พอเห็นเสี่ยวหู่ขึ้นมาอยู่บนรถม้าแล้ว ก็ร้องสั่งให้ม้าทั้งสองตัววิ่งกลับไปที่หมู่บ้านด้วยตัวมันเอง“เสี่ยวหู่ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” หว่านหนิงหันมาสนใจเสี่ยวหู่ที่ยามนี้มันกำลังเลียเท้าเลียขนทำความสะอาดรอยเลือดอยู่“ไม่ขอรับ แต่เลือดของพวกมันเหม็นคาวยิ่งนัก” เสี่ยวหู่เบ้ปากออกอย่างรังเกียจ“ขอบใจเจ้ามาก” นางอุ้มเสี่ยวหู่เข้ามากอดไว้แน่น พร้อมทั้งมองไปที่ฮวาเตี๋ยและเซียงเซียงอย่างซึ้งใจหากไม่มีทั้งสามอยู่กับนาง ไม่รู้ว่าตอนนี้นางและหลี่เฉียงจะยังมีชีวิตรอดไปได้หรือไม่“อาเฉียง ท่านคิดว่าผู้ใดส่งคนร้ายมา”“หึ เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกรึ” แววตาของเขาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนไม่คิดว่านางสุ่ยซื่อจะไม่ปล่อยทั้งสองคนไปง่ายๆ เช่นนี้ สิ่งที่หลี่เฉียงคิดไม่ผิดสักนิด เป็นนางสุ่ยซื่อที่สั่งให้สาวใช้ของตนออกไปจัดการจ้างมือสังหารให้ไปจัดการทั้งสองคนนางจะยอมเจ็บตัวโดยไม่ได้แก้แค้นได้อย่างไร แผลที่ปากของนางฉีกไม่น้อย ท่านหมอที่เมืองซานตงทำได้เพียงรักษาไปตามอาการเท่านั้น หานเจิ้งจึงต้องพามารดาของตนเดินทางกลับเมืองหลวงทันที นายท่านหานก็ต้องเดินทางกลับไปพร้อมกันด้วยเลย แต่เขายังฝากนายท่านจ้าวใ
นายท่านหานได้แต่ขมวดคิ้ว มองนางอย่างไม่พอใจ เขาเพิ่งจะได้รู้วันนี้ว่านางวางแผนลึกล้ำกับบุตรชายคนโตของเขาเช่นไร ส่วนเรื่องตระกูลซูของหว่านหนิงเขาไม่เคยได้ยินเช่นที่นางพูดมาก่อนหว่านหนิงกำมือแน่นอย่างแค้นใจ นางลืมไปเลยว่าเจ้าของร่างยังมีบิดามารดาและน้องชายอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นที่นางสุ่ยซื่อพูดจริงหรือไม่“อาเจิ้ง พามารดาเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!!!”“ท่านพี่ ท่านจะทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร คนที่ท่านต้องสนใจตอนนี้มีเพียงแค่ข้ากับอาเจิ้ง บุตรชายที่ไร้ค่าของท่านที่ท่านตัดขาดแล้วจะนับเป็นอันใดได้ โอ๊ยยย”ทุกคนในห้องตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่คิดว่าเสี่ยวหู่ที่อยู่บนโต๊ะจะกระโดดเข้าใช้กรงเล็บของมันตะครุบไปที่ปากของนางสุ่ยซื่อจนเป็นเพราะฉกรรจ์ไม่น้อยเสียงกรีดร้องของนางสุ่ยซื่อดังไปทั่วห้อง พร้อมทั้งเสียงด่าทอที่นางพยายามพูดออกมาอย่างอยากลำบากที่หว่านหนิงนางจับใจความได้ คือนางร้องสั่งให้คนจับตัวเสี่ยวหู่ไว้ เพื่อฆ่ามันให้นาง“ท่านพูดมากเกินไป แม้แต่เสี่ยวหู่ของข้าก็มิอาจทนฟังได้” หว่านหนิงอุ้มเสี่ยวหู่ที่เชิดหน้าอยู่ที่พื้นขึ้นมากอดไว้อย่างหวงแหน“ท่านแน่ใจรึ ว่าจะฆ่าเสี่ยวหู่” หลี่เฉีย
ท่านเจ้าเมืองก็เข้าร่วมงานวันนี้เช่นกัน พอได้เห็นภาพฉากกั้นมารดาป้อนข้าวบุตร เขาก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที เหมือนว่าผู้ที่ปักภาพนี้ ปักขึ้นมาเพื่อเขาและมารดาโดยเฉพาะรอยยิ้มของมารดายามที่ป้อนข้าวบุตร ชามข้าวที่อยู่ในมือที่มีแต่เมล็ดข้าวจนล้นชาม ชั่งแตกต่างกับชามของมารดาที่อยู่บนโต๊ะอาหาร ท่านเจ้าเมืองหวนให้คิดไปถึงความลำบากเมื่อยามที่เขาเป็นเด็ก มารดาของตนก็เป็นเช่นเดียวกับสตรีที่อยู่ในรูปภาพ“เสด็จพี่ ข้าอยากได้” เยี่ยนซูหนี่นางร้องบอกองค์ชายสามแต่หว่านหนิงนางก็ร้องขัดขึ้นมาเสียก่อน“องค์หญิงสี่ ภาพนี้เดิมทีก็ทำขึ้นมาเพื่อท่านเจ้าเมือง ในวันครอบรอบวันเกิดของมารดาท่านเจ้าเมืองเพคะ แต่ฮูหยินจ้าวนางอยากจะอวดให้ผู้อื่นได้เห็นถึงงานปักที่มาจากร้านของนาง หากพระองค์อยากได้ ไว้หม่อมฉันจะปักให้พระองค์เพคะ”หว่านหนิงนางอยากให้ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ที่ได้ไป หากองค์ชายสามและองค์หญิงสี่ไม่ประมูลแข่ง ท่านเจ้าเมืองก็มีสิทธิ์ที่จะได้ไปครอบครองแต่สิ่งที่ทุกคนในงานคาดไม่ถึง จ้าวซื่อมิได้ประมูลภาพเช่นที่ทุกคนคิด แต่นางกล่าวออกมาเสียงดังให้ทุกคนได้เข้าใจตรงกันว่าภาพนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อมารดาท่านเจ้าเมือง“เจ้
หานเจิ้งจำต้องลากตัวมารดาออกไปหาที่นั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้“ทำพวกเจ้าเสียเวลาแล้ว ไปด้านบนเถิด ข้ามีคนจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก” จ้าวซื่อเดินเข้ามาคล่องแขนหว่านหนิงอย่างสนิทสนมยิ่งทำให้คนที่มาร่วมงานต่างมองนางอย่างสนใจ บางคนถึงกับพูดออกมาว่าไม่แน่นางอาจจะเป็นคนที่ปักผ้าผืนที่จะเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ ด้วยความที่จ้าวซื่อกล้าออกหน้าแทนนางหลี่เฉียงเดินขึ้นไปด้านบนพร้อมทั้งบิดาของเขา ทั้งสองพูดคุยถึงเรื่องที่ผ่านมาตอนที่หลี่เฉียงออกจากตระกูลมาแล้ว เรื่องนี้หว่านหนิงนางไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรนายท่านหานก็เป็นบิดาของเขา และที่ผ่านมาก็รักหลี่เฉียงไม่น้อยเลยทีเดียวจ้าวซื่อพาทั้งสองมาหยุดที่ห้องรับรองห้องหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามหว่านหนิงถึงความสมัครใจของนาง“อาหนิง ความจริงเรื่องนี้ข้าต้องบอกเจ้าเสียก่อน แต่เพราะการมาของผู้ที่อยู่ด้านในกะทันหันเกินไป ข้าก็เพิ่งจะรู้ก่อนหน้าเจ้าจะเดินทางมาถึงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม” หว่านหนิงนางมองหน้าจ้าวซื่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยคงมีคนต้องการพบนางอย่างแน่นอน และคงเป็นคนที่จ้าวซื่อมิอาจปฏิเสธไม่ให้เข้าพบนางไม่ได้“เอาเถิด ข้าเข้าใจท่าน ผู้ใดหรือเจ้าคะที่ต้องการพบข้า”“อ
ทั้งสองพี่น้องมิได้มีความบาดหมางสิ่งใดต่อกัน เพียงแค่มิค่อยได้สนิทสนมด้วยหลี่เฉียงแทบจะกินนอนอยู่ที่หอพนัน ส่วนตัวเขาพักอาศัยอยู่ที่สำนักศึกษา เพราะนางสุ่ยซื่อไม่ต้องการให้สองพี่น้องสนิทสนมกันมากนัก“รู้จักกันด้วยรึ” หว่านหนิงนางเอียงคอถามหลี่เฉียงมิใช่ว่านางจะยั่วโมโหนางสุ่ยซื่อแต่อย่างใด เป็นเพราะในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมใบหน้าของทั้งสองเลือนลางไปแล้วก็เท่านั้น และตัวนางไม่คิดว่าจะได้พบเจออีกจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับทั้งคู่“ไร้ยางอาย ถูกขับไล่มาได้ไม่เท่าใดถึงกลับจำข้ามิได้เลยรึ” นางเอ่ยตำหนิหว่านหนิงเสียงดังจนคนที่มาเข้าร่วมงานต่างพากันหยุดมองด้วยความสนใจ“ในเมื่อพวกท่านกับข้ามิได้มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน” หลี่เฉียงจูงมือหว่านหนิงให้ตามเสี่ยวเอ้อขึ้นไปด้านบน“ประเดี๋ยวก่อน เจ้ากล้าให้คนเช่นนี้ขึ้นไปชั้นสองได้เลยรึ” นางสุ่ยซื่อเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ ตัวนางกับบุตรชายยังไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปด้านบนมีเพียงนายท่านหานเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์เพียงผู้เดียวตระกูลหานมีกิจการร้านผ้าอยู่ที่เมืองหลวงและหัวเมืองหลายแห่ง ย่อมมีความคุ้นชินกับตระกูลจ้าวอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยท
หว่านหนิงนางจึงบอกจ้าวซื่อเรื่องที่นางทอผ้าขึ้นมาได้ ทั้งยังเสนอเรื่องแบบร่างชุดที่นางจะเขียนออกมาให้ทางจ้าวซื่อเดือนละสองภาพหลี่เฉียงนำตัวอย่างผ้ามาด้วย เขาหยิบขึ้นมาทันที เมื่อหว่านหนิงนางพูดถึงผ้าที่นางทอขึ้น“สวรรค์ เนื้อผ้าละเอียดนัก เจ้าไปหาเส้นไหมมาจากที่ใด” จ้าวซื่อไม่รู้ว่าวันนี้นางตกใจไปกี่ครั้งแล้วแม้แต่ผ้าสีขาวธรรมมาที่หลี่เฉียงนำขึ้นมา เป็นเนื้อดีกว่าผ้าทั้งหมดที่อยู่ในร้านนางเสียอีก“เรื่องไปได้มาจากที่ใดข้าบอกท่านมิได้เจ้าค่ะ แต่ข้าสามารถนำผ้ามาขายให้ท่านได้เดือนหนึ่งยี่สิบพับ” หว่านหนิงบอกว่านอกจากสีขาว ยังมีอีกหลายสี โดยนางจะขายให้สีละสองพับต่อเดือน“ผ้าที่ดีที่สุดในร้านค้า ข้ารับมาจากทางใต้ของแคว้น ขายอยู่พับหนึ่งสิบตำลึงทอง ผ้าของเจ้าข้าให้ผับละยี่สิบตำลึงทอง ไม่รวมแบบผ้าที่เจ้าจะนำมาขายให้ข้า”“เรื่องราคาพับผ้าที่ท่านให้ ข้าไม่ขัดข้อง แต่เรื่องแบบผ้า ข้าขอส่วนแบ่งจากที่ท่านตัดชุดขายสามส่วน ท่านเห็นเป็นเช่นใดเจ้าคะ” หว่านหนิงนางยื่นข้อเสนอทันที“ย่อมได้ แล้วเจ้ายังจะรับงานปักอีกหรือไม่”หากผ้ากั้นฉากผืนนี้ถูกนำออกไปประมูล ต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อย และต้องมีคน