ยามฮ่าย [1] ในคืนเดียวกัน ร่างดำทะมึนขององครักษ์มือซ้ายกระโจนลงจากหลังคาท่ามกลางความอนธการ เขาค้อมศีรษะพลางเอ่ยรายงานนายของตนซึ่งยังง่วนกับกองรายงานม้วนไม้ไผ่แทบไม่ว่างเว้น
"ท่านโหว วันพรุ่งฮูหยินบอกว่าจะออกไปข้างนอกขอรับ"
สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานหาได้สลักสำคัญใด ตั้งแต่เกิดเรื่อง หลิวจือหลินก็ไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย "นางอยากไปก็ไป"
"แต่...เดิมทีก่อนฮูหยินจะไปที่ใดมักมาแจ้งท่านโหวก่อนเสมอ ครั้งนี้ฮูหยินเอ่ยว่า..." เฉิงซือหานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางทีเขาอาจคิดผิดที่มารายงานเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้
"หืม..." มือหยาบระคายวางพู่กันหางจิ้งจอกลง เขาทำงานจนลืมดูว่ายามนี้ดึกมากแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นประเภทเรรวนไปตั้งแต่เมื่อใด"
"ขออภัยท่านโหว คือ...ฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านก็ย่อมได้ เพราะท่านโหวคงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ อีกอย่างฮูหยินเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่ามีท่านอยู่"
ปัง!
องครักษ์ซ้ายขวาพร้อมใจสะดุ้งโหยง ช่ายจินซินยกมือกุมขมับ บางทีหน้าที่นี้เขาควรเป็นฝ่ายทำเสียเอง ไม่เช่นนั้นต้องได้เห็นนายของตนอาละวาดจนกายพวกเขาถูกเผาวอดเข้าสักวัน
"นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร เดิมทีเห็นวนเวียนเว้าวอนอยากใกล้ชิดข้านัก หรือว่านางกำลัง..." นัยน์ตาคมหรี่ลงอย่างนึกคลางแคลง เขายกมือขึ้นเกาคางขบคิด คำพูดถัดไปที่เก็บงำเขาคิดว่านางจงใจสวมหมวกเขียวให้ตนอยู่
คนที่ติดตามหลิวจือหลินทุกก้าวย่างจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าหลิวจือหลินประพฤติตนเช่นไร "ท่านโหว หากเป็นเรื่องนั้นเกรงว่าคงมิใช่ ท่านจะลองไปหาฮูหยินที่เรือนตะวันออกดูหรือไม่ขอรับ"
เจียงซื่อจวินกำลังคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ ขณะที่เขาไม่แม้จะเหยียบย่างไปยังเรือนตะวันออกสักเสี้ยว ทว่าเรือนตะวันตกกลับเทียวมาเทียวไปอยู่เสมอ กระนั้นองครักษ์ที่อยู่ข้างกายโหวหนุ่มเช่นช่ายจินซินกลับไม่เคยเห็นเขาค้างอ้างแรมที่นั่นสักครา ซ้ำยังแวบเข้าออกดั่งผีสาง แท้จริงแล้วนายของเขากำลังคิดอ่านเช่นไรพวกตนก็สุดจะรู้
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองฉับ ร่างสูงทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดอีกครั้ง "ข้าไม่ไป นี่อาจเป็นอุบายของนางเพื่อเรียกร้องความสนใจจากข้า เช่นนั้นเจ้าก็ติดตามนางไปแล้วกัน พรุ่งนี้ข้ามีนัดกับไท่จื่อ ไม่อาจทำตัวไร้สาระได้"
"ขอรับ"
.
.
ย่ำรุ่งมาถึง หลิวจือหลินแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อน ใบหน้าแต่งแต้มสีสันเล็กน้อย ทว่ากลับมิได้ประโคมโบกเฉกเช่นที่เคยทำมาก่อน ส่งผลให้ความอ่อนเยาว์ประหนึ่งดรุณีแรกแย้มเจิดจรัส
เจียวเจียวและปี้อี๋ปากอ้าตาค้าง เดิมทีหากออกไปที่ใดหลิวจือหลินมักผัดหน้าทาปากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม จะว่างามก็งามอยู่ ทว่าผิวพรรณอันแท้จริงของนาง กลับผุดผาดกว่าการประโคมฉาบเครื่องประทินโฉมเหล่านั้นเป็นไหน ๆ
"ฮูหยิน ท่านงดงามเพียงนี้ เอ่อ...ต่อไปข้าว่าท่านอย่า..." เจียวเจียวรู้สึกประหม่า นางเกรงว่าหลิวจือหลินจะบังเกิดโทสะ
จู่ ๆ เสียงใสก็หลุดหัวเราะเบา หลิวจือหลินรู้ดีว่าเจียวเจียวกำลังคิดอ่านสิ่งใด ใช่นางไม่ทราบว่าหลิวจือหลินคนเดิมมักฉาบหน้าเฉกเช่นไปเล่นละครงิ้ว แต่หลิวจือหลินผู้นี้มิใช่คนรสนิยมย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเสียหน่อย
"เจียวเจียว วางใจได้ ข้ารับรองจะไม่กลับไปแต่งหน้าแต่งตาเฉิ่มเชยเช่นนั้นอีก เครื่องสำอางนี่ควรโล๊ะทิ้งไปซะ"
ปี้อี๋งุนงง "ฮูหยินเจ้าคะ คะ...เครื่องอะไรนะเจ้าคะ"
หลิวจือหลินอมยิ้ม "เครื่องสำอาง หมายถึงเครื่องประทินโฉมอย่างไรเล่า ดูไปแล้วของเดิมสีฉูดฉาดไปหน่อย ไว้ข้าค่อยคิดสูตรขึ้นเองดีกว่า เห็นวิธีการทำในหอตำราเยอะเลย"
เอ่ยพลางมือเรียวก็หยิบผ้าแพรสีขาวขึ้นมาคาดครึ่งหน้า
เจียวเจียว "ฮูหยิน รอยไฟไหม้หายแล้ว ไยท่านต้องปกปิดใบหน้าอีกล่ะเจ้าคะ"
"อ้อ...ข้าไม่ชินน่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปข้างนอกบางทีปิดไว้อย่างนี้อาจช่วยลดความประหม่าได้บ้าง อีกอย่างคงมีคนคอยซ้ำเติมข้าอยู่ว่าอัปลักษณ์น่าเกลียด ข้าอยากส่งเสริมคนเหล่านั้นให้สมใจสักครา"
"ฮูหยิน ครั้งแรกเมื่อใดกันเจ้าคะ เดิมทีท่านก็เที่ยวพบปะพวกคุณหนูคุณหญิงออกบ่อย ต่อให้ท่าน เอ่อ...นะ..." เจียวเจียวอึกอัก
"น่าเกลียดกว่านี้ ก็มิมีผู้ใดกล้าว่าข้า ใช่หรือไม่"
เจียวเจียวตัวแข็งทื่อ หลิวจือหลินดุจดั่งมานั่งกลางใจนาง
หลิวจือหลินระบายหายใจอ่อน อธิบายเสียงแผ่ว "หญิงสาวเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพวกรอยยิ้มซ่อนมีด ลองให้ข้าไม่ได้แต่งเข้าจวนโหว อีกทั้งบิดาไม่มียศหนาศักดิ์ใหญ่ จะมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้หรือคบค้าสมาคมกับสตรีตัวร้ายเช่นข้า เจ้าเชื่อรึว่ามิมีใครว่าข้า ด่าทอข้า จริง ๆ พวกนางกำลังค่อนขอดในใจตนทั้งนั้น พวกเจ้าว่าหรือไม่"
เจียวเจียวกับปี้อี๋มองหน้ากันหลุกหลิก "...ฮูหยิน แต่ยามนี้ท่าน..."
"เอาเถอะ" หลิวจือหลินตัดบท เอ่ยต่อว่า "ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกันเถิด ข้าตื่นเต้นอยากเห็นโลกภายนอกเต็มแก่ ดูสิจะเหมือนซีรีส์ย้อนยุคที่เคยดูหรือเปล่า"
ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกันนางไม่ชอบสุงสิงกับใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงคบหาเพื่อนน้อยนัก สหายสนิทในชาติก่อนก็มิอยากเอ่ยถึงอีก ร่างระหงยืนขึ้นพลางหมุนกายแย้มยิ้มกับคันฉ่องสีอำพัน
"หลิวจือหลิน เรือนร่างนี้งดงามจริง ๆ ถึงเราจะคล้ายกันแต่หุ่นเจ้านี่เซี๊ยะกว่าข้าอยู่หน่อย หน้าตาก็สวยขึ้นแล้ว เลิกแต่งหน้าอัปลักษณ์เสียทียัยบื้อ"
^ยามฮ่าย - 21:00 - 23:00 เดิมเรียก 人定 (réndìng | คนนิ่ง) ต่อมาเปลี่ยนเป็น 亥时 (haìshí | ยามฮ่าย)
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั