"ขออภัยพี่หญิง ข้ามิได้จงใจแย่งชิงผืนนี้กับท่าน" เสียงใสเอ่ยด้วยความพินอบพิเทา แววตาไหวระริกคล้ายกลัวนางเสียเต็มประดา
เดิมทีหม่าลี่เจี่ยพิเคราะห์อยู่นานว่าอีกฝ่ายคือฮูหยินเจียงโหวหรือไม่ เพราะการแต่งกายของนางเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซ้ำหลิวจือหลินยังปกปิดใบหน้า แต่ทว่านางจำสาวใช้ข้างกายทั้งสองได้ ดูเหมือนใบหน้าที่ถูกปิดบังคงซ่อนความอัปลักษณ์เอาไว้แน่แท้
สายตาของคนในร้านนับสิบคู่เริ่มเมียงมองมาที่พวกนางด้วยความใคร่รู้
หลิวจือหลินกระซิบแผ่วกับสาวใช้ "นะ...นางคือใคร"
เจียวเจียวกะพริบตาถี่ เหลียวมองหน้ากับปี้อี๋
เจียวเจียวกระซิบตอบ "ฮูหยิน นี่อนุหม่าอย่างไรเจ้าคะ"
ดุจกระแสอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ร่างระหงแทบล้มทั้งยืน ไฉนใบหน้าของหม่าลี่เจี่ยจึงคล้ายเพื่อนสนิทที่รวมหัวกับแฟนหนุ่มเพื่อหักหลังนางได้ถึงเพียงนี้
"พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ" อีกฝ่ายยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมไร้เดียงสา
หลิวจือหลินตั้งสติ ร่างระหงยืดกายตรงแน่ว โลกคงไม่เหวี่ยงคนบัดซบมาให้เจอซ้ำ ๆ กระมัง อาจเป็นคนที่หน้าเหมือนกันในชาตินี้ นางเองยังมีรูปร่างหน้าตาละม้ายเจ้าของร่างเดิมไม่ผิดเพี้ยนเลย
"อ้อ...ข้าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็เชิญเจ้าตามสบาย ข้าไปก่อนล่ะ"
หลิวจือหลินหมายออกจากความกระอักกระอ่วนเบื้องหน้าโดยเร็วที่สุด นางยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับพวกทรยศหักหลังให้ตนเจ็บช้ำซ้ำแผลเดิมในยามนี้
ทว่าเมื่อหลิวจือหลินหมุนกายด้วยความเร่งร้อน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาจึงชนกับแผงอกหนั่นแน่นของใครบางคนเข้าอย่างจัง
"โอ๊ะ!"
อ้อมแขนแกร่งคว้าหมับไปยังเอวคอดบาง ร่างระหงเอนเอียงไปเบื้องหลังแทบล้มลงหงายท้องตึง นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่พร้อมอกซ้ายระรัวเต้นโครมครามตื่นตระหนก
อื้อ...หล่อมาก…อย่างกับบอยแบน
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มละไม "แม่นาง ท่านเป็นอะไรหรือไม่"
หลิวจือหลินส่ายหน้าพัลวันในขณะที่ยังไม่ละสายตาจากบุรุษเบื้องหน้า หม่าลี่เจี่ยซึ่งยืนไม่ห่างจากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็พลอยอึ้งงันไม่ต่างกัน
เหตุการณ์ประจวบเหมาะและเข้าทางยิ่ง หม่าลี่เจี่ยหมายกลั่นแกล้งให้หลิวจือหลินได้อับอายในวันนี้
หม่าลี่เจี่ยแสร้งเอนกายล้มลงเช่นกัน ทว่าชายหนุ่มยังประคองร่างระหงแนบชิดตนอยู่จึงไหวตัวทัน เขาหมุนเรือนกายบอบบางประหนึ่งลมพายุ ปอยผ้าซึ่งผูกเป็นปมไว้เบื้องหลังศีรษะทุยพลิ้วถึงมือหม่าลี่เจี่ยราวจับวาง นางกระตุกรั้งหนึ่งครา ผ้าผืนบางจึงถูกปลดลงในที่สุด
หม่าลี่เจี่ยล้มหน้าคะมำบนพื้นสกปรกแต่ภายในใจกลับยังกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะต่อให้นางอับอาย ก็คงน้อยกว่าหลิวจือหลินอยู่มากนัก หมายร่ายเสน่ห์มนตราให้บุรุษไปทั่ว เช่นนั้นนางจะช่วยสงเคราะห์เปิดประจานใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของหลิวจือหลินให้ผู้คนได้ล่วงรู้
เจียวเจียวและปี้อี๋เบิกตากว้างตะลึงลาน ผ้าแพรผืนบางค่อย ๆ หลุดลงพลันปลิดปลิวละล่องตามลม ฝ่ามือหยาบระคายคว้าหมับเอาไว้ พลางจับจ้องใบหน้าพริ้มเพราในอ้อมแขนแทบลืมหายใจ
ชายหนุ่มกระแอมเบา เสียงทุ้มเอ่ยหยอกล้อ "แม่นาง ท่านงดงามเพียงนี้ไฉนยังต้องปกปิดใบหน้ากันเล่า"
หม่าลี่เจี่ยได้ยินเช่นนั้นก็แทบสิ้นสติ งดงามงั้นหรือ นางจะงดงามได้อย่างไร ดูเหมือนสายตาบุรุษผู้นี้คงมีปัญหา
"อนุหม่า" สาวใช้ของหม่าลี่เจี่ยรุดเข้ามาประคองนายของตน ท่วงท่าพลิกคว่ำเมื่อครู่กลายเป็นที่ขบขันของผู้คนไปโดยปริยาย
หม่าลี่เจี่ยหน้างอง้ำพลางเขม้นมองสายตาดูแคลนเหล่านั้นอย่างนึกเดือดดาล นางเป็นถึงอนุเจียงโหว กล้าดีอย่างไรถึงหัวเราะเยาะไม่เกรงความผิด บรรดาลูกค้าในร้านจึงก้มหน้างุดหุบปากลงฉับ เพราะไม่อยากมีเรื่องกับคนในจวนโหว กิตติศัพท์อันเลื่องชื่อของเจียงโหวน่าหวาดผวาเพียงใดใครจะไม่ทราบ กระทั่งฮ่องเต้ยังรักเขายิ่งกว่าโอรสในไส้เสียอีก
"ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
ปี้อี๋ช่วยประคองหลิวจือหลินออกจากบุรุษปริศนา ชายหนุ่มจำต้องปล่อยนางให้เป็นอิสระอย่างสุดเสียดาย
"ฮูหยินงั้นหรือ ข้าคิดว่าแม่นางยังไม่แต่งงานเสียอีก"
เจียวเจียวยอบกายลง "ต้องขอบคุณและขออภัยคุณชายเจ้าค่ะ พอดีวันนี้ฮูหยินของเราเร่งร้อนไปหน่อย จึงมิทันแต่งกายตามธรรมเนียม หวังว่าท่านเองจะไม่ถือสา เมื่อครู่เป็นอุบัติเหตุเกรงว่าหากท่านโหวทราบ..."
"ท่านโหว?" คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง
"เอ่อ...นี่คือฮูหยินใหญ่ของท่านเจียงโหวเจ้าค่ะ"
ได้ยินดังนั้นผู้คนในร้านก็ฮือฮากันถ้วนทั่ว กระทั่งสตรีสองนางที่เพิ่งต่อว่าส่อเสียดหลิวจือหลินไปต่าง ๆ นานา ล้วนหน้าเผือดสี จากที่เห็น ยามนี้หลิวจือหลินนับเป็นโฉมสะคราญหามีสตรีในแคว้นเทียมเทียบได้เลยทีเดียว แล้วข่าวลือที่ออกมานั้นใช่เรื่องจริงแน่หรือ ยิ่งอยู่นานยิ่งคล้ายดั่งก้าวเท้าลงผืนปรภพไปแล้วหนึ่งข้าง สตรีสองนางจึงตัดสินใจถลันกายออกจากร้าน เพราะเกรงจะถูกฉีกอกตายไปเสียก่อน
หม่าลี่เจี่ยตื่นตระหนก นางเพิ่งเห็นใบหน้าแท้จริงของหลิวจือหลินก็วันนี้ ไฉนฮูหยินหน้าผีจึงกลายเป็นสาวงามไปเสียได้ หนำซ้ำคนที่เสียหน้าจนไม่อาจอยู่ต่อกลับเป็นนางซะเอง
หม่าลี่เจี่ยรู้สึกประหม่าทั้งยังอับอาย นางจึงเอ่ยขอตัวทันควัน "เอ่อ...ขออภัยพี่หญิงเมื่อครู่ข้าไม่ทันระวัง เช่นนั้นน้องขอตัว"
หลิวจือหลินมิทันตอบกลับ หม่าลี่เจี่ยก็สับเท้าดั่งต้องไฟลนจากไปเสียก่อน นัยน์ตากลมโตมองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายด้วยความฉงน
"ที่แท้แม่นางคือฮูหยินท่านโหว ไม่น่าเชื่อช่างงดงามอะไรเพียงนี้ ข้ามีนามว่า ฟ่านเทียนเผย เป็นเจ้าของร้านผ้าฟ่านอินขอรับ"
หลิวจือหลินกลับมาสนใจบุรุษตรงหน้าต่อ "ท่านเป็นเจ้าของร้านหรอกหรือ"
หลิวจือหลินมองอีกฝ่ายตาโต ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษหน้าละอ่อนแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อนจะเป็นถึงเจ้าของกิจการ
"ใช่แล้วขอรับ หากฮูหยินสนใจผ้าผืนไหน บอกข้าได้เลย ข้ายินดีมอบให้ท่านเพื่อเป็นของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อุตส่าห์แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนร้านของข้า"
"หา...ท่านจะให้ข้าแบบไม่คิดเงินน่ะหรือ"
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ยิ่งเห็นแววตาดุจแมวน้อยวาวระยับ เขาก็ยิ่งชอบใจ คาดไม่ถึงว่าสตรีที่ผู้ใดก็ว่าร้าย ดูไปแล้วประหนึ่งเด็กไร้เดียงสาหน้าขาวใสเสียมากกว่า เช่นนี้แล้วเขาอยากลองทำความรู้จักฮูหยินเจียงโหวสักคราก็คงนับว่าไม่ผิดอันใดกระมัง
"แน่นอน หากท่านอยากได้ทั้งร้าน ข้าก็จะบรรจุเป็นของกำนัลและส่งไปยังจวนโหวอย่างดี เพียงแต่ข้ามีเรื่องอยากรบกวนท่านหนึ่งสิ่ง..."
"เรื่องใดงั้นหรือ"
"แวะทานข้าวที่เหลาอาหารกับข้าชั่วครู่ได้หรือไม่"
ฟ่านเทียนเผยคลี่ยิ้มพราย ยิ่งเห็นท่าทีตกตะลึงของอีกฝ่ายกลับยิ่งถูกใจเขานัก นี่น่ะหรือฮูหยินที่เจียงซื่อจวินเกลียดชัง นางน่าเอ็นดูเพียงนี้กระนั้นเขายังกล้าทิ้งขว้างได้ลงคอ
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั