ยามฮ่าย [1] ในคืนเดียวกัน ร่างดำทะมึนขององครักษ์มือซ้ายกระโจนลงจากหลังคาท่ามกลางความอนธการ เขาค้อมศีรษะพลางเอ่ยรายงานนายของตนซึ่งยังง่วนกับกองรายงานม้วนไม้ไผ่แทบไม่ว่างเว้น
"ท่านโหว วันพรุ่งฮูหยินบอกว่าจะออกไปข้างนอกขอรับ"
สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานหาได้สลักสำคัญใด ตั้งแต่เกิดเรื่อง หลิวจือหลินก็ไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย "นางอยากไปก็ไป"
"แต่...เดิมทีก่อนฮูหยินจะไปที่ใดมักมาแจ้งท่านโหวก่อนเสมอ ครั้งนี้ฮูหยินเอ่ยว่า..." เฉิงซือหานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางทีเขาอาจคิดผิดที่มารายงานเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้
"หืม..." มือหยาบระคายวางพู่กันหางจิ้งจอกลง เขาทำงานจนลืมดูว่ายามนี้ดึกมากแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นประเภทเรรวนไปตั้งแต่เมื่อใด"
"ขออภัยท่านโหว คือ...ฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านก็ย่อมได้ เพราะท่านโหวคงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ อีกอย่างฮูหยินเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่ามีท่านอยู่"
ปัง!
องครักษ์ซ้ายขวาพร้อมใจสะดุ้งโหยง ช่ายจินซินยกมือกุมขมับ บางทีหน้าที่นี้เขาควรเป็นฝ่ายทำเสียเอง ไม่เช่นนั้นต้องได้เห็นนายของตนอาละวาดจนกายพวกเขาถูกเผาวอดเข้าสักวัน
"นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร เดิมทีเห็นวนเวียนเว้าวอนอยากใกล้ชิดข้านัก หรือว่านางกำลัง..." นัยน์ตาคมหรี่ลงอย่างนึกคลางแคลง เขายกมือขึ้นเกาคางขบคิด คำพูดถัดไปที่เก็บงำเขาคิดว่านางจงใจสวมหมวกเขียวให้ตนอยู่
คนที่ติดตามหลิวจือหลินทุกก้าวย่างจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าหลิวจือหลินประพฤติตนเช่นไร "ท่านโหว หากเป็นเรื่องนั้นเกรงว่าคงมิใช่ ท่านจะลองไปหาฮูหยินที่เรือนตะวันออกดูหรือไม่ขอรับ"
เจียงซื่อจวินกำลังคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ ขณะที่เขาไม่แม้จะเหยียบย่างไปยังเรือนตะวันออกสักเสี้ยว ทว่าเรือนตะวันตกกลับเทียวมาเทียวไปอยู่เสมอ กระนั้นองครักษ์ที่อยู่ข้างกายโหวหนุ่มเช่นช่ายจินซินกลับไม่เคยเห็นเขาค้างอ้างแรมที่นั่นสักครา ซ้ำยังแวบเข้าออกดั่งผีสาง แท้จริงแล้วนายของเขากำลังคิดอ่านเช่นไรพวกตนก็สุดจะรู้
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองฉับ ร่างสูงทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดอีกครั้ง "ข้าไม่ไป นี่อาจเป็นอุบายของนางเพื่อเรียกร้องความสนใจจากข้า เช่นนั้นเจ้าก็ติดตามนางไปแล้วกัน พรุ่งนี้ข้ามีนัดกับไท่จื่อ ไม่อาจทำตัวไร้สาระได้"
"ขอรับ"
.
.
ย่ำรุ่งมาถึง หลิวจือหลินแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อน ใบหน้าแต่งแต้มสีสันเล็กน้อย ทว่ากลับมิได้ประโคมโบกเฉกเช่นที่เคยทำมาก่อน ส่งผลให้ความอ่อนเยาว์ประหนึ่งดรุณีแรกแย้มเจิดจรัส
เจียวเจียวและปี้อี๋ปากอ้าตาค้าง เดิมทีหากออกไปที่ใดหลิวจือหลินมักผัดหน้าทาปากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม จะว่างามก็งามอยู่ ทว่าผิวพรรณอันแท้จริงของนาง กลับผุดผาดกว่าการประโคมฉาบเครื่องประทินโฉมเหล่านั้นเป็นไหน ๆ
"ฮูหยิน ท่านงดงามเพียงนี้ เอ่อ...ต่อไปข้าว่าท่านอย่า..." เจียวเจียวรู้สึกประหม่า นางเกรงว่าหลิวจือหลินจะบังเกิดโทสะ
จู่ ๆ เสียงใสก็หลุดหัวเราะเบา หลิวจือหลินรู้ดีว่าเจียวเจียวกำลังคิดอ่านสิ่งใด ใช่นางไม่ทราบว่าหลิวจือหลินคนเดิมมักฉาบหน้าเฉกเช่นไปเล่นละครงิ้ว แต่หลิวจือหลินผู้นี้มิใช่คนรสนิยมย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเสียหน่อย
"เจียวเจียว วางใจได้ ข้ารับรองจะไม่กลับไปแต่งหน้าแต่งตาเฉิ่มเชยเช่นนั้นอีก เครื่องสำอางนี่ควรโล๊ะทิ้งไปซะ"
ปี้อี๋งุนงง "ฮูหยินเจ้าคะ คะ...เครื่องอะไรนะเจ้าคะ"
หลิวจือหลินอมยิ้ม "เครื่องสำอาง หมายถึงเครื่องประทินโฉมอย่างไรเล่า ดูไปแล้วของเดิมสีฉูดฉาดไปหน่อย ไว้ข้าค่อยคิดสูตรขึ้นเองดีกว่า เห็นวิธีการทำในหอตำราเยอะเลย"
เอ่ยพลางมือเรียวก็หยิบผ้าแพรสีขาวขึ้นมาคาดครึ่งหน้า
เจียวเจียว "ฮูหยิน รอยไฟไหม้หายแล้ว ไยท่านต้องปกปิดใบหน้าอีกล่ะเจ้าคะ"
"อ้อ...ข้าไม่ชินน่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปข้างนอกบางทีปิดไว้อย่างนี้อาจช่วยลดความประหม่าได้บ้าง อีกอย่างคงมีคนคอยซ้ำเติมข้าอยู่ว่าอัปลักษณ์น่าเกลียด ข้าอยากส่งเสริมคนเหล่านั้นให้สมใจสักครา"
"ฮูหยิน ครั้งแรกเมื่อใดกันเจ้าคะ เดิมทีท่านก็เที่ยวพบปะพวกคุณหนูคุณหญิงออกบ่อย ต่อให้ท่าน เอ่อ...นะ..." เจียวเจียวอึกอัก
"น่าเกลียดกว่านี้ ก็มิมีผู้ใดกล้าว่าข้า ใช่หรือไม่"
เจียวเจียวตัวแข็งทื่อ หลิวจือหลินดุจดั่งมานั่งกลางใจนาง
หลิวจือหลินระบายหายใจอ่อน อธิบายเสียงแผ่ว "หญิงสาวเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพวกรอยยิ้มซ่อนมีด ลองให้ข้าไม่ได้แต่งเข้าจวนโหว อีกทั้งบิดาไม่มียศหนาศักดิ์ใหญ่ จะมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้หรือคบค้าสมาคมกับสตรีตัวร้ายเช่นข้า เจ้าเชื่อรึว่ามิมีใครว่าข้า ด่าทอข้า จริง ๆ พวกนางกำลังค่อนขอดในใจตนทั้งนั้น พวกเจ้าว่าหรือไม่"
เจียวเจียวกับปี้อี๋มองหน้ากันหลุกหลิก "...ฮูหยิน แต่ยามนี้ท่าน..."
"เอาเถอะ" หลิวจือหลินตัดบท เอ่ยต่อว่า "ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกันเถิด ข้าตื่นเต้นอยากเห็นโลกภายนอกเต็มแก่ ดูสิจะเหมือนซีรีส์ย้อนยุคที่เคยดูหรือเปล่า"
ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกันนางไม่ชอบสุงสิงกับใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงคบหาเพื่อนน้อยนัก สหายสนิทในชาติก่อนก็มิอยากเอ่ยถึงอีก ร่างระหงยืนขึ้นพลางหมุนกายแย้มยิ้มกับคันฉ่องสีอำพัน
"หลิวจือหลิน เรือนร่างนี้งดงามจริง ๆ ถึงเราจะคล้ายกันแต่หุ่นเจ้านี่เซี๊ยะกว่าข้าอยู่หน่อย หน้าตาก็สวยขึ้นแล้ว เลิกแต่งหน้าอัปลักษณ์เสียทียัยบื้อ"
^ยามฮ่าย - 21:00 - 23:00 เดิมเรียก 人定 (réndìng | คนนิ่ง) ต่อมาเปลี่ยนเป็น 亥时 (haìshí | ยามฮ่าย)
หลิวจือหลินพิเคราะห์หน้าตาที่มีผ้าแพรปกปิดพลางตบข้างบั้นท้ายตนเปาะหนึ่งเจียวเจียวยกมือทาบอก "…ฮูหยิน ทำเช่นนี้ไม่งามนะเจ้าคะ"หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองสาวใช้ พลางหัวเราะขบขัน เปลือกตาบางขยิบหนึ่งฝั่งหยอกล้อ จากนั้นเท้าเรียวเดินบ้างกระโดดบ้างดั่งกระต่ายเริงร่า หลิวจือหลินฮัมเพลงเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจสาวใช้ตนอีกเจียวเจียวแทบเกิดลมจับ เพราะเจียวเจียวมักเคร่งครัดเรื่องความเป็นกุลสตรีเช่นนี้เสมอ ส่วนปี้อี๋ยิ้มขบขันปี้อี๋ "เอาน่าอาเจียว ฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ""แต่…""ไม่ต้องแต่แล้ว เห็นหรือไม่ฮูหยินจะถึงรถม้าแล้ว เจ้าอยากหลังลายรึ"เจียวเจียวพยักหน้าหงึกหงัก พวกนางเร่งถลันกายตามนายหญิงไปทันควันบุรุษร่างสูงผินหน้ามองเรือนตะวันออกด้วยความใคร่รู้ ดูนางไม่แยแสเขาจริงดังว่า คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน แม้นางอยู่ห่างจากเขาจนเห็นไม่ชัด แต่เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหางตาของหลิวจือหลินพลันเหลือบเห็นรถม้าอีกคันจอดไว้ไกลลิบ คงมิใช่ทางฝั่งเรือนหลักกระมัง ช่
รถม้าขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างเรียบเรื่อย เสียงจ้อกแจ้กจอแจบ่งบอกว่าพวกนางเดินทางมาถึงตลาดกลางเมืองแล้ว หลิวจือหลินดูตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่มิด สาวใช้ทั้งสองเห็นท่าทีประดุจเด็กสามขวบของนายหญิงก็อดยิ้มเป็นมิได้มือเรียวเลิกผ้าคลุมหน้าต่างขึ้นพลางสอดส่ายสายตาเมียงมองร้านรวงสองข้างทาง นางจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้หลิวจือหลินเคยสัมผัสเพียงในซีรีส์เท่านั้น คาดไม่ถึงว่านางได้เข้ามาเยือนดินแดนยุคโบราณอย่างแท้จริง อันเป็นเหตุให้สามารถหลงลืมความทุกข์ระทมที่ตนถูกหักอกไปเสียสนิทใจเกิดใหม่ในร่างโฉมสะคราญ ถึงแม้มีสามีก็เพียงสามีในนามมิใช่หรือ เช่นนั้นหลิวจือหลินควรใช้เรือนร่างสะโอดสะองให้เป็นประโยชน์สูงสุด อย่างเช่น สวมใส่เสื้อผ้างดงามที่ตัดเย็บด้วยตนเอง ผสานกลิ่นอายการออกแบบในยุคสมัยที่จากมาลงไปด้วย ต้องดูแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครแน่นอน ตรึกตรองดูแล้วเรื่องวาดฝันเพื่อทำการค้าของหลิวจือหลินก็ดูไม่เลวทีเดียวหากนางสามารถออกมาจากเรือนโอ่อ่าทว่าชวนอึดอัดนั้นได้จริง ต่อให้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงหม้ายก็ช่างปะไร ในเมื่อหลิวจือหลินมิสนใจธรรมเนียมคร่ำครึนั่นเสียอย่
"ขออภัยพี่หญิง ข้ามิได้จงใจแย่งชิงผืนนี้กับท่าน" เสียงใสเอ่ยด้วยความพินอบพิเทา แววตาไหวระริกคล้ายกลัวนางเสียเต็มประดาเดิมทีหม่าลี่เจี่ยพิเคราะห์อยู่นานว่าอีกฝ่ายคือฮูหยินเจียงโหวหรือไม่ เพราะการแต่งกายของนางเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซ้ำหลิวจือหลินยังปกปิดใบหน้า แต่ทว่านางจำสาวใช้ข้างกายทั้งสองได้ ดูเหมือนใบหน้าที่ถูกปิดบังคงซ่อนความอัปลักษณ์เอาไว้แน่แท้สายตาของคนในร้านนับสิบคู่เริ่มเมียงมองมาที่พวกนางด้วยความใคร่รู้หลิวจือหลินกระซิบแผ่วกับสาวใช้ "นะ...นางคือใคร"เจียวเจียวกะพริบตาถี่ เหลียวมองหน้ากับปี้อี๋เจียวเจียวกระซิบตอบ "ฮูหยิน นี่อนุหม่าอย่างไรเจ้าคะ"ดุจกระแสอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ร่างระหงแทบล้มทั้งยืน ไฉนใบหน้าของหม่าลี่เจี่ยจึงคล้ายเพื่อนสนิทที่รวมหัวกับแฟนหนุ่มเพื่อหักหลังนางได้ถึงเพียงนี้"พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ" อีกฝ่ายยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมไร้เดียงสาหลิวจือหลินตั้งสติ ร่างระหงยืดกายตรงแน่ว โลกคงไม่เหวี่ยงคนบัดซบมาให้เจอซ้ำ ๆ กระมัง อาจเป็นคนที่หน้าเหมือนกันในชาตินี้ นางเองยังมีรูปร่างหน้าตาละม้ายเจ้าของร่างเดิ
หลิวจือหลินครุ่นคิดถึงความเหมาะสม นัยน์ตากลมโตเหลียวมองสาวใช้ข้างกาย ยามนี้พวกนางมีทีท่าเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ปี้อี๋และเจียวเจียวพร้อมใจส่ายศีรษะ ทว่าเมื่อเหลือบมองบุรุษฝั่งตรงข้ามอีกหนอย่างนึกลังเล ชายหนุ่มก็ยังส่งยิ้มละไมให้นางราวกำลังกดดัน นัยน์ตาคมจดจ้องเพราะคาดหวังในคำตอบนางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว การไปทานข้าวกับบุรุษซึ่งมิใช่สามีจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ เมื่อตรึกตรองถึงเรื่องก่อตั้งกิจการในอนาคต หลิวจือหลินจึงเห็นทางสว่างอยู่รำไร หากทำความรู้จักกับเขา ผู้เป็นถึงเจ้าของร้านผ้าอันใหญ่โตโอ่โถง ก็นับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อยมิใช่หรือ"ฮูหยินดูลังเลเพียงนี้ คงเป็นกังวลว่าท่านโหวจะโกรธเคืองงั้นหรือ"หลิวจือหลินส่งยิ้มแห้งขอด นางยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวัน "เปล่า เปล่า เจ้าค่ะ เดิมทีข้าและท่านโหวไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกันอยู่แล้ว"เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มกว้าง "เช่นนั้นฮูหยินคงไม่ถือสา ถึงอย่างไรทั้งท่านและข้าล้วนแต่มีผู้ติดตาม หาได้ไปเพียงลำพัง ถือเสียว่าเป็นการทักทายจากสหายที่เพิ่งพานพบ ท่านว่าดีหรือไม่"สาวใช้ทั้งสองหน้าเจื่อน แต่หลิวจือห
ชายหนุ่มอมยิ้ม เขามองตามสายตาดุจแมวน้อยหิวโซของหลิวจือหลิน นางยังคงลังเลว่าควรลองชิมอาหารจานใดก่อนตะเกียบในมือชายหนุ่มถูกหยิบขึ้น ฟ่านเทียนเผยคีบอาหารวางลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบของหลิวจือหลิน "ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน เป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ท่านลองชิมว่าชอบหรือไม่"หลิวจือหลินแหงนมองอีกฝ่าย เขาช่างดูเอาใจใส่สหายที่เพิ่งรู้จักกันอยู่ไม่น้อย หากสตรีนางใดเป็นฮูหยินของเขา คงโชคดีมากทีเดียว หลิวจือหลินละเลียดชิมอย่างเกรงใจ เมื่อหมูชิ้นแรกถูกส่งเข้าปาก ความนุ่มละมุนลิ้นผสานรสเปรี้ยวหวานอันเข้ากันอย่างลงตัว เป็นเหตุให้หลิวจือหลินตื่นตาอย่างยิ่ง"อื้อฮือ...อร่อยมากเจ้าค่ะ" มือเรียวยกขึ้นชูนิ้วโป้งม่านตาเบิกกว้างชอบใจริมฝีปากได้รูปจุดรอยยิ้มจาง ๆ "หากไม่พอข้าจะสั่งเพิ่มให้"หลิวจือหลินส่ายศีรษะจนเส้นผมแตกกระเจิง "พอแล้วเจ้าค่ะ มากมายเพียงนี้ ทานเพียงสองคนไม่หมดแน่ สิ้นเปลืองเสียเปล่า"ฟ่านเทียนเผยคีบอาหารอีกหลายอย่างส่งไปยังถ้วยอาหารของหลิวจือหลิน นางก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด อาหารสูตรโบราณเหล่านี้อร่อยล้ำถูกปากจริง ๆ หลิวจือหลินนอนป่วยอยู่ในจวนโหวตั
รถม้าจวนโหวเคลื่อนตัวออกจากเหลาอาหาร ฟ่านเทียนเผยยืนสงบนิ่งมองจนลับตา จากการสังเกตเจียงซื่อจวินก็มิได้ดูรังเกียจเดียดฉันท์ฮูหยินตนเองเช่นข่าวโคมลอย แต่ทว่าสองสามีภรรยาที่เผชิญหน้ากันเมื่อครู่ เหตุใดจึงทำราวกับเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกฮูหยินเจียงโหวยิ้มเดียวล่มเมือง เป็นที่น่าสนใจของเขาเสียด้วยดูเหมือนฟ่านเทียนเผยพบเรื่องราวน่าสนุกเข้าให้แล้วริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว วันนี้เรื่องที่หมายเจรจายังไม่ลุล่วง นั่นย่อมเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้พบหน้าฮูหยินเจียงโหวอีกครั้ง ร่างสูงหมุนกายกลับเข้าด้านใน มือทั้งสองไพล่หลังพร้อมสีหน้าสบายอารมณ์หลิวจือหลินก้มหน้างุดอยู่ในรถม้า สาวใช้ทั้งสองมิได้อยู่ด้วยเช่นขามา ยามนี้นางกำลังประสบปัญหาขั้นวิกฤติอยู่เพียงลำพังกับมัจจุราชหน้าขรึม ดูเอาเถิดดวงตาของเขาคมเข้มราวมีดดาบ ซ้ำยังจ้องนางเขม็งราวกระหายโลหิตคนไร้มารยาท ปีศาจกลับชาติมาเกิด กะจ้องข้าให้พรุนเลยหรือไงครั้นอยากหายใจหลิวจือหลินยังรู้สึกลำบาก ทว่าสิ่งที่ชวนอึดอัดมากกว่าอื่นใด ไฉนเขาจึงมีใบหน้
"...ท่าน นี่ท่านยังยิ้มหรือเจ้าคะ ไม่ช่วยแล้วยังกล้ายิ้มเยาะผู้อื่นงั้นหรือ คนไร้มโนธรรม" ไม่รู้หลิวจือหลินกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใด อาจเพราะเหลืออดกับท่าทีโอหังซ้ำยังเยาะยิ้มของเขาอยู่ตลอดจึงทำให้สติของนางขาดผึงจู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับยิ้มก็หุบฉับ มือแกร่งคว้าหมับไปยังท้ายทอยสตรีฝั่งตรงข้ามเดี๋ยวนั้น ลมอุ่น ๆ ถูกเป่าออกมาพรูดหนึ่ง หลิวจือหลินตะลึงงันตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ กระทั่งใบหน้าซับสีแดงเรื่อเกือบเท่าหน้าผาก"เป็นเช่นไรหายเจ็บแล้วหรือไม่"นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ ประจวบเหมาะกับล้อเลื่อนนั้นหยุดเคลื่อนที่แล้ว หลิวจือหลินไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงก็ชิ่งกลับลงไปเสียก่อน ครั้นได้สติ หลิวจือหลินจึงสลัดศีรษะพัลวัน"...ทำบ้าอะไรของท่าน ท่านโหว คนฉวยโอกาส"เสียงใสตะโกนไล่หลังดังลอดจากด้านใน เจียงซื่อจวินลงมาก่อนแล้วยังไม่ทันสาวเท้าออกไปก็พลอยหน้ากระตุก นางเป็นฮูหยินของเขา แต่กลับกล่าวหาสามีว่าฉวยโอกาส เมื่อครู่เขาแทบมิได้แตะถูกใบหน้านางเลยด้วยซ้ำวันนี้เจียงซื่อจวินได้เปิดหูเปิดตาครั้งแรกช่างสนุกยิ่งนัก แท้จริงฮูหยินของเขาเป็นสตรีเช่นไรกันแน
หลิวจือหลินพยายามดันกายกำยำออกห่างจากตน แต่ดูเหมือนเปรียบดั่งมดตัวจ้อยขย่มต้นไม้ใหญ่ เจียงซื่อจวินไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด นางจึงส่งค้อนวงใหญ่ให้เขาไปหนึ่งครา"ท่านโหว นี่ท่านเป็นคนเช่นไรเจ้าคะ จึงบุกเข้าห้องสตรียามวิกาล"เจียงซื่อจวินงุนงง ตกลงแล้วเขาเป็นฝ่ายผิดที่เข้าห้องภรรยาตนเองงั้นหรือ "พูดอะไรของเจ้า""ก็ดูท่าน...ท่านเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงหนำซ้ำยังจงใจลวนลามข้า"เจียงซื่อจวินขำพรืด เขาเคยเดียดฉันท์เรือนร่างนี้ก็จริง ทว่าเมื่อช่วงกลางวันกลับทำให้ความคิดหนึ่งของเขาผุดขึ้น นั่นคือรังแกอีกฝ่ายให้สาแก่ใจดูสักหน่อย เมื่อก่อนยังร้องหาเพียงอ้อมกอดของเขา ยามนี้เขายินดีประเคนให้นาง นางกลับหลีกหนีและกล่าวหาสามีซึ่งตบแต่งอย่างถูกต้องตามประเพณีว่าลวนลามภรรยาตนเองงั้นหรือ"ฮูหยิน เจ้าใช้คำพูดไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ขอข้าดูหน่อยว่าอุบายที่เจ้าว่าคืออะไร"หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อดุจหุ่นขี้ผึ้ง มือหยาบระคายหนึ่งด้านยื้อแย่งกระดาษในมือของนางออกไปหน้าตาเฉย ส่วนอีกฝั่งยังคงรัดเอวคอดไว้แน่น"เอ๊ะ! กำลังทำอะไรน่ะ เอาคืนมานะเจ้าคะ" ร่างระหงกระโดดโหยงในอ้อ
เจียงซื่อจวินหลับใหลไร้สติร่วมเจ็ดวัน หลิวจือหลินดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ทว่านางกลับไม่พบหม่าลี่เจี่ย เหตุใดอนุของเขาจึงมิได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเลย หนำซ้ำเรือนตะวันตกยังดูเงียบเหงาจนผิดปกติอีกด้วยแค่ก! แค่ก!เสียงกระอักไอของใครบางคนทำให้หลิวจือหลินหลุดจากภวังค์"ท่านโหว!"หลิวจือหลินรุดเข้าประคองอีกฝ่ายด้วยความร้อนรนระคนดีใจ"นะ...น้ำ"เจียวเจียวซึ่งยืนรอเป็นลูกมือในทุกวัน ถลันไปรินชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบด้วยมือสั่นเทา นางเห็นหลิวจือหลินดูแลเจียงซื่อจวินจนหน้าซีดขาว ก็อดเป็นห่วงมิได้ ยามนี้เจียงโหวรู้สึกตัวแล้ว หวังว่านายของตนจะหันมาดูแลตัวเองเสียบ้าง"ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ""ขอบใจนะ" หลิวจือหลินส่งยิ้มให้เจียวเจียว จากนั้นจึงป้อนให้ผู้ป่วยด้านหน้าแค่ก แค่ก"ค่อย ๆ เจ้าค่ะ"เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อจวินฟื้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง สาวใช้ทั้งสองรวมถึงองครักษ์ซ้ายขวาจึงพร้อมใจกันออกไปด้านนอก"ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่เจ้าคะ"เจียงซื่อจวินช้อนตามองสตรีเบื้องหน้า นางดูเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ซ้ำใบหน้ายังซีดขาว ขอ
หลิวจือหลินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ราวกับว่าตนกำลังถูกผู้ปกครองจับมัดแล้วหวดตีเพราะดื้อรั้น เสียงใสกล่าวอ้อมแอ้ม "เอ่อ...ท่านโหว อย่าเพิ่งดุข้าได้หรือไม่ คือ...ข้าเพียงไม่รู้ว่ายามนี้ราชวังกำลัง... อีกอย่างข้ารอท่านแล้ว แต่ท่านไม่มาพบข้าเลยตั้งหลายวัน"เจียงซื่อจวินอึ้งงั้นไปชั่วขณะ นางบอกว่ารอเขาอยู่อย่างนั้นหรือ นางเฝ้ารอเขาไปพบโดยตลอด แม้จะเพราะต้องการเข้าวังก็ตาม ไฉนจึงรู้สึกดีใจเพียงนี้กัน"ข้าทำงาน ขอโทษเจ้าด้วย ที่ปล่อยให้รอนาน ต่อไปข้าจะไม่หายหน้าแบบนี้อีกแล้ว"หลิวจือหลินกะพริบตาปริบ ๆนี่เขาขอโทษข้างั้นหรือจู่ ๆ ร่างกำยำก็โน้มลงโอบรอบเอวคอดไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าหล่อเหลาก่ายเกยบนลาดไหล่แคบ ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอเสียจนหลิวจือหลินขนลุกเกรียว"...ท่านโหว เป็นอะไรเจ้าคะ""นิ่ง ๆ ข้าอยากอยู่แบบนี้สักพัก" นัยน์ตาคมหลับลง เขากำลังประมวลความคิดบางอย่าง เมื่อครู่เขาเป็นห่วงนางแทบแย่ เหตุใดนางจึงไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเสียบ้าง ไยนางจึงกล้าฝ่าดงกระบี่ ดงเพลิงเพื่อช่วยเหลือเขาหลิวจือหลินหายใจติดขัดด้วยอาการตื่นตร
หลิวจือหลินใจกระตุกอย่างรุนแรง เรือนกายของนางชาวาบเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเป็นวงกว้างล้อมรอบเจียงซื่อจวินต่อหน้าต่อตา"ท่านโหว!" ช่ายจินซินพยายามบุกทะลวงเพื่อฝ่าอัคคีร้อนเข้าช่วยนายของตน ทว่ายังมิอาจแทรกกายเข้าไปได้เสียงทุ้มตะเบ็งลั่น "ถานอี้! เจ้ามันช่างเนรคุณจริงแท้"ทุกคนต่างผินหน้าตามต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง รัชทายาทนำกองกำลังทหารนับพันนายเข้ามาสมทบแล้ว หลิวจือหลินเล็งเห็นจังหวะเหมาะ นัยน์ตากลมโตสำรวจหาสิ่งทุ่นแรง ในที่สุดก็พบม้าตัวโตยืนจังก้าโดดเดี่ยวริมสระน้ำ บริเวณเดียวกันมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนาหล่นเกลื่อนพื้นเอาน่าจือหลิน... แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง [1] มิใช่หรือร่างระหงวิ่งถลาค้อมกายหยิบผ้าคลุมขึ้นทันควัน จากนั้นตวัดจุ่มลงน้ำจนเปียกชุ่ม หลิวจือหลินใช้มันห่อกายตนเอาไว้ แล้วจึงกระโจนขึ้นบนหลังม้าด้วยความรวดเร็วเจียงซื่อจวินซึ่งจับตามองหลิวจือหลินผ่านกลุ่มควันสีหม่น เขาเห็นรำไรว่านางกำลังวิ่งวุ่นกระทำบางสิ่ง
หลิวจือหลินหมุนเคว้งเป็นลูกข่าง นัยน์ตากลมโตจดจ้องอีกฝ่ายด้วยอาการตะลึงงัน"คุณชายฟ่าน! นะ...นี่ท่านมาได้อย่างไร"ฟ่านเทียนเผยประคองสตรีร่างระหงไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกด้านกำลังฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่ย่อหย่อน "ไว้ข้าจะบอกอีกครา" เขาโน้มกระซิบ "กุ้ยเฟยและฮองเฮาเล่า"หลิวจือหลินกระซิบตอบ "หลบในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ"ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลิวจือหลินรู้สึกว่ายามนี้นางกำลังเป็นภาระของเขา เมื่อเพ่งสายตามองไปด้านนอกธรณีทางเข้า นางก็พบกับองครักษ์ทั้งสองของเจียงซื่อจวิน พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดเฉิงซือหานซึ่งได้รับหน้าที่ติดตามดูแลหลิวจือหลิน ต้านศึกอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด ทว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ [1] เพราะกองกำลังทหารด้านหน้ามีเพียงหยิบมือ ส่งผลให้เขายื้อเวลาได้ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกรุกล้ำเสียแล้ว"คุณชายฟ่าน ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าดูแลตัวเองได้""ได้ แต่ฮูหยินอย่าบุ่มบ่ามเช่นเมื่อครู่อีก ข้าตกใจแทบแย่ เช่นนั้นข้าจะให้ผู้ติดตามของข้าพาท่านไปหลบที่ปลอดภัย"นางไม่อยากเป็น
เสียงโลหะกระทบกันพร้อมเสียงกรีดร้องสะท้อนเข้ามาจากนอกตำหนักฮองเฮาและหลิวจือหลินดีดกายยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงอย่าบอกเชียวที่เขาห้ามข้าไม่ให้เข้าวังเพราะเรื่องนี้"ฮองเฮาเพคะ ในนี้มีห้องลับหรือไม่"หลิวจือหลินเอ่ยถามด้วยความเร่งร้อน พลางประคองสตรีข้างกายเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตื่นตะลึง ฮองเฮาทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงโพล่งขึ้น"มีเจ้าค่ะฮูหยิน"หลิวจือหลินพยักหน้าเข้าใจ นางเคยดูซีรีส์มาบ้าง โดยปกติในตำหนักเชื้อพระวงศ์มักมีห้องลับด้านในแต่ทว่าพื้นที่คงมิได้กว้างขวางนักเพราะในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลย มิรอให้นางกำนัลต้องนำทางว่าที่ใด หลิวจือหลินก็มุ่งหน้าไปยังองค์พระขนาดย่อมเสียก่อน นางจูงมือฮองเฮาและกุ้ยเฟยให้เดินตาม"ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลิวจือหลินเอ่ยถามนางกำนัล"เจ้าค่ะ"ฮองเฮางุนงง "เจ้ารู้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเพิ่งเข้าห้องนี้ครั้งแรกหรือ""หม่อมฉันเดาเพคะ ดูจากรูปแบบการก่อสร้างแล้ว คงต้องใช่แน่นอน"ฮองเฮาพยักหน้า "เช่นนี้เอง เจ้าช่างฉลาดล้ำดีจ
"ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ เอ่อ...หม่อมฉันมีข้อสงสัยบางอย่าง มิทราบสามารถเอ่ยถามได้หรือไม่"กุ้ยเฟยตอบยิ้ม ๆ "เอาสิ เจ้าสงสัยสิ่งใดหรือ"หลิวจือหลินเริ่มประหม่า "คือว่า...หยกมณีเพลิงนั่น...""อ่า...หยกนี่หรือ" ซินกุ้ยเฟยยกเครื่องประดับอันงดงามซึ่งแขวนอยู่บนลำคอพลิกมองซ้ายขวา จากนั้นแหงนหน้าประสานสายตากับหลิวจือหลิน เอ่ยต่อว่า "ฝ่าบาทประทานให้ข้าและฮองเฮาคนละอันอย่างไรเล่า"หลิวจือหลินใจเต้นไม่เป็นส่ำ ฟ่านเทียนเผยคงมิได้นำหยกมณีเพลิงปลอมให้ฮองเฮาใช่หรือไม่ แต่นางสำรวจดูแล้ว หยกชิ้นนั้นเป็นของแท้แน่นอนคุณชายฟ่านคงมิได้หาของก็อบเกรดเอมาลวงหลอกใช่ไหมเนี่ยดูเหมือนซินกุ้ยเฟยและฮองเฮารู้ทันความคิดหลิวจือหลินเข้าเสียแล้ว สตรีวัยกลางคนจูงมือหลิวจือหลินให้ยอบกายนั่งขนาบข้างตน"เอ่อ...ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม...""เด็กดี นั่งลงเถิด"หลิวจือหลินเหลียวมองซินกุ้ยเฟยซึ่งนั่งถัดลงไปหนึ่งระดับ อีกฝ่ายยิ้มตอบซ้ำยังพยักหน้าบางเบา นางจึงวางใจหย่อนกายลงตามประสงค์ จากนั้นนางกำนัลก็นำฉลองพระองค์ที่หลิวจือหลินตัดเย
ตั้งแต่เจียงซื่อจวินพูดคุยกับหลิวจือหลินวันนั้น เขาก็ไม่โผล่หน้ามายังเรือนตะวันออกเลย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าไม่กลับจวนเลยเสียมากกว่า ดูเหมือนงานของเขาหนนี้คงยุ่งจริงจัง หลิวจือหลินนั่งเหม่อมองหยกในมือตาละห้อย"ตาทึ่ม ไม่โผล่หน้ามาเลย ไหนบอกจะพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอย่างไรเล่า แล้วช่วงนี้หายไปไหนกัน...เฮ้อ"ปี้อี๋ "ฮูหยิน คิดถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ"หลิวจือหลินอึกอัก "ซะ...ซี้ซั้ว ใครคิดถึงเขา ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่างหาก"แม้ปากเอ่ยปฏิเสธทว่าจิตใจของนางกลับระส่ำระสายอย่างยิ่งยวด เขาไม่ว่างกระทั่งโผล่มาหานางสักเสี้ยวเลยงั้นหรือ หลิวจือหลินพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปโหวเผด็จการนั่นไม่อยู่ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมีใครมาบงการหรือบีบบังคับ ซ้ำยังไม่ต้องเจอหน้าที่แสนเกลียดชังนั่นด้วยหลิวจือหลินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "ปี้อี๋ เจียวเจียว เตรียมรถม้า""ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความฉงน"ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าทำอาภรณ์ชุดใหม่ขึ้นมา ต้องการถวายฮองเฮาเพื่อเป็นของกำนัล ยามนั้นชุลมุนเกิน
"นั่นเจ้ากำลังทำสิ่งใด" เสียงทุ้มโพล่งจากทางเบื้องหลังหลิวจือหลินสะดุ้งโหยง หลายวันแล้วที่นางนั่ง ๆ นอน ๆ จนรู้สึกเบื่อหน่าย เหตุใดนางมักล้มหมอนนอนเสื่ออยู่เรื่อย หายจากอาการโน้นก็มีเรื่องร้ายแทรกซ้อนเข้ามาไม่หยุดหย่อน"ท่านโหว ข้าเพียงหาอะไรทำเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ร้านฟ่านอินก็ไม่ให้ข้าเฉียดเข้าใกล้ เพราะคุณชายฟ่านเกรงว่าข้าจะทำงานหนัก กระทั่งข้าอยู่เรือนท่านก็ยังจะห้ามข้าไม่ให้ทำอะไรอีกคนหรือ"เจียงซื่อจวินถอนหายใจเบา นางเอาแต่กล่าวถึงบุรุษอื่นอีกแล้ว "ข้ามิได้ห้าม เจ้ายังไม่หายดีจะหักโหมได้อย่างไร"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มให้เขา "ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่งานพิธีวันนั้น ข้ายังไม่เห็นฮองเฮาสวมฉลองพระองค์กระจะตาเลย ข้าอยากทำคอลเลคชั่นใหม่ไปถวายฮองเฮาเจ้าค่ะ""คอลเลคชั่นใหม่?" เจียงซื่อจวินเลิกคิ้ว ขบคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยต่อ "ตื่นมากี่คราวาจาก็ยังประหลาด""ท่านโหวพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านต้องลำบากใจ" หลิวจือหลินเว้าวอน เปลือกตาบางกะพริบปริบเจียงซื่อจวินเห็นใบหน้าดั่งแมวน้อยขี้
ภายในคุกใต้ดินอันแสนสกปรกและอับชื้น ท่อนขาสูงยาวเยื้องย่างเนิบนาบ ขนาบข้างซ้ายขวาคือแสงรำไรจากเชิงเทียนที่คอยส่องสว่างเป็นแนวทอดยาว ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แข็งกระด้างเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหารชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวโฮ่วถิงในงานพิธีวันนั้นถูกจับได้ทั้งหมด โชคยังดีที่พวกมันมิได้ปู้ยี่ปู้ยำสตรีแต่อย่างใด เพียงอุ้มไปทิ้งในพื้นที่เปลี่ยวร้าง สิ่งที่น่าตระหนกไปกว่านั้น บรรดาชายเหล่านี้หาใช่มืออาชีพอย่างที่คิด กระทั่งเค้นสอบถาม และทรมานเพียงใดก็มิยอมปริปากว่าผู้ใดคือคนบงการเบื้องหลัง ดูเหมือนจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสียด้วย หนำซ้ำยังซื้อตัวพวกเขาได้อย่างเฉียบขาดชายกำยำผู้หนึ่งถูกปลดลงจากขื่อ จากนั้นถูกจับแขนทั้งสองกางออกให้นอนหงายท้อง กระดาษแผ่นแรกวางโป๊ะลงบนใบหน้าคร้ามแดด น้ำสกปรกในถังไม้ถูกเทลงไปแช่มช้าซ่าาาาา...แค่ก แค่ก"จะบอกหรือไม่ ว่าใครส่งพวกเจ้ามา!"มีเพียงเสียงกระอักไอทว่าไร้คำตอบ นักโทษรายอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันหลุกหลิก วิธีที่เขาใช้ทรมานนักโทษดูไม่น่ากลัว แท้จริงแล้วช่างเป็นการสอบปากคำอันแสนทรมานอย่างยิ่งยวด ชายที่นอนอยู่ถูกแผ่นกระดาษป