บทที่ 6 พบกันอีกครา
ฟางเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้เห็นท่าทีที่ต่างไปจากเดิมของหลี่เยี่ยนเฉิน แววตาของเขาที่มองนางดูคล้ายไม่เหมือนเดิม ทุกคราที่ได้พบกัน แววตาของเขาช่างกระจ่างใสและบริสุทธิ์ เป็นแววตาของเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสา มีทั้งความอบอุ่นและอ่อนโยนมอบให้แก่นาง
แต่เหตุใดครั้งนี้นางจึงรู้สึกว่าแววตาของเขาดูเย็นชาและตัดพ้อนางในคราเดียวกัน
แต่ทว่าเมื่อหันไปมองอีกคราก็พบว่าหลี่เยี่ยนเฉินได้จากไปพร้อมกับขบวนกองทัพแล้ว เขาไม่แม้แต่จะส่งยิ้มทักทายให้นางเลยแม้แต่น้อย
ฟางเมี่ยวคร้านจะคิดสิ่งใดให้มากความอีก บางทีหลี่เยี่ยนเฉินอาจจะเดินทางเหนื่อยจึงไม่มีเวลาทักทายนาง หรือบางคราการเดินทางกลับอาจจะต้องรีบเร่งตามคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจึงไม่มีเวลาส่งจดหมายมาบอกนาง แค่นางต้องสะสางเรื่องในจวนก็เหนื่อยมากพอแล้ว นางไม่มีเวลามาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก
เอาเถิด อย่างไรเขากับนางย่อมต้องได้พบเจอกันอีกเป็นแน่
ฟางเมี่ยวหยิบผ้าที่วางอยู่ขึ้นมาเช็ดมือ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง นางกวาดสายตามองไปโดยรอบคราหนึ่ง ยามนี้โรงน้ำชาค่อนข้างคึกคักไม่น้อยแล้ว ผู้คนต่างแวะเวียนเข้ามาลองชิมชาชั้นดีและขนมเลิศรสที่โรงน้ำชาของนาง
นับว่าตระกูลของท่านแม่วางรากฐานการค้าเอาไว้ได้ดีไม่น้อย ทำเลที่ตั้งก็จัดว่าอยู่ในสถานที่ที่ดีมาก
"ลู่ชิง กลับจวน ข้าง่วงแล้ว"
"เอ่อ คุณหนูเจ้าคะ คือว่า..."
"มีอันใด"
ฟางเมี่ยวหันไปมองลู่ชิงคราหนึ่งด้วยความสงสัย ลู่ชิงยิ้มตาหยีก่อนจะเอ่ย
"คือว่า คุณหนูไม่แวะไปดื่มสุราที่หอสุราเฉียวเป่าก่อนหรือเจ้าคะ เสร็จแล้วก็ไปเล่นไพ่นกกระจอกที่โรงพนันดีหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่ามือจะขึ้น"
เมื่อได้ยินลู่ชิงเอ่ยเช่นนั้น ฟางเมี่ยวก็จำขึ้นมาได้ในทันที
นางในชาติก่อน นอกจากจะวิ่งตามยั่วยวนเย่จิ้นหยางอย่างบ้าคลั่งแล้ว นางยังขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีที่เข้าออกโรงพนันเป็นว่าเล่น อีกทั้งยังติดสุราจนมือสั่น วันใดไม่ได้ดื่มก็จะทุรนทุรายทุบตีบ่าวไพร่ทำลายข้าวของในจวน
และนางยังจำได้ดีว่าอนุซางเอ่ยกับนางเช่นไร
"เร็วเข้า รีบไปนำสุรามาให้คุณหนู เอามาเยอะๆ อย่าให้คุณหนูต้องโมโห มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะถูกสั่งโบย!!!"
ฟางเมี่ยวแค่นเสียงเหอะในลำคอ บัดซบจริงๆ นอกจากไม่พานางไปรักษาแล้วยังเพิ่มสุราที่มีรสชาติแรงให้นางขึ้นเรื่อยๆ ใจคอต้องอำมหิตเพียงใดถึงได้สั่งสอนให้เด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปีติดสุราจนเมามายเช่นนั้น อนุซางนี่น่าจะฆ่าให้ตายไม่น่าลงโทษเพียงไล่นางออกไป
จะว่าไปก็รู้สึกหิวเหล้าขึ้นมาบ้างไม่น้อยแล้ว!!!
ถุยๆๆๆ ชาตินี้ข้าจะต้องเป็นคนดีสิ โชคดีที่ชาตินี้นางยังไม่ได้ติดสุราถึงขั้นขาดมันไม่ได้ ร่างกายจึงไม่ได้ทรมานเช่นชาติก่อนอีกยามที่ไม่ได้ดื่ม
"ลู่ชิง"
"เจ้าคะ"
"หากเจ้าเอ่ยถึงโรงสุราและโรงพนันข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสีย"
"บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ"
ลู่ชิงหวาดกลัวไม่น้อย ในใจพลางคิดว่าระยะนี้คุณหนูของนางดูแปลกไปไม่น้อยเลย
"กลับจวน"
ฟางเมี่ยวคลี่พัดสีขาวขึ้นมาพัดให้ตนเอง ก่อนจะเดินลงมาชั้นล่างของโรงน้ำชา เมื่อกำลังจะเดินออกมาที่หน้าประตู นางก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่งเข้า
สตรีนางนั้นที่นางเคยวางแผนกลั่นแกล้งสารพัด เพียงเพราะความริษยา
จางเสวี่ยฮุ่ย!
"ท่านอ๋อง!! ทรงทำเช่นนี้จะไม่ดูโหดร้ายไปหน่อยหรือเพคะ"
ภาพในวันนั้นทำให้ฟางเมี่ยวเริ่มหายใจติดขัด ร่างกายโงนเงน จนลู่ชิงต้องช่วยประคอง จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้เห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกใจไม่น้อย ใบหน้าซีดเซียวแต่ทว่างดงามของนางช่างดูน่าทะนุถนอมเป็นอย่างมาก นางเดินเข้ามาช่วยประคองฟางเมี่ยวเอาไว้ พลางเอ่ยอย่างเป็นมิตร
"แม่นาง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?"
เสียงที่คุ้นเคยทำให้ฟางเมี่ยวได้สติกลับคืนมา ก่อนจะหันไปมองจางเสวี่ยฮุ่ยที่ยามนี้กำลังมองนางด้วยความห่วงใย
ใบหน้าของจางเสวี่ยฮุ่ยคล้ายคมมีดที่กรีดลึกลงมาที่กลางใจของฟางเมี่ยว ชาติก่อนนางชั่วช้าเหลือเกิน ถึงขนาดกล้าแย่งสามีและรังแกจางเสวี่ยฮุ่ยสารพัด แต่จางเสวี่ยฮุ่ยกลับไม่เคยโต้ตอบนางเลย จางเสวี่ยฮุ่ยไม่ได้ทำผิด เป็นนางที่เดินเข้าหาความตายเอง นางเลือกทางเดินที่ผิดเอง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับจางเสวี่ยฮุ่ยด้วยน้ำเสียงที่ประหม่าเล็กน้อย
"ข้าไม่เป็นอันใด ขอบคุณแม่นางมาก"
"แน่ใจหรือ ใบหน้าของเจ้าดูซีดเซียวไม่น้อย อ้อ ข้ามียาบำรุงอยู่หนึ่งห่อ บังเอิญได้มาจากท่านหมอน่ะ ข้ากินแล้วดีมาก แม่นางรับเอาไว้เถอะ"
"เอ่อ..."
"รับไว้เถอะ"
"ขอบใจเจ้ามากนะ"
จางเสวี่ยฮุ่ยยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
"ไม่เป็นอันใด ข้าชื่อจางเสวี่ยฮุ่ยนะ เป็นบุตรสาวจวนราชครู เจ้าเล่า"
ฟางเมี่ยวกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ข้าชื่อฟางเมี่ยว บุตรสาวจวนตระกูลฟาง"
"อ้อ"
ฟางเมี่ยวยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลู่ชิง
"ไปบอกผู้ดูแลร้านว่าให้นำใบชาชั้นดีมามอบให้คุณหนูจางด้วย"
"เจ้าค่ะ"
จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบส่ายหน้าไปมาทันที ฟางเมี่ยวยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะรับห่อใบชามายัดใส่มือให้จางเสวี่ยฮุ่ย
"แลกกันอย่างไรเล่า ข้ารับของของเจ้ามามือเปล่าไม่ได้หรอกนะ"
"เช่นนั้นก็ได้"
จางเสวี่ยฮุ่ยรับใบชาชั้นดีไปถือเอาไว้ ฟางเมี่ยวปรายตามองข้อมือของจางเสวี่ยฮุ่ยคราหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจางเสวี่ยฮุ่ยจะผอมบางถึงเพียงนี้ แขนของสตรีนางนี้แทบจะหักได้อยู่แล้ว ราวกับว่านางไม่ได้กินอิ่มอย่างไรอย่างนั้น
"พี่ใหญ่ ชักช้าอยู่ไยกัน ข้ารอนานแล้วนะ ไหนเล่าใบชาของท่านแม่ข้าน่ะ!!!"
"อ้อ ข้ากำลังจะไปซื้อ"
"แล้วที่อยู่ในมือท่านนั่นคือสิ่งใด อ้อ นี่ท่านคิดจะแอบเก็บใบชาชั้นดีเอาไว้ต้มดื่มคนเดียวใช่หรือไม่ คอยดูเถิด ข้าจะฟ้องท่านพ่อให้ลงโทษท่าน!!!"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไม่ใช่ เอ่อ ฟางเมี่ยว ข้าไปก่อนนะ ขอโทษเจ้าด้วย"
"อืม"
จางเสวี่ยฮุ่ยลนลานจากไป ฟางเมี่ยวมองตามนางจนลับสายตา ก่อนจะครุ่นคิด
ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่แล้ว นางพอจะเดาออกแล้วว่าเหตุใดจางเสวี่ยฮุ่ยจึงดูผอมบางราวกับคนไม่ได้กินอิ่มเช่นนั้น
นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เรื่องของผู้อื่นอย่าไปใส่ใจเลย อย่างไรนางกับจางเสวี่ยฮุ่ยย่อมไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ยามนี้จางเสวี่ยฮุ่ยยังคงเป็นสาวน้อยไม่ได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาสินะ แต่ทว่าอีกไม่นานจางเสวี่ยฮุ่ยย่อมต้องได้แต่งงานกับเย่จิ้นหยางอย่างแน่นอน ส่วนนางก็จะต้องแต่งกับหลี่เยี่ยนเฉินให้ได้ นางจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมอีก
ยามนี้นางเริ่มจะปล่อยวางเรื่องในกาลก่อนได้บ้างแล้ว นางจะไม่เป็นชายารองหรืออนุของผู้ใด นางจะไม่แย่งสามีของผู้ใด นางจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าชาติก่อนให้ได้!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงหันไปเอ่ยกับลู่ชิงทันที
"กลับจวนกันเถิด"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
"อ้อ ระหว่างทางแวะร้านตำราให้ข้าด้วย"
"คุณหนูจะซื้อบทละครงิ้วมาอ่านหรือเจ้าคะ?"
"ไม่ ข้าอยากได้ตำราคุณธรรมหญิงและตำราอาหารมาอ่าน"
"หา!!! คุณหนูอ่านรู้เรื่องหรือเจ้าคะ!!"
"หากถามอีก ข้าจะตบเจ้าจนฟันหน้าเจ้าหลุดแน่นอน!!!"
ฟางเมี่ยวรีบก้าวเดินขึ้นรถม้า ก่อนจะตรงไปร้านตำราในทันที
หลี่เยี่ยนเฉินที่ยืนหลบอยู่ในมุมหนึ่งไม่ไกลมากนัก เขามองตามรถม้าของฟางเมี่ยวไปจนลับสายตา ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
เขาเห็นทั้งหมด เมื่อครู่ฟางเมี่ยวสนทนากับจางเสวี่ยฮุ่ยที่ยามนี้ยังเป็นเพียงบุตรสาวจากจวนราชครู ไม่ใช่พระชายาเอกจวนชินอ๋อง
ฟางเมี่ยวมีท่าทีเป็นมิตรกับจางเสวี่ยฮุ่ยอย่างยิ่ง นี่เขาตาฝาดไปหรือไม่ อีกทั้งนางยังไม่ได้ทาแป้งผัดหน้าจนหนาราวกับนางเอกงิ้วอีกด้วย
เหตุใดการที่เขาย้อนกลับมาเกิดใหม่ครานี้ทุกอย่างจึงดูผิดแปลกไปหลายอย่างกันเล่า
หรือว่าที่ฟางเมี่ยวทำดีกับจางเสวี่ยฮุ่ยเพราะมีแผนการชั่วช้าอยู่ในใจ!!!
ไม่ได้การเขาจะต้องจับตาดูนางเอาไว้
ว่าแต่เมื่อครู่เขาได้ยินนางเอ่ยว่าจะไปร้านตำราอย่างนั้นหรือ?
นางไม่ไปหอสุราแล้วหรือ?
นางจะไม่ลงแดงเอาหรือ?
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื