เข้าสู่ระบบแสงอรุณแรกเริ่มเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเหล่านกกาพากันบินออกจากรัง ไป๋เสวี่ยผู้กำลังนอนหลับอย่างสบายรู้สึกอึดอัดบริเวณหน้าท้องของตนเป็นอย่างมาก
ผีซิว!! ช่วยด้วย! ข้าถูกผีอำ
สัตว์เทพตัวน้อยผงกหัวของตนมองไปทางสหายผู้นอนหาความเรียบร้อยไม่เจอ
ข้าไม่เห็นเจอตัวอะไรอย่างที่เจ้าว่า เจ้าคงละเมอแล้วละ
ไม่ได้ละเมอสักหน่อยแต่ว่าเหมือนตอนนี้ข้าสบายดีขึ้นแล้ว เด็กหญิงพูดพร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาตื่น
“เหวอ!” นางร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
อะไรของเจ้า สัตว์เทพอ้าปากหาวสื่อสารกลับไปอย่างเกียจคร้าน
หัวใจจะวายตายแล้ว เจ้านั่นแหละยื่นหน้าเข้ามาใกล้ข้าทำไม อีกทั้งยังอ้าปากอีกข้าก็นึกว่าตัวเองจะโดนกินนะสิ ไป๋เสวี่ยตอบโต้พลางยกมือลูบอกของตนป้อย ๆ
เหอะ ข้าไม่นอนต่อแล้ว ว่าแต่เจ้าคิดจะทำอย่างไรเรื่องของคนป่าพวกนั้น สัตว์เทพสีทองกำลังจะผละไปทางหน้าต่างเอ่ยถาม
ข้าตั้งใจจะปรึกษาพ่อกับปู่เช้านี่แหละ ว่าแต่เจ้าจะไปไหน เด็กหญิงพูดพร้อมกับถามออกมาในคราวเดียวยามเมื่อเห็นสหายพุ่งตัวออกไปทางหน้าต่าง
ข้าจะไปสำรวจภูเขาอีกลูก
ระวังตัวด้วยนะ!! ไป๋เสวี่ยได้แต่ตะโกนไล่หลังแม้นางรู้ดีว่าไม่มีใครสามารถทำอันตรายสหายสัตว์เทพได้ก็ตาม
ในขณะที่นางกำลังเตรียมตัวลุกจากเตียงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนตามมาด้วยร่างกายบอบบางของเสี่ยวทู่
“คุณหนูตื่นแล้ว เดี๋ยวบ่าวไปเอาน้ำมาให้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ล้างหน้าล้างตา”
“ขอบใจมาก”
พ้นหลังบ่าวตัวน้อย ไป๋เสวี่ยก็ลุกขึ้นมาจัดเก็บที่หลับที่นอนของตนด้วยความเคยชินมาจากยุคปัจจุบัน
ทว่าในเรื่องที่นางคิดว่าไม่มีอะไรกระนั้นสำหรับบ่าวตัวเล็กที่มาเห็นว่าเครื่องนอนของผู้เป็นนายเก็บได้เรียบร้อยอย่างเป็นระเบียบน้ำตาของนางก็ไหลออกมาราวทำนบแตกทันที
“ฮือ ๆ คุณหนูบ่าวทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ ท่านถึงได้ทำกับบ่าวเช่นนี้” เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกอดขาของไป๋เสวี่ยเอาไว้แน่น
“หา! ดะ...เดี๋ยวเสี่ยวทู่ข้าทำอันใด” ใบหน้าของไป๋เสวี่ยเต็มไปด้วยความมึนงง “ก็คุณหนูไม่เหลืองานให้บ่าวทำ เช่นนี้แสดงว่าท่านจะไล่ให้บ่าวออกไปจากเรือนใช่หรือไม่” น้ำตาของนางยังคงไหลอาบแก้ม
ไป๋เสวี่ยไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้เจ้าตัวจึงได้แต่ถอนใจ “ไม่ได้ไล่ เพียงแต่งานของเจ้าเองก็มีล้นมืออยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งใดทำเองได้ข้าย่อมทำเองอย่างนี้ไม่นับว่าดีหรอกหรือ ถือได้ว่าเป็นการประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว”
“จริงหรือเจ้าคะ” ใบหน้าเปรอะน้ำหูน้ำตาของคนถามเงยสบตากับนางเพื่อหาความจริง
“อืม ข้าจะปดไปใย”
หลังจากนายกับบ่าวเข้าใจกันดีทั้งสองคนก็เดินออกมาด้านนอกซึ่งในตอนนี้บ้านทั้งหลังค่อนข้างเงียบงัน
“ทุกคนไปไหนกันหมด” ไป๋เสวี่ยถามคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังตนต้อย ๆ
“นายท่านผู้เฒ่าขึ้นเขาไปกับคุณชายใหญ่ ส่วนคุณชายรองหลังจากดื่มยาเจ้าตัวก็อยู่แต่ภายในห้องนอน ข้าน้อยคิดว่าเขาน่าจะกำลังอ่านตำรา ทางด้านนายท่านไปที่ว่าการ ส่วนนายหญิงนางนำผ้าไปซักบริเวณลำธารเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ! ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ แต่ก่อนอื่นไปดูน้องเล็กเสียหน่อยดีกว่า” เท้าของคนพูดหมุนกลับไปทางห้องของน้องชาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นและก่อนที่เจ้าของห้องจะอนุญาตประตูก็เปิดออกเสียแล้ว
“ท่านมีอะไรหรือขอรับ” ไป๋เทียนชำเลืองมองก่อนที่จะนั่งอ่านตำราตรงหน้าต่อ
“เจ้ากำลังอ่านอันใด” คนเป็นพี่ชะโงกใบหน้าของตนมองไปที่หน้าตัวอักษรเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบในม้วนไม้ไผ่ด้วยความสนใจ
“ที่นี่ยังไม่มีกระดาษเหรอ” คำถามนี้ทำให้น้องชายมองนางด้วยสีหน้าฉงน
“กระดาษคือสิ่งใด” เขาวางม้วนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะมองพี่สาวนิ่งอย่างต้องการคำตอบ
“กระดาษก็คือสิ่งที่เราสามารถบันทึกข้อความหรือจะวาดรูปลงไปก็ย่อมได้เวลาพกไปไหนก็จะสะดวกกว่าม้วนไม้ไผ่ ว่าแต่ตัวอักษรที่เจ้าอ่านเรียกว่าอะไร” ไป๋เสวี่ยตอบพร้อมกันนั้นนางก็ได้ถามสิ่งที่ตนสงสัย
“อักษรต้าจวน เรื่องนี้ท่านก็ลืมอย่างนั้นหรือ” ใจของเด็กชายอดที่จะสงสารคนเป็นพี่ไม่ได้แต่แล้วเขาก็เก็บความคิดคืนกลับมา
“ไม่ใช่เสียทีเดียวเพียงแต่ข้าคิดว่ามันค่อนข้างอ่านยากแต่ไม่ใช่ว่าอ่านไม่ออก”
“ท่านอ่านออก” คนตัวเล็กกว่าย้อนทั้งนี้เป็นเพราะคนเป็นพี่ไม่เคยสนใจเรื่องศึกษาเล่าเรียน
“อืม ไม่เพียงแต่อ่านออกข้ายังเขียนได้ด้วยเจ้าอยากดูหรือไม่ และไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรนี้เท่านั้นนะข้ายังรู้จักตัวอักษรหลายแบบด้วยมีทั้งไข่ซู เจี๋ยนถี่จื้อ[1] ฝานถี่จื้อ[2]” คนเป็นพี่พูดไปโดยไม่ได้ดูสีหน้าคนฟัง
“ที่แห่งนั้นสอนท่านมาอย่างนั้นหรือแล้วท่านสามารถนำมาสอนคนอื่นต่อได้หรือไม่ข้าอยากเรียนรู้บ้าง” ท่าทางกระตือรือร้นของเขาทำให้ไป๋เสวี่ยอดที่จะนำมือไปยีผมของเขาไม่ได้
“ผมข้ายุ่งหมดแล้ว” ใบหน้าของไป๋เทียนบูดบึ้ง
“ข้าเกล้าให้ใหม่ก็ได้นี่ รับรองว่าเจ้าจะเหมือนคุณชายน้อยคนหนึ่งทีเดียว” นางไม่พูดเปล่าเพราะได้มองหาหวีเพื่อจะนำมาเกล้าผมให้กับเขา เมื่อเห็นซี่ไม้ไผ่ห่าง ๆ ขนาดเล็กนางก็นำมาหวีให้น้องชายของตน
“ไป๋เทียนผมของเจ้าเหตุใดเหนียวถึงเพียงนี้ ข้าว่าเจ้าควรไปล้างผมสักหน่อยดีหรือไม่” ไป๋เสวี่ยพูดไปพลางหวีผมให้น้องชายอย่างไม่รังเกียจ
“ขะ..ข้า” คนตัวเล็กพยายามหลบเลี่ยงไม่อยากให้พี่สาวเกล้าผมให้ “เจ้าอย่าบอกว่าไม่ชอบสระผมนะ”
“สระผมอันใด ข้ารู้จักแต่ล้างผม” คนตัวเล็กพูดเสียงห้วน
“ความหมายของข้าก็หมายถึงแบบนั้นแหละ เจ้าตามข้ามาดีกว่า” คนเป็นพี่ปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลังของเขาลงพร้อมกันนั้นเจ้าตัวยังลากเขาออกมาจากห้องด้วย
โชคดีที่ว่าเท้าของเด็กน้อยอาการดีขึ้นมากหาไม่การที่คนเป็นพี่ลากออกมาแบบนี้เจ้าตัวคงส่งเสียงร้องโอดโอยไปแล้ว
“เสี่ยวทู่ เจ้าช่วยไปต้มน้ำให้ข้าได้หรือไม่” ไป๋เสวี่ยพาน้องชายมานั่งยังข้างเรือนครัวที่มีโอ่งดินเผาตั้งอยู่
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่ท่านจะให้บ่าวนำน้ำข้าวมาให้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“เอามาด้วยก็ดีผมของน้องสามจะได้เงางาม”
ไป๋เสวี่ยได้นำแชมพูสระผม จากยุคของตนที่เชื่อมอยู่กับผีซิวออกมาโดยที่คนเป็นน้องได้แต่อ้าปากตกตะลึงตาค้างกับการกระทำของนาง
“พี่รอง! ทะ..ท่านเป็นใครกันแน่” เสียงของเขาสั่นเช่นเดียวกับนิ้วของตนที่ชี้สิ่งของที่ตนไม่เคยเห็น
“เป็นปีศาจอย่างไรเล่า ฮี่ ฮี่” ไป๋เสวี่ยแสร้งเอาผมปิดหน้าปิดตาหัวเราะแหลมสูงหลอกเขา ไป๋เทียนหาได้กลัวอีกทั้งยังมองนางราวกับตัวประหลาดก็ไม่ปาน
“ไม่สนุกเลยทำไมเจ้าไม่กลัวล่ะ อีกอย่างข้าไม่ใช่บอกเจ้าไปแล้วหรือ” ไป๋เสวี่ยตีหน้าใสซื่อดุจว่าตนไม่ได้ทำสิ่งใดผิด
“บอกอันใดของท่าน” คนตัวเล็กยิ่งรู้สึกว่านับวันเขาคล้ายจะยิ่งโง่เขลาลงทุกวันในยามสนทนากับพี่สาวต่างแม่
ไป๋เสวี่ยหัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว ของพวกนี้ก็มาจากที่แห่งนั้นนั่นแหละ แต่มันก็มีวันหมดนะแต่เจ้าไม่ต้องห่วงเพราะข้าทำเป็นเพียงแต่ต้องใช้เวลาหาวัสดุสักหน่อย”
“ที่แห่งนั้นวิเศษมากเลยหรือ” ใจของเด็กน้อยรู้สึกเปรี้ยวขึ้นมาเล็กน้อยจึงได้ถามเช่นนี้
“จะนับว่าวิเศษทั้งหมดก็ไม่ได้ จะไม่นับว่าแย่ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ถ้าหากเทียบกับบ้านเมืองที่มีสงครามอย่างตอนนี้ที่แห่งนั้นนับว่าดีกว่าเป็นอย่างมาก”
ไป๋เทียนคล้ายฟังเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ เจ้าตัวจึงได้สรุปว่าหากที่นี่ไม่มีสงครามก็น่าจะเป็นสถานที่ ที่ดีเหมือนกัน
“เจ้าก้มหัวลงอีกหน่อยสิ ข้าสระไม่ถนัด”
“ข้าก้มจนเมื่อยแล้วนะขอรับ”
“ก้มลงไปอีกแล้วอย่าลืมหลับตาล่ะ ไม่อย่างนั้นหากแชมพูเข้าตาจะแสบมาก” ไป๋เสวี่ยไม่วายกล่าวเตือน
สิ่งของเหล่านี้เป็นของใช้ส่วนตัวของเธอที่ซื้อเอาไว้ก่อนจากโลกใบนั้นมารวมถึงยังมีเงินและของมีค่าเองก็ติดตัวมาด้วยแม้ว่าพอเปลี่ยนเป็นเงินของโลกนี้จะไม่มากมายนักก็ตาม
ก็นะใครใช้ให้ของเก่ายิ่งโบราณยิ่งมีราคาแพงกันล่ะ เจ้าตัวคิด
ช่วงสายของวันไป๋เสวี่ยก็ต้องประหลาดใจที่คนในครอบครัวยังไม่มีใครกลับเรือน
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“ท่านหมายถึงอะไรหรือขอรับ” ไป๋เทียนที่ถูกคนเป็นพี่จับสระผมและเกล้าผมเรียบร้อยถามหลังได้ยินคำพูดของคนที่นั่งฝึกตัวอักษรหน้ากระบะทรายข้างกัน
“ไม่รู้สิ ข้าเพียงรู้สึกว่าบรรยากาศแปลก ๆ คล้ายกับว่าคลื่นลมสงบก่อนพายุจะมาอย่างไรอย่างนั้น” เด็กหญิงแหงนหน้ามองท้องฟ้าตอบน้องชายเสียงเบา
“ข้าหาได้เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด”
[1] อักษรจีนตัวย่อที่เขียนง่ายขึ้น
[2] อักษรจีนแบบเก่าแบบเต็มตัว
กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย
“ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร
กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ
สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n
เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n
เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs







