บทที่ 7 ตำราคุณธรรมหญิง
หลี่เยี่ยนเฉินละสายตาจากรถม้าของฟางเมี่ยว ก่อนจะมุ่งหน้ากลับจวนของตน เดิมทีที่เขามีเวลาออกมาดูนางได้นั้น เป็นเพราะต้องรอให้ฝ่าบาททรงเรียกตัวเข้าวังหลวง แม้จะมีความดีความชอบ แต่ยามนี้เป็นเวลาที่ฮ่องเต้และชินอ๋องผู้เป็นหลานชายต้องการสนทนาเรื่องราวบางอย่างกันตามลำพัง และให้เขาและท่านพ่อได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนเข้าเฝ้าในเช้าวันพรุ่งนี้
เมื่อกลับมาถึงจวน เขาก็พบว่ายามนี้ท่านแม่กำลังปรนนิบัติดูแลท่านพ่อเป็นอย่างดี ออกรบครานี้ครอบครัวไม่อยู่พร้อมหน้ากันเป็นเวลาร่วมหนึ่งปี เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูล เป็นที่รักของท่านพ่อท่านแม่อย่างมาก
หลี่เย่ แม่ทัพใหญ่กำลังมองบุตรชายของตนคราหนึ่ง ก่อนที่หลี่ฮูหยินที่เห็นว่าบุตรชายของตนกลับมาถึงจวนแล้วก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง
"เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว"
"ท่านแม่"
"เหนื่อยหรือไม่ แม่สั่งให้เหล่าสาวใช้ทำอาหารมารอเจ้าแล้ว"
"ขอบคุณท่านแม่มากขอรับ"
"รีบไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด แล้วรีบมากินอาหาร"
"ขอรับ"
หลี่เยี่ยนเฉินพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องนอนของตน แล้วจึงจัดการให้ตงหยาง บ่าวรับใช้คนสนิท นำน้ำร้อนมาผสมให้เขาอาบ หลี่เยี่ยนเฉินทิ้งกายลงไปนอนแช่ในอ่างน้ำ ก่อนจะหลับตาลงพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
ปีนี้เขามีอายุครบยี่สิบปีเต็มแล้ว ตั้งแต่อายุสิบขวบเขาก็ตามท่านพ่อไปที่ค่ายทหาร จวบจนอายุได้สิบสองปีท่านพ่อก็เริ่มสอนการต่อสู้รวมถึงวรยุทธ์ให้เขา เขาเป็นคนที่หัวไวและมีพรสวรรค์ด้านการรบ จนกระทั่งอายุสิบหกปีเขาก็ได้เข้ากองทัพตามที่หวังไว้ ได้ติดตามท่านพ่อออกรบปราบปรามเหล่ากบฏจนถึงทุกวันนี้
แต่ทว่าน่าเสียดายชาติที่แล้ว เขาเดินทางผิด!!
เขาหลงรักสตรีใจอำมหิตผู้นั้น นางกดศีรษะเขาให้ศิโรราบแทบเท้านาง เขาในยามนั้นยังไร้เดียงสานัก หลงรักนางมาตั้งแต่วัยเยาว์เนื่องจากทั้งสองตระกูลเป็นสหายสนิทกัน แต่ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ต้องตายเพราะนางเป็นต้นเหตุ
หลี่เยี่ยนเฉินส่งเสียงเฮอะในลำคอ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวเมื่อเก่าก่อน
ยามนั้นเขาอายุสิบสองปี ส่วนฟางเมี่ยวอายุแปดขวบปี
"เมี่ยวเอ๋อร์ พี่นำขนมมาให้เจ้า"
"พี่อันใดกัน ข้าไม่นับญาติกับเจ้าหรอก ข้าจะเรียกเจ้าว่าหลี่เยี่ยนเฉิน เรามาเป็นสหายสนิทกันเถิด"
"ก็ได้ เมี่ยวเอ๋อร์อยากให้พี่ เอ่อ อยากให้ข้าเป็นอันใด ข้าเป็นได้หมดเพื่อเจ้า"
"เจ้าสัญญาแล้วนะ"
"ข้าสัญญา"
นับแต่นั้นมา สตรีนามว่าฟางเมี่ยวก็กุมพื้นที่ในหัวใจของเขาทั้งหมด เป็นทุกสิ่งในชีวิตเขา แม้กระทั่งชีวิตเขาก็ยินยอมมอบให้นางได้ แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นางจะทั้งกดขี่เอาเปรียบ ไม่เคยเห็นถึงความรักที่เขามอบให้ หลอกใช้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากตำหนินางเลยสักครา
เขาเร่งส่งจดหมายให้นาง แจ้งข่าวว่าเขาใกล้จะกลับถึงเมืองหลวงแล้ว
นางมารอจริง ๆ แต่ทว่าไม่ได้เต็มใจมารอรับเขา ยามที่ขบวนทหารของแคว้นต้าอู๋เคลื่อนพลกลับเข้าเมืองหลวง นั่นคือวันที่เขาไม่อาจได้ใจนางอีกชั่วชีวิต
นางตกหลุมรักชินอ๋องเย่จิ้นหยางอย่างหมดหัวใจ ยอมแม้กระทั่งจะเป็นชายารอง ใช้แผนการสารพัดไม่เลือกวิธีการ ไม่ว่าจะมีวิธีการต่ำช้าเช่นไรนางก็สรรหามาใช้ ไม่เว้นแม้กระทั่งจางเสวี่ยฮุ่ยที่อ่อนแอบอบบาง ก็ถูกนางวางยาจนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
ชินอ๋องพิโรธจึงสั่งโบยนางปางตาย แต่ฟางเมี่ยวกลับไม่สำนึก นางวางยาปลุกกำหนัดท่านอ๋องจนได้เป็นภรรยาของเขาในคืนวันหนึ่ง จากนั้นนางก็วางตนข่มผู้อื่น สร้างเรื่องสารพัด แม้กระทั่งคิดวางแผนจะสังหารจางเสวี่ยฮุ่ย
ท้ายที่สุดนางก็พบจุดจบที่น่าอนาถ ถูกนักฆ่าจากแคว้นศัตรูใช้ธนูยิงตกหน้าผาจนตาย!!
แต่ทว่านางไม่ได้ตายคนเดียว ยังมีเขาที่ตายไปกับนางด้วย!
คมดาบในวันนั้นเขายังจำได้ติดตา น่าเสียดายที่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าหลังจากนั้นเรื่องราวเป็นเช่นไรต่อไป
แต่สวรรค์ยังนับว่ามีเมตตากับเขามากนัก เขาได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในยามที่ตนเองเพิ่งจะมีความดีความชอบและกำลังจะได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพแห่งแคว้นต้าอู๋
นับจากนี้ไปเขาจะตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี ไม่หลงรักสตรีนามว่าฟางเมี่ยวผู้นั้นอีก เขาจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม เขาจะต้องปกป้องบ้านเมือง ปราบปรามเหล่ากบฏให้มันสิ้นซากให้จงได้ ชีวิตนี้เขาจะอยู่ที่ค่ายทหารจนวันตาย!!!
ฟางเมี่ยว!! ข้ากับเจ้า ขอให้จบเพียงชาติก่อนเถิด อย่าได้สร้างความผูกพันต่อกันในชาตินี้อีกเลย!!!
..........................
รถม้าของฟางเมี่ยวหยุดที่หน้าร้านตำราร้านหนึ่ง นางยื่นมือไปให้ลู่ชิงประคองลงจากรถม้า ก่อนจะเดินตรงไปในร้านตำรานั้นทันที พลางมองหา ตำราคุณธรรมหญิงไปทั่วทุกชั้นหนังสือ
"แม่นาง ต้องการบทละครงิ้วหรือไม่ วันนี้มีบทละครออกใหม่หนึ่งเล่ม กำลังเป็นที่นิยมเชียวแหละ"
ฟางเมี่ยวปรายตามองเถ้าแก่ร้านผู้นั้นคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ข้าต้องการตำราคุณธรรมหญิงและตำราอาหาร"
เถ้าแก่ร้านมองฟางเมี่ยวอย่างตกใจคราหนึ่ง เขาจำนางได้ สตรีน้อยนางนี้แต่ละคราที่มาร้านของเขา บทละครงิ้วออกใหม่นางล้วนซื้อไปจนหมด หรือไม่ก็ตำราการหมักสุรา บทความเรื่องการพนันนั้นดีไฉน
แต่เหตุใดวันนี้จึงมาถามหาตำราคุณธรรมหญิงกันเล่า!!!
หรือว่าเสียพนันจนสติเลอะเลือน?
หรือไม่ก็เมาสุรายังไม่สร่าง แต่ทว่าตั้งแต่นางเดินเข้ามาเขายังไม่ได้กลิ่นสุราจากกายนางโชยมาเลยแม้แต่น้อย ทุกคราที่มานางจะต้องเมาโซเซเข้าร้าน เขาหลอกเงินนางมาได้ตั้งหลายอีแปะ นางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
"จะมองอีกนานหรือไม่?"
"เอ่อ มีสิแม่นาง ข้าจะนำมาให้แม่นาง"
ฟางเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง ไม่นานเถ้าแก่ร้านผู้นั้นก็นำตำราที่นางต้องการมามอบให้ ฟางเมี่ยวจำเถ้าแก่ผู้นี้ได้ดี และยังจำที่นางเมาไม่เป็นผู้เป็นคนเดินเข้าร้าน พร้อมกับจ่ายเงินค่าตำราให้คนที่เข้ามาซื้อทั้งหมดอีกด้วย
น่าขายหน้าจริงเชียว!!!
"นี่คือตำราที่แม่นางต้องการ"
"ลู่ชิงจ่ายเงิน"
ลู่ชิงพยักหน้าก่อนจะล้วงเงินหนึ่งตำลึงส่งให้เถ้าแก่ร้าน เขารับไปก่อนจะยิ้ม ฟางเมี่ยวที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
"เงินทอนข้าเล่า ต้องทอนข้าสองอีแปะมิใช่หรือ?"
"อ้อๆ รอสักครู่"
ฟางเมี่ยวเบ้ปากคราหนึ่ง เชอะ!! เงินตั้งสองอีแปะนางจะไม่ยอมขาดทุนหรอก
ด้านเถ้าแก่ร้านก็ลอบด่าทอนางในใจเช่นเดียวกัน
งกเสียจริง!! สองอีแปะก็ยังจะทวง
ในขณะที่นางกำลังรอเถ้าแก่ร้านห่อตำราให้ นางก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างดูแคลน
"ตายจริง!! วันนี้คุณหนูฟางมาซื้อตำราคุณธรรมหญิงด้วยหรือ พวกเจ้าดูสิ วันนี้นางไม่เมาด้วย ตายแล้ว ข้าคิดว่านางจะมาซื้อบทละครงิ้วประโลมโลกเช่นทุกวันเสียอีก"
ฟางเมี่ยวยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้สตรีน้อยนางนั้น
สตรีนางนั้นมีใบหน้างดงามไม่น้อย แต่ทว่ากลับมีนิสัยริษยา นางมีนามว่าหลิวจือ เป็นบุตรสาวคนโตของจวนตระกูลหลิว บิดาของนางเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ คอยจัดงานพิธีต่างๆ ในวังหลวง ไม่ได้มีอำนาจใดมากนัก แต่ก็พอจะมีหน้ามีตาในสังคมขุนนางชนชั้นสูงอยู่บ้าง
ฟางเมี่ยวสั่งให้ลู่ชิงรับห่อตำรามาถือเอาไว้ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลิวจือ
"ไม่ได้เจอกันเพียงไม่นาน ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูหลิวจะเลี้ยงสุนัขเอาไว้ในปากด้วย หากเจ้ามีเวลาก็ไปให้ท่านหมอมาช่วยนำสุนัขออกจากปากเจ้าบ้างเถิด อย่าได้ไปเอ่ยวาจาเหม็นเน่าที่อื่นจนนำภัยมาสู่ตัวเลย ข้าน่ะสงสารบิดาเจ้ายิ่งนัก ที่มีบุตรสาวเช่นเจ้า"
"ฟางเมี่ยว!!!"
"เข้ามาสิ หากอยากถูกข้าถีบกระเด็นลอยออกไปนอกร้านตำราจนขายหน้าผู้คนไปทั่ว"
ฟางเมี่ยวเอ่ยพร้อมกับยิ้มตาหยี หลิวจือพอจะรู้เรื่องราวของฟางเมี่ยวมาไม่น้อย สตรีผู้นี้ไร้สมอง ป่าเถื่อน ชอบใช้กำลัง ถือว่าตระกูลตนมีความดีความชอบจึงเหิมเกริมไม่เห็นหัวผู้ใด
"ฝากไว้ก่อนเถิด"
หลิวจือเอ่ยอย่างไม่พอใจ ฟางเมี่ยวเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ไม่รับฝาก ข้าไม่ชอบรับฝากของสกปรก"
"ฟางเมี่ยว!!!"
ฟางเมี่ยวคร้านจะสนใจหลิวจืออีก นางจึงมุ่งหน้ากลับจวนของตนไปทันที
เมื่อมาถึงนางก็จัดการอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ และมานั่งรับสำรับยามเย็น เหล่าสาวใช้ที่มาปรนนิบัตินางพลางก้มหน้างุดไม่กล้ามีปากมีเสียง เพียงนางเงยหน้าขึ้นเหล่าสาวใช้ก็ตัวสั่นเทาเสียแล้ว
ฟางเมี่ยวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นี่นางดูเป็นสตรีที่คล้ายกับปีศาจถึงเพียงนี้เชียวหรือให้ตายเถิด
“พวกเจ้าออกไปเถิด เหลือเพียงลู่ชิงเอาไว้ปรนนิบัติข้าก็พอ”
เหล่าสาวใช้พยักหน้ารับก่อนจะออกไปทันที ลู่ชิงที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นมา
“ดูพวกนางสิเจ้าคะ มือเท้าห่าง ทำท่าทางหวาดกลัวราวกับคุณหนูเป็นผีเป็นสาง เอ๊ะ หรือว่าคุณหนูแต่งหน้าน้อยไป ดูซีดราวกับผี...”
“ลู่ชิง ข้าว่าข้าคงตามใจเจ้ามากไปเสียแล้ว”
“คุณหนู บ่าวหวังดีนะเจ้าคะ”
“เก็บความหวังดีของเจ้าเอาไว้เถิด ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าหวังดีบ่อยนัก หากข้าซาบซึ้งใจกับความหวังดีของเจ้าขึ้นมา เจ้าอาจจะเจ็บตัวเอาได้”
“เจ้าค่ะ งื้อ คุณหนูคนงามของบ่าว”
ฟางเมี่ยวเหนื่อยแล้ว วันนี้นางเที่ยวเล่นมาทั้งวันแล้ว รู้สึกอยากนอนพักยิ่งนัก นางจึงทิ้งกายลงบนเตียงทันที
"ลู่ชิง เอาตำราคุณธรรมหญิงมาให้ข้า"
"นี่เจ้าค่ะ"
"เจ้าออกไปเถิด เฝ้าหน้าห้องเอาไว้ ห้ามให้ผู้ใดมารบกวนข้า"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
เมื่อลู่ชิงออกไปแล้ว ฟางเมี่ยวจึงหยิบตำราคุณธรรมหญิงมาเปิดอ่านทีละหน้า
แต่เดิมนางไม่เคยสนใจตำราเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
สามคล้อยตาม
หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบิดา
แต่งงานแล้วก็ต้องเชื่อฟังคำสามี
หากสามีตายต้องเชื่อฟังบุตรชาย
สี่คุณธรรม
ต้องมีคุณธรรมดี ดำรงอยู่ในกรอบที่ควร กิริยามารยาทเพียบพร้อม
มีมธุรสวาจา (พูดจาอ่อนน้อม อ่อนหวาน สัตย์ซื่อ ไม่เล่นลิ้น)
รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน
การบ้านการเรือนไม่ขาด
สตรีที่ดีงามควรค่าแก่การเป็นภรรยา ต้องมีคุณธรรม...
ฟางเมี่ยวปิดตำราเล่มนั้นทันที ยิ่งอ่านนางยิ่งรู้สึกว่าปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ให้ตายเถิด!!! ในบรรดาข้อที่อ่านมานี้ นางมีแค่ความงามเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอันใดเลยสักอย่าง
นางทั้งเจ้าเล่ห์ เอาเปรียบคน ชอบกลั่นแกล้งจอมวางแผน ชอบยั่วยวนบุรุษให้หลงใหลในรูปกายภายนอกของนาง
การเป็นคนดีทำไมมันยากเช่นนี้นะ!!!
ฟางเมี่ยวโยนตำราคุณธรรมหญิงลงไปที่พื้น ก่อนจะหลับตาลง
ค่อยเป็นเถิดคนดี ข้าขอนอนก่อน!!!
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื