงหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถามนางไปเสียท้องของมู่หลันฮวาในยามนี้ใหญ่โตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คงเพราะบุตรในครรภ์มีเลือดของปีศาจอยู่ครึ่งหนึ่งจึงทำให้เจริญเติบโตรวดเร็วกว่าทารกในครรภ์ปกติทั่วไป หลี่เย่พานางมาหลบซ่อนอยู่ในถ้ำตามคำแนะนำของมู่หลัว ด้วยเกรงว่าจะมีชาวบ้านล่วงรู้เข้า และหลี่เย่กับมู่หลันฮวาจะพบเจอกับความลำบากมู่หลันฮวารู้สึกว่าภายในถ้ำค่อนข้างอบอ้าวมากกว่าปกติ นางจึงให้หลี่เย่พาออกมาเดินเล่นที่ด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์"หลี่เย่!!! เจ้าคิดแหกกฎเผ่าปีศาจหรือ!!!"เสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้มู่หลันฮวาและหลี่เย่ต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับผู้เฒ่าชราที่มีผมสีขาวโพลน หนวดเครายาวเป็นสีขาวขับให้บนใบหน้าของเขาดูน