เจียวฟางที่ขดตัวนอนอยู่บนโขดหิน กำลังจ้องมองมาที่มู่หลันฮวาด้วยแววตาที่ไม่ชอบใจเท่าใดนัก สตรีน้อยนางนี้คิดยั่วยวนนายท่านของเขาแน่ ๆ
หลี่เย่หมดวาจาจะเอ่ยเสียแล้ว นอกจากนางจะไม่กลัวเขา นางยังแสดงท่าทียั่วยวนเขาอีกด้วย ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องมองนางอย่างไม่ชอบใจเท่าใดนัก
"อีกเจ็ดวันข้าจะส่งเจ้ากลับไป"
"ไม่กลับเจ้าค่ะ ข้ายินดีรับใช้ท่าน ข้าไม่กลับหมู่บ้านแล้ว"
"เหลวไหล!!! ข้าใช่เพื่อนเล่นเจ้าหรือ?"
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ แต่อีกไม่นานน่าจะได้เล่น...คิกคิก"
หลี่เย่ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เข้าใจสิ่งที่นางเอ่ยออกมาเลยแม้แต่น้อย นี่เขาคิดถูกแล้วใช่หรือไม่ที่พานางมาที่ถ้ำของเขา
"เอาเถิด ถึงเวลาหากเจ้าไม่ยอมกลับไป ข้าก็จะโยนเจ้าลงไปทิ้งที่หน้าหมู่บ้านเอง"
"โธ่!!! นายท่านเจ้าขา"
"อย่ามาใกล้ข้า!!!"
"หึ้ย!!!"
"ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?"
"มู่หลันฮวาเจ้าค่ะ เรียกว่าอาหลันก็ได้"
มู่หลันฮวา!!! มู่เหลียนฮวา
หลี่เย่จ้องมองนางด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกไม่น้อย เหตุใดชื่อของนางจึง แซ่มู่เหมือนกับคนรักของเขา!
"นายท่านเจ้าขา!!!"
หลี่เย่ถูกเสียงเรียกของมู่หลันฮวาทำให้เขาถูกปลุกจากความคิดเหล่านั้น เขาคงฝังใจเรื่องนางมากไป คนแซ่มู่มีตั้งมากมาย มิใช่มีเพียงนางคนเดียวเสียเมื่อไหร่
"อาหลัน ในระยะเวลาเจ็ดวันนี้ เจ้าห้ามออกจากถ้ำเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่?"
"ทำไมเล่าเจ้าคะ?"
"อย่าคิดถาม ข้าไม่มีคำตอบให้เจ้า"
"เช่นนั้นข้าจะกินสิ่งใดเล่าเจ้าคะ อยู่แต่ในถ้ำมิมีอาหารเช่นนี้"
"ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าหิวตายแล้วกลายเป็นมลทินติดตัวข้าเสียหรอก!!!"
มู่หลันฮวาเบ้ปากเล็กน้อย ช่างปากคอเราะรายเสียจริงเชียว อีกทั้งยังเล่นตัวเก่งเสียด้วย
"เข้าใจหรือไม่ หากเจ้าไม่มีสิ่งใดทำ ก็ไปอยู่กับเจียวฟางเสีย"
"งูเขียวน้อยตัวนั้นน่ะหรือเจ้าคะ?"
"ใช่ "
มู่หลันฮวาหันไปมองเจียวฟางที่มองนางด้วยแววตาเย็นชา ดูแล้วงูเขียวน้อยตัวนั้นน่าจะไม่ชอบนางสักเท่าใดนัก
แต่หากอยากได้หลี่เย่ย่อมต้องเข้าหาเจียวฟาง เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ยกยิ้มที่มุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจียวฟางที่นอนขดตัวอยู่
ฟ่อฟ่อ
เจียวฟางรีบชูคอขึ้นมาขู่นางทันที แต่นางไม่ได้เกรงกลัวเจียวฟางเลยแม้แต่น้อย นางยื่นมือขาวเนียนไปจับเจ้างูน้อยขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เนิบนาบชวนขนลุก
"อย่าดื้อกับข้าเลยเจ้างูเขียวน้อย ข้าน่ะทำซุปงูอร่อยที่สุด โดยเฉพาะซุปงูเขียว"
เจียวฟางรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก มันเป็นเพียงงูไร้พลังวิเศษ มากสุดก็แค่กลายร่างเป็นคนได้บางครั้งคราวเท่านั้น หากนางคิดจะกินเขาขึ้นมาจริง ๆ นายท่านคงจะช่วยไม่ทัน
ฮืออออ!!! แงงงงงง
"นายท่านของเจ้าชื่ออะไร?"
"ไม่บอก!!!"
"หืม"
"หลี่เย่!!! ฮืออออ"
มู่หลันฮวามองเจียวฟางด้วยความขบขัน ก่อนจะวางเจ้างูน้อยเอาไว้ที่เดิม นางสอดส่ายสายตามองหาหลี่เย่ที่ยามนี้ได้หายไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้
มู่หลันฮวาลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินสำรวจโดยรอบอย่างพิจารณา ภายในถ้ำแห่งนี้เย็นสบาย มีเสียงคล้ายสายน้ำไหลผ่าน แน่นอนว่ามันจะต้องมีแอ่งน้ำอยู่ในนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงตามหาต้นตอของเสียงน้ำไหลมาเรื่อย ๆ เจียวฟางเองก็รู้สึกง่วงเป็นอย่างยิ่งจึงคร้านที่จะไปสนใจนาง
มู่หลันฮวาเดินเข้ามาในถ้ำที่ลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ มันลึกราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ไม่นานนักนางก็ได้ยินเสียงคล้ายอะไรบางอย่างกำลังเล่นน้ำอยู่ นางเดินเข้าไปใกล้เสียงนั้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งนางเดินมาพบกับน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามตรงหน้า มวลน้ำสีเขียวอำพันไหลรินลงมาตามโขดหินดังซู่ซ่า ด้านบนที่มีน้ำไหลผ่านปรากฏเป็นท้องฟ้าสีรุ้งที่งดงามชวนมอง
ภาพของหลี่เย่ที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ส่วนหางสีขาวของเขาว่ายเลี้ยวลดอยู่ใต้น้ำ ช่างเป็นภาพที่งดงามไม่น้อย ท่อนบนของเขาที่เป็นมนุษย์ยามที่เปียกชุ่มน้ำไปทั้งร่างช่างเย้ายวนใจนางยิ่งนัก
ยามนี้เป็นช่วงที่งูตัวผู้ทั้งหลายต่างต้องการผสมพันธุ์ แม้เขาจะเป็นปีศาจชั้นสูง มีความรู้สึก มีความคิด แต่อย่างไรเสียเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ความปวดหนึบที่เดือยขนาดใหญ่ภายในกายของเขา มันกำลังบอกเขาว่าถึงเวลาที่จะต้องสมสู่กับปีศาจงูตัวเมียเสียแล้ว
เขาทนเช่นนี้มาหลายพันปี แต่นับวันอาการเช่นนี้มันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงต้องมาว่ายน้ำเพื่อขับไล่ความร้อนรุ่มและบรรเทาอาการปวดเช่นนี้ให้เบาบางลง
มู่หลันฮวาเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ หลี่เย่เริ่มรับรู้ได้ว่ามีผู้รุกล้ำ เขาจึงใช้ส่วนหางโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และตวัดมาเกี่ยวรัดร่างของมู่หลันฮวาให้เข้าไปหาเขา
"เป็นเจ้า!!! เข้ามาทำสิ่งใดในนี้!!!"
"เอ่อ ข้าได้ยินเสียงน้ำน่ะเจ้าค่ะ"
"อย่าสอดรู้!!!"
"ข้าเจ็บนะเจ้าคะ หายใจไม่ออก"
หลี่เย่เริ่มรู้สึกว่าเขารัดร่างของนางแน่นเกินไป จึงค่อย ๆ คลายออก และปล่อยร่างของนางทิ้งลงไปในแอ่งน้ำสีเขียวมรกตนั้น
ตู้ม!!!
งูนิสัยไม่ดี!!!
ร่างของมู่หลันฮวาเปียกชุ่มไปทั้งตัว นางเดินโซซัดโซเซขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนจะหันไปมองหลี่เย่อย่างไม่ชอบใจเท่าใดนัก
ฉับพลันแสงจากดวงจันทร์ด้านบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือน้ำตกก็สาดส่องลงมากระทบที่ร่างของเขา ไม่นานนักส่วนที่เป็นงูช่วงล่างก็หายไป เขากลายร่างเป็นมนุษย์อีกครา
เขาสามารถกลายร่างเป็นคนได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเช่นนั้นหรือ? !!!
หลี่เย่ในยามนี้ร่างกายเปลือยเปล่าไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด มู่หลันฮวายกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ ในหัวของนางคิดเพียงแค่คำว่า
ใหญ่จัง ใหญ่จัง ใหญ่โว้ยยยย!!!
หลี่เย่รับรู้ได้ว่าถูกนางจ้องมอง เขารู้สึกประหม่าไม่น้อย รีบก้มลงไปหยิบก้อนหินขนาดใหญ่มาปกปิดลำแท่งเอ็นร้อนของตัวเองเอาไว้ ยามนี้มันแข็งชูชันเสียจนเขารู้สึกอับอาย
มู่หลันฮวารู้สึกกายร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางจ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
"นายท่าน ดูเหมือนตรงนั้นจะมีปัญหา ให้ข้าช่วยดีหรือไม่เจ้าคะ?"
"หุบปาก!!!"
บัดซบ!!! ทุกครั้งที่กลายร่างเป็นมนุษย์ พลังของเขาจะลดลงไปกึ่งหนึ่ง เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะพบกับผู้ใดในคืนพระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้
"นายท่าน"
"อย่าเข้ามา!!! ถ้าเข้ามาข้าจะฆ่าเจ้า"
หลี่เย่ถลึงตามองมู่หลันฮวา ก่อนจะวิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว เขาจัดการหาเสื้อผ้าที่มีมาสวมใส่เอาไว้ทันที
มู่หลันฮวาเดินตามมาพบเขาด้วยความเสียดาย อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวก็จะจับงูทำสามีได้แล้ว
นางครุ่นคิดก่อนจะยกยิ้มตาหยี ทุกสิบห้าวันเขาจะกลายร่างเป็นคน เอาเถิด นางรอได้!!!
"นายท่าน หิวหรือยังเจ้าคะ"
"ข้าหากินเองได้ เจ้าจะไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด"
"ข้าไม่มีสิ่งใดทำเจ้าค่ะ"
"ก็หาทำเสียสิ!!!"
"ข้าไม่รู้จะทำสิ่งใดนี่เจ้าคะ"
"นี่เจ้า!!!"
"นายท่าน"
"มีสิ่งใดอีก!"
"ท่านอยากมีภรรยาเป็นมนุษย์หรือไม่เจ้าคะ? ข้าพร้อมพลีกายรับใช้ท่านนะเจ้าคะ"
หลี่เย่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขาพยายามเบือนหน้าหนีนาง ยามนี้เรือนร่างของนางเปียกชุ่มไปทั้งตัว เผยให้เห็นเรือนร่างของสตรีที่งดงาม เขาเองแม้จะไม่เคยแตะต้องสตรี แต่ยามนี้มันอันตรายยิ่งนัก เขาอยากสมสู่ที่สุด เขาทรมานเหลือเกิน
"ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่เหล่างูตัวผู้จะสมสู่กับตัวเมีย"
หลี่เย่หันขวับมามองนางทันที
"เจ้ารู้ได้เช่นไร?"
"ข้าอ่านเจอในตำรามาน่ะเจ้าค่ะ ดูแล้ว ท่านก็คงต้องการไม่น้อย"
"ข้าไม่ต้องการ ข้าเกิดมาเพื่อบำเพ็ญเพียรเป็นสัตว์เทพเพียงเท่านั้น"
"อ้อ"
"ออกไป!!!"
"เจ้าค่ะ"
มู่หลันฮวาทำทีเป็นเดินจากไป แต่เมื่อเขาเผลอนางก็หันหน้ากลับมา พุ่งเข้าไปหาเขาทันที มือเรียวสวยจับหมับเข้าไปที่แท่งเอ็นร้อนของเขาจนเต็มมือ หลี่เย่ถลึงตาเบิกโพลงจ้องมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา
"เป็นสัตว์เทพก็มีภรรยาได้นี่เจ้าคะ"
"เอ่อ..."
"ข้า..."
"นายท่านขอรับ แม่ทัพสวรรค์มาขอพบท่านขอรับ!!!"
หลี่ฮวาจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉย ยามนี้นางตามเฟิ่งจิ้งมาที่เผ่ามารด้วย เจียวฟางงูน้อยและเซียงเซียงปีศาจแมวก็คอยตามมารับใช้นางด้วยตามคำสั่งของหลี่เย่และมู่หลันฮวา จวนตระกูลมู่ถูกปิดตายเอาไว้เช่นนั้นไม่มีผู้ใดอยู่อีก นางคิดว่าไว้มีเวลาว่างนางจะกลับไปเยี่ยมจวนของท่านแม่เป็นครั้งคราวเผ่ามารเป็นสถานที่น่าเกรงขาม รอบบริเวณต่างปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนาสีดำ สถานที่แห่งนี้ดูแล้วช่างน่าอันตรายไม่น้อย สายตาของเหล่ามารที่มองนางก็ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรเสียเท่าไหร่เฟิ่งจิ้งแต่งงานกับนางแล้ว เขาพานางมายังเผ่ามารด้วยกัน แม้ภายนอกเขาจะดูเงียบขรึมแต่ทว่ายามที่อยู่กับนางเขาช่างร้อนแรงไม่เบา เขาพานางเดินมายังสถานที่แห่งหนึ่ง มันคล้ายกับเรือนพักของมนุษย์ แต่ดูจะใหญ่โตมากกว่า ภายในประดับตกแต่งด้วยหัวกะโหลกของมนุษย์มากมาย ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ถูกจองจำในครั้งนั้นเฟิ่งจิ้งก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าเขาจะไม่ทำร้ายมนุษย์บริสุทธิ์อีก นอกจากมนุษย์จิตใจต่ำช้าเพียงเท่านั้น น่าแปลกยิ่งนักการที่เขาได้กินหัวใจสด ๆ และกลืนกินพลังชีวิตของเหล่ามนุษย์จิตใจหยาบช้า พลังของเขากลับมีมากมายกว่าแต่ก่อนเสียอีก
เมื่อสารทฤดูมาเยือน (ฤดูใบไม้ร่วง) หลี่เว่ยต้องรีบกลับมาหาผู้เป็นมารดาอย่างรีบร้อน ด้วยเพราะได้รับข่าวแจ้งจากหลี่ฮวา ว่ามู่หลันฮวาใกล้หมดสิ้นลมหายใจสุดท้ายเต็มทีแล้ว นางสั่งเสียให้บุตรทั้งสองพานางขึ้นไปบนเจดีย์เหลยเฟิง มู่หลันฮวาจ้องมองไปที่เจดีย์สูงตระหง่านด้วยดวงตาที่พร่ามัว มือเหี่ยวย่นยื่นไปจับมือของบุตรทั้งสองมากอบกุมเอาไว้ "จงรักกัน พึ่งพากัน สายใยพี่น้องย่อมมิอาจตัดขาด"หลี่เว่ยและหลี่ฮวาพยักหน้าทั้งน้ำตา เขามิอยากสูญเสียมารดาไปเช่นนี้เลย แต่จะให้ทำเช่นไรได้เล่า มารดาของเขาเป็นมนุษย์ ย่อมมีวันหมดสิ้นอายุขัยเป็นเรื่องธรรมดาห้วงลมหายใจสุดท้าย ก่อนที่มู่หลันฮวาจะจากโลกนี้ไป ก็บังเกิดลำแสงสีขาวพวยพุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าลงมายังเจดีย์เหลยเฟิง ปรากฏร่างของหลี่เย่ที่ยามนี้ช่างงดงามสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก ท่อนล่างของเขาเป็นงู เกล็ดสีขาวนวลราวไข่มุกราตรีช่างงดงามเหลือเกิน หลี่เว่ยและหลี่ฮวาหันไปมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาเป็นประกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับหลี่เย่ท่านพ่อของเขามู่หลันฮวาใช้แรงเฮือกสุดท้ายยื่นฝ่ามือเหี่ยวย่นออกไปหาเขา หลี่เย่เองก็ยื่นมือออกไปรับมือของนางเอาไว้ แล้วจึงโน้มใบหน
มู่หลันฮวาจ้องมองหลี่เย่ที่ถูกจองจำเอาไว้ในเจดีย์เหลยเฟิงอีกครั้ง ก่อนที่นางจะกลั้นใจรวบรวมสติที่เหลืออยู่ พาตนเองกลับไปหาลูกน้อยที่ถ้ำบนหุบเขาเมื่อไปถึง นางก็ได้พบกับเจียวฟางและเซียงเซียงที่รออยู่หน้าถ้ำ พร้อมกับอุ้มบุตรทั้งสองของนางเอาไว้ มู่หลันฮวาพบกับท่านผู้เฒ่าจิ้งจอกอีกครา เขามองนางด้วยสายตาที่เป็นมิตรมากกว่าครั้งแรกอยู่มาก "คารวะท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ""อืม ช่างเถิด ข้ามาที่นี่เพื่อจะมาบอกเจ้าว่า ข้าจะมารับบุตรชายของเจ้ากลับไปยังเผ่าปีศาจของเรา"มู่หลันฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องท่านผู้เฒ่าจิ้งจอกเขม็ง จนเขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดที่มีสายตาอำมหิตเช่นนางมาก่อน "เอ่อ แม่นางเจ้าฟังข้าก่อน นี่เป็นความต้องการของหลี่เย่ เขาอยากให้บุตรชายได้เป็นราชาปีศาจเช่นเดียวกับเขา""ลูกข้ายังเด็กนัก!!!""เอาเถิด ข้ายังไม่รีบร้อนเสียหน่อย รอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย ข้าจะกลับมาถามเจ้าอีกครา วันนี้ข้าเพียงแวะมาเยี่ยมเยียนลูกหลานของเผ่าปีศาจเพียงเท่านั้น""ท่านไม่รังเกียจที่เขามีเลือดมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในร่างหรือเจ้าคะ""เหลวไหล!!! เขาเป็นปีศาจ เจ้าแหกตาดูสิ เขาเหมือนหลี่เย่ยิ่งนัก!!!
อวี้ฉือที่ตามหลี่เย่ออกมาด้วย เมื่อได้เห็นเขาคุกเข่าอ้อนวอนต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิตก็รู้สึกสงสารหลี่เย่เป็นอย่างมาก อวี้ฉือเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยขอความเห็นใจจากองค์เง็กเซียนฮ่องเต้แทนหลี่เย่ "ทูลองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ หลี่เย่ได้สำนึกผิดแล้ว ขอพระองค์ทรงเมตตาเขาสักคราด้วยเถิด อย่างน้อยเรายังจะได้ชุบชีวิตมนุษย์ผู้สืบสายเลือดบริสุทธิ์ให้กลับมามีชีวิตอีกครา นางอาจจะช่วยแดนสวรรค์ของเราได้ไม่มากก็น้อยพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เย่เงยหน้าไปมองอวี้ฉือด้วยแววตาที่เย็นชา ท้ายที่สุดแล้ว เผ่าสวรรค์ก็ยังคงต้องการเลือดของนางไปซ่อมแซมตาข่ายสวรรค์อยู่ดี เห็นแก่ตัวกันยิ่งนัก!!!องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดังกังวานน่าเกรงขาม "หลี่เย่!!! เช่นนั้นเจ้าจงนำหญ้าเซียนไปให้แก่นาง แล้วจงรีบกลับมาที่นี่ เตรียมรับโทษจากข้า!!!""เป็นพระกรุณายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เย่น้อมกายทำความเคารพต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้อย่างจำยอม เมื่อเขาตอบตกลงที่จะทำตามเงื่อนไข ท้องฟ้าพลันสว่างสดใส ประตูเจดีย์เหลยเฟิงจึงเปิดออก เผยให้เห็นหญ้าเซียนสีทองจำนวนมหาศาลที่ยืนต้น
เหล่าวิญญาณร้ายที่ถูกไห่ซือจับเป็นทาสรับใช้ รวมถึงเหล่าปีศาจและมารชั้นต่ำที่ไห่ซือจับพวกมันมาได้จากการหลุดลอดหนีออกมาจากตาข่ายสวรรค์ ต่างพุ่งทะยานเข้ามาหาหลี่เย่และเฟิ่งจิ้งทันที ควันสีดำทะมึนต่างพวยพุ่งเข้ามาอย่างมิขาดสาย หลี่เย่หาได้เกรงกลัวไม่ เขาพร้อมตั้งรับอย่างเต็มที่กรร!!!หลี่เย่กลายร่างเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่ ลำตัวของเขาใหญ่โตราวกับภูเขา ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมองไปที่ไห่ซือและเฉินเฟยด้วยความโกรธแค้น เกล็ดสีขาวนวลราวไข่มุกราตรีส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ สร้างความหวั่นเกรงต่อผู้ที่ได้พบเห็นไม่น้อย ฟ่อ!!!เพียงแค่เขาอ้าปากพ่นพิษไฟออกมา ร่างของเหล่ามารปีศาจชั้นต่ำและวิญญาณร้ายต่างแหลกสลายมอดไหม้กลายเป็นจุณ ไม่นานนักเหล่าข้ารับใช้ของไห่ซือก็ทยอยสลายกลายเป็นผุยผงไปเสียหมด ไห่ซือยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก เขาเปิดขวดน้ำเต้าทองออกมาอีกครั้ง ก็ปรากฏร่างของปีศาจงูสีดำขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงฉานของมันจ้องมองมาที่หลี่เย่ด้วยความดุดัน ลำตัวของมันมีขนาดใหญ่ไม่ต่างจากหลี่เย่ ไห่ซือที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ปีศาจงูตนนี้เขาจับมันมาได้ตอนที่มันหลบหนีจากตาข่ายสวรรค์เฝ้าดูแลและเลี้ยงดูมันมาหลา
มู่หลันฮวามิได้รู้สึกว่าตนเองมีอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารมากเท่าใดนัก นางยังคงใช้ชีวิตได้เช่นปกติทั่วไป อาจจะมีเหนื่อยล้าและง่วงนอนบ้างบางเวลา แต่ก็ถือว่าไม่ได้อ่อนแอมากเท่าใดนักตรงกันข้ามนางกลับต้องการดื่มเลือดสด ๆ บ้างในบางครั้งก็เท่านั้นมู่หลัวแม้จะยังรู้สึกแปลกใจและสงสัยว่ามู่หลันฮวาจับงูมาทำสามีได้เช่นไร แต่เขายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว และไม่อยากทำให้บุตรสาวของตนเองลำบากใจ จึงหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถามนางไปเสียท้องของมู่หลันฮวาในยามนี้ใหญ่โตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คงเพราะบุตรในครรภ์มีเลือดของปีศาจอยู่ครึ่งหนึ่งจึงทำให้เจริญเติบโตรวดเร็วกว่าทารกในครรภ์ปกติทั่วไป หลี่เย่พานางมาหลบซ่อนอยู่ในถ้ำตามคำแนะนำของมู่หลัว ด้วยเกรงว่าจะมีชาวบ้านล่วงรู้เข้า และหลี่เย่กับมู่หลันฮวาจะพบเจอกับความลำบากมู่หลันฮวารู้สึกว่าภายในถ้ำค่อนข้างอบอ้าวมากกว่าปกติ นางจึงให้หลี่เย่พาออกมาเดินเล่นที่ด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์"หลี่เย่!!! เจ้าคิดแหกกฎเผ่าปีศาจหรือ!!!"เสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้มู่หลันฮวาและหลี่เย่ต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับผู้เฒ่าชราที่มีผมสีขาวโพลน หนวดเครายาวเป็นสีขาวขับให้บนใบหน้าของเขาดูน