แชร์

ตอนที่ 8 เพลินพุง เพลินใจ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-23 20:00:00

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามคนตระกูลไป๋ก็พากันทำจมูกฟุดฟิด พวกเขาพากันสูดเอากลิ่นหอมจากเรือนครัวด้วยความอยากกินโดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กไป๋เทียนที่ตอนนี้กำลังช่วยพี่สาวเฝ้าอยู่หน้าเตาดินไม่ยอมห่าง

            ส่วนไป๋เสวี่ยนางก็กำลังจัดแจงทำอาหารอีกอย่างนอกจากกระต่ายตุ๋นที่มีเครื่องปรุงภายในครัวเหลืออยู่แค่หยิบมือถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังสามารถปรุงอาหารชนิดนี้ออกมามีกลิ่นหอมจนได้

            “พี่รอง ท่านกำลังทำอันใดหรือขอรับ” คนเป็นน้องมีท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาเข้าใจได้ว่าในบัดนี้พี่สาวต่างแม่ได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ

            “ทำผักป่านึ่งไข่ เจ้าอยากกินหรือไม่ ไข่ไก่นุ่ม ๆ ผสมเข้ากับผักป่าสีเหลืองตัดสีเขียว เจ้าไม่คิดว่ามันดูน่ากินหรอกหรือ” ไป๋เสวี่ยพูดไปพลางตีไข่ที่อยู่ในชามดินเผาไป

            อึก!! ไป๋เทียนกลืนน้ำลายลงคอ “เหตุใดข้าจะไม่อยากกินกันเล่า เพียงแต่มันจะไม่เป็นการสิ้นเปลืองเกินไปหรือขอรับ”

            “ไม่ เจ้าเชื่อข้าเถอะ นับจากวันนี้ข้าจะทำให้ครอบครัวของเราท้องอิ่มนอนอุ่น” เสียงของเธอนั้นไม่ดังไม่เบา

            ทว่าสำหรับบ้านดินหลังนี้ไม่ได้เก็บเสียงได้ดีนักดังนั้นคนในครอบครัวจึงได้ยินคำพูดของนางอย่างชัดเจน

            “ท่านพี่ ลูกสาวของท่านโตแล้ว อีกทั้งนางยังรู้ความมากด้วยข้าดีใจเหลือเกิน” เหมยกุ้ยยกชายเสื้อซับน้ำตารำพึงรำพันถึงพี่สาวผู้อาภัพที่จากไปเร็วด้วยโรคภัยรุมเร้าเมื่อหลายปีก่อน

            “น้องหญิงเจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด” ไป๋ซวนถามขึ้นเมื่อเจ้าตัวหันมาเห็นภรรยาดวงตาแดงเรื่อ

            “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงดีใจ” นางปฏิเสธเสียงอ่อน

            “ดีใจก็ต้องหัวเราะสิ น้องหญิงข้าผิดต่อเจ้าเหลือเกินหากตอนนั้นเจ้าไม่แต่งให้ข้าบางทีชีวิตของเจ้าอาจจะดีกว่านี้” ผู้พูดจ้องหน้าของหญิงสาวด้วยสายตาแห่งความรู้สึกผิด

            “ท่านพี่ การตัดสินใจแต่งกับท่านเป็นข้าเลือกเอง อีกอย่างข้าไม่วางใจ หากว่าตอนนั้นท่านเลือกคนอื่นทั้งนี้เป็นเพราะข้ากลัวว่าเด็ก ๆ จะได้แม่เลี้ยงที่ไม่ดี หากเป็นข้าจะดีจะร้ายอย่างไรก็ยังเป็นน้าของพวกเขา”

            “น้องหญิงข้ารู้ว่าจิตใจของเจ้านั้นประเสริฐ ทว่าหลังจากเจ้าแต่งกับข้าได้ไม่ทันไรพวกเราก็ต้องมาอยู่สถานที่แห่งนี้ อีกทั้งตอนนั้นเป่าเปาเองก็ทำกิริยาร้ายกาจต่อเจ้าหลายครั้งหลายครา

ทว่าเจ้าเองกลับไม่เคยโกรธนาง รวมถึงยังเข้าข้างนางเสียอีกจึงทำให้นางยิ่งได้ใจ เรื่องนี้ก็ทำให้พี่รู้สึกผิดต่อเจ้ามากยิ่งนัก” ไป๋ซวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงความหลัง

            “ท่านพี่ อย่าได้โทษตัวเองเจ้าค่ะ อีกอย่างตอนนี้เป่าเปาเองก็มีเหตุผลมากขึ้นแล้ว ข้าว่าพวกเราอย่าพูดถึงเรื่องเก่าอีกเลยนะเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าต่อจากนี้บ้านของเราย่อมจะมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาอย่างแน่นอน”

            “อืม ข้าเองก็หวังเช่นนั้น แล้วยิ่งมาเห็นกับตาว่าบุตรสาวของเราทำอาหารได้ข้ายิ่งตื้นตันยิ่ง” ชายฉกรรจ์อกสามศอกพูดไปก็อดที่จะน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้

            “พี่ใหญ่ แต่ก่อนข้านิสัยแย่มากเลยเหรอ ท่านพ่อถึงได้มีอาการเช่นนี้” ไป๋เสวี่ยอดกระซิบถามพี่ชายของตนไม่ได้แม้ว่านางจะเห็นจากความทรงจำของร่างเดิมแล้วก็ตาม

            “สำหรับพี่แม้ว่าเจ้าจะร้ายกาจเพียงใดเจ้าก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักของข้าอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงตอบไม่ได้ว่าเจ้าแย่มากแค่ไหน” คำตอบพาซื่อเช่นนี้ทำให้ไป๋เสวี่ยมองพี่ชายด้วยสายตาแห่งความขอบคุณ

            แต่แล้วเจ้าตัวก็ถูกความจริงจากปากของน้องชายตีความสุขของตนเสียกระเจิง

            “ข้าจะบอกท่านเอง แต่ก่อนนั้นท่านเป็นคนนิสัยร้ายกาจมาก ทั้งเอาแต่ใจเจ้าอารมณ์แย่งขนมของน้อง ฟ้องร้องคนแก่ ชวนเด็กวัยเดียวกันตบตีและ...” “พอก่อน!!” ไป๋เสวี่ยรีบยกมือกล่าวห้ามน้องชายออกมาเสียงดัง

            “เพราะเหตุใด” เจ้าตัวยังคงถามอย่างใสซื่อ

            “ข้าในตอนนี้เป็นเช่นไร” ไป๋เสวี่ยไม่ตอบทว่ากลับย้อนถามออกมาแทน ไป๋เทียนเม้มปากของตนแน่นแม้ในใจจะยอมรับมากกว่าครึ่งถึงความเปลี่ยนแปลงของคนเป็นพี่ แต่อีกเสี้ยวเจ้าตัวก็ยังคงค้าน

            “ดีมากแต่ว่าในอนาคตท่านจะกลับมาเป็นคนเดิมหรือไม่”

            “ไม่อย่างแน่นอน ในเมื่อตอนนี้ข้าเป็นคนใหม่ที่ดีแล้ว ดังนั้นเหตุใดข้าจะต้องกลับไปเป็นคนเดิมที่นิสัยแย่เช่นนั้นด้วยเล่า” คนเป็นน้องสบดวงตาใสกระจ่างของคนเป็นพี่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ

            “หากท่านกล้ากลับไปเป็นคนเดิม ข้าขอให้ท่านเป็นลูกสุนัข”

            “แค่ก ๆ เสี่ยวซาน พ่อไม่ได้เป็นบิดาของสุนัขนะเจ้า” ไป๋ซวนผู้ได้ยินคำพูดนี้ของบุตรชายคนเล็กกระแอมเอ่ยแย้งทันควัน

            ส่วนเจ้าตัวเล็กที่เมื่อครู่ได้หลุดปากออกมาก็คลับคล้ายจะรู้สึกตัว “ข้าขอให้ท่านกินข้าวไม่ได้ก็แล้วกัน” เขารีบกลับคำด้วยคิดว่าหากท่านพ่อเป็นสุนัขถ้าอย่างนั้นตัวเขาก็ต้องเป็นด้วยนะสิ

            ไป๋เสวี่ยอมยิ้มให้กับความซื่อบริสุทธิ์ของน้องชาย “ได้ ๆ หากข้าผิดคำพูดขอให้ข้ากินข้าวไม่ได้”

            อาหารบนโต๊ะของครอบครัวไป๋วันนี้ทำให้แต่ละคนคิดว่ามันคือความฝัน เนื้อกระต่ายตุ๋นส่งกลิ่นหอมกำจาย เนื้อที่อยู่ในนั้นก็ดูเหมือนจะกำลังกิน ส่วนผักป่าไข่นึ่งก็ดูน่ากินมากเช่นกัน   สีเหลืองของไข่ตัดกับผักป่าสีเขียว

            “กินสิเจ้าคะ เสี่ยวทู่เองก็นั่งลงกินด้วยกันเถอะ” คำชวนของไป๋เสวี่ยได้ทำให้ตะเกียบในมือของทุกคนหลุดร่วง

            “มีอันใดหรือเจ้าคะ”

            “ลูกรัก ปกติเจ้าไม่เคยให้เสี่ยวทู่นั่งร่วมโต๊ะ ทั้งนี้เจ้าเคยบอกว่านายกับบ่าวไม่ควรตีเสมอกันจำไม่ได้หรือ”

            ไป๋เสวี่ยส่ายศีรษะไปมา “ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ให้เสี่ยวทู่นั่งร่วมโต๊ะได้หรือไม่เจ้าคะ เพราะยังไงนางก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา” จบประโยคนี้ของเด็กหญิง

            เสี่ยวทู่ตัวน้อยก็นั่งคุกเข่านำมือมากอดขาของไป๋เสวี่ยเอาไว้แน่นพลางเอ่ยออกมาทั้งน้ำหูน้ำตา “คุณหนูของบ่าว”

            “..” ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดไปใช่ไหม นางคิด

            หลังจากมื้ออาหารที่ไม่หลงเหลือแม้แต่น้ำแกงจบลง ไป๋เทียนตัวน้อยก็ลูบพุงป่อง ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะจ้องใบหน้าของพี่สาวอย่างไม่วางตา

            “หน้าของข้ามีอันใดติดอยู่อย่างนั้นเหรอ” ไป๋เสวี่ยถามพลางเอามือจับตามกรอบหน้าของตน

            “ไม่มีขอรับ เพียงแต่ท่านลืมเรื่องอะไรไปหรือไม่”

            ไป๋เสวี่ยทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัวไปมา “ไม่นี่”

            คนเป็นน้องพองแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านลืมเรื่องที่พูดเอาไว้ก่อนหน้าขอรับ” เจ้าตัวยังคงไม่เฉลย

            “เรื่องอันใดกัน” คนเป็นพี่ก็ยังคงนึกไม่ออกจนกระทั่งผีซิวได้ใช้เท้าหน้าสะกิดหน้าแข้งของนางเป็นการเตือน

            เรื่องถงหวี จากนั้นสัตว์เทพก็นั่งหมอบเพื่อรอฟังเช่นกัน

            “อ๋อ.....” ไป่เสวี่ยลากเสียงยาว

            “พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน” ผู้เฒ่าของบ้านเอ่ยถามหลังจากเขาไปเดินย่อยมากับบุตรชายรวมถึงไป๋ตงเองก็เดินเข้ามารวมตัวกับน้องน้อยทั้งคู่ด้วย

            “ท่านพี่กำลังจะเล่าเรื่องของถงหวีให้ฟังขอรับ”

            “เยี่ยงนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นปู่ขอฟังด้วยก็แล้วกัน” ชายชราหย่อนก้นลงนั่งโดยมีเหล่าสมาชิกคนอื่นที่ทยอยมารวมตัวก็หาที่นั่งเพื่อหมายจะฟังเรื่องที่บุตรีของตนจะเล่าด้วย

            “นามถงหวีนั้นนับว่าเป็นเทพเจ้าค่ะ ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่านางเป็นชายาของหวางตี้ยุคแรก ในครานั้นเมื่อมนุษย์ได้สัตว์มาพวกเขาก็จะกินกันดิบ ๆ จึงทำให้พวกเขาเกิดความเจ็บป่วยเพราะอาหารไม่สะอาด เมื่อถงหวีรู้จักใช้หินคมต่างมีด นางจึงหั่นเนื้อให้ชิ้นเล็กลง จากนั้นนางก็ก่อไฟนำเนื้อไปย่างหรือปิ้งทำให้อาหารมีความอร่อยขึ้น และไม่มีใครท้องเสียจากการกินเนื้อปรุงสุก อีกทั้งนางยังคิดค้นวิธีเหลาไม้ไผ่มาทำเป็นตะเกียบ ช่วยให้หยิบอาหารเข้าปากสะดวกขึ้น ดังนั้นนางจึงนับได้ว่าเป็นเทพแห่งการทำครัว"[1]

            “จบแล้วหรือขอรับ ข้ายังอยากจะฟังต่ออยู่เลย” ไป๋เทียน ถามขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความเสียดาย

            “พี่ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายเอาไว้จะทยอยเล่าให้เจ้าฟังดีหรือไม่ ทว่าตอนนี้เจ้าสมควรกินยาได้แล้วน้องรัก”

            “อ่าห์ ข้าไม่อยากกินยาขม ๆ เลย” เจ้าตัวน้อยของบ้านตะโกนโวยวายราวหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน

            เสียงหัวเราะที่ห่างหายไปนานในครอบครัวไป๋ได้กลับคืนมาอีกครั้งจึงทำให้บ้านน้อยหลังนี้เต็มไปด้วยความสดใส

[1] เรื่องนี้มาจากตำนาน60เทพของวิถีเต๋านะคะ หากผิดพลาดประการใดผู้แต่งต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 17 เจ้าไม่หิว?

    กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 16 กำจัดเหาง่ายนิดเดียว (หรือเปล่า)

    “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 15 จำต้องตกใจขนาดนี้?

    กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 14 ทะ..ท่านเป็นคนลามก

    สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 13 ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี

    เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 12 เรื่องปากท้องสำคัญที่สุด

    เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status