คนเป็นน้องแม้ไม่อยากจะเชื่อ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าหนักแน่นของพี่สาวเจ้าตัวก็ไม่เอ่ยโต้แย้งแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้นท่านช่วยเล่าเรื่องการสร้างโลกให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยฟังท่านปู่เล่ามานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่จำความได้แล้วหรอกหรือ”
คนเป็นน้องใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อถูกคนเป็นพี่จับพิรุธได้ เขาพ่นลมหายใจออกมาแสดงท่าท่างกรุ่นโกรธ
“ท่านจะไม่เล่าก็ได้ ถ้าอย่างนั้นท่านก็ช่วยเดินออกไปจากห้องของข้าและรบกวนปิดประตูให้ด้วย” เขากล่าวเสียงสะบัดหันหน้าหนีไปทางหน้าต่างที่ถูกปิดสนิท
“เจ้าไม่เห็นต้องโกรธแบบนี้นี่ ข้าเล่าให้ฟังก็ได้ แต่เอาเป็นเรื่องเล่าในคัมภีร์ซานไห่ จิงนะ” คนเป็นพี่ยอมอ่อน
“จริงเหรอ!” คนตัวเล็กกว่าถามอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าพี่สาวนอกจากจะไม่โกรธแล้วยังใจดีกับตนอีกต่างหาก
“อืม”
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังสนทนากัน เสี่ยวทู่ก็เคาะประตูและส่งเสียงตามมา
“คุณหนู คุณชายเเจ้าคะ บ่าวนำเครื่องหอมไล่ยุงมาให้” เสียงเจื้อยแจ้วของนางดังมาก่อนตัว
“พี่เสี่ยวทู่มาฟังเรื่องเล่ากับพวกเราสิขอรับ”
“เรื่องเกี่ยวกับอะไรอย่างนั้นหรือ ให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่” เสี่ยวทู่ยังไม่ทันตอบความก็มีเสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
คนผู้นี้เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มละไมดวงตาของเขาเป็นประกายทอแววอบอุ่นส่งยิ้มให้กับน้องน้อยทั้งคู่ก่อนจะนั่งลงอย่างถือวิสาสะ
“พี่ใหญ่!” เด็กทั้งคู่ส่งเสียงเรียกเขาออกมาพร้อมกัน
“อืม ว่าอย่างไร ข้าสามารถฟังด้วยได้หรือไม่” ไป๋ตงครางในลำคอพลางย้อนถามด้วยรอยยิ้มดุจเดิม
“ได้สิขอรับ ใช่หรือไม่พี่รอง” คนกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงตอบ พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็บ่ายหน้ามาทางพี่สาวที่กำลังยกยิ้มขยับปลายคางของตนขึ้นลง
“เจ้าเองก็ฟังด้วยกันเถอะ” ไป๋เสวี่ยเมื่อเห็นว่าบ่าวตัวน้อยของตนขยับตัวเพราะคิดว่าตนเป็นส่วนเกิน นางจึงพูดขึ้นอย่างใจดี
“ขอบพระคุณ คุณหนูเจ้าค่ะ” เสี่ยวทู่ยืนประสานมือด้วยความเรียบร้อยใบหน้าของนางยิ้มเบิกบานราวกับดอกทานตะวัน
“เจ้านั่งลงเถอะ” ไป๋ตงหันหน้าไปบอกนาง
“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณ คุณชายใหญ่”
“เอาละ ข้าจะเข้าเรื่องแล้วนะ” ไป๋เสวี่ยจึงได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนวี่วาออกมาเท่าที่ตนรู้จนกระทั่งจบ ซึ่งเรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์นี้ได้นำพาความเพลิดเพลินให้กับคนทั้งสามที่กำลังตั้งใจฟังอย่างยิ่งยวด
โดยที่พวกเขาทั้งสี่ภายในห้องหาได้รับรู้ถึงสายตาสองคู่ที่กำลังมองมาด้วยความคิดแตกต่าง
“กุ้ยเอ๋อร์พวกเราไปนอนกันเถอะ”
เจ้าของชื่อหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกสามีโอบไหล่จนร่างกายเสียดสีเข้ากับแผ่นอกของเขา
“เจ้าค่ะ แต่ท่านพี่ ลูกรองยอมรับข้ากับลูกแล้วจริงหรือเจ้าคะ ในตอนนี้ข้ายังคิดว่าเป็นความฝันอยู่เลย”
คนถามสะดุ้งเฮือก หลุบตาลงต่ำเมื่อนางถูกสามีหอมแก้มไม่ทันได้ตั้งตัว
“เจ้ายังคิดว่าเป็นความฝันอยู่หรือไม่ พวกเราไปนอนกันเถอะ อากาศเย็นเช่นนี้ให้ข้าได้นอนกอดเจ้าคงจะอุ่นไม่น้อย”
“ทะ..ท่านพี่พูดอะไรเยี่ยงนี้กัน” หล่อนบิดมือของตนไปมา ท่าทางเขินอายของนางได้ทำให้ชายหนุ่มข้างกายส่งเสียงหัวเราะอย่างพึงใจ
ส่วนเด็ก ๆ ภายในห้องหลังจากได้ฟังเรื่องการสร้างโลกจบพวกเขาก็อ้าปากหาวด้วยความง่วง
“ดึกมากแล้วพวกเราแยกย้ายกันเข้านอนเถอะ” ไป๋ตงพูดพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
ค่ำคืนใหม่หลังจากไป๋เสวี่ยได้หลับตาลง นางกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข
“มาแล้วก็เข้ามาสิหรือจะต้องให้ข้ายืนคำนับเชื้อเชิญ เจ้าเด็กบ้า” น้ำเสียงของผู้พูดเต็มไปด้วยความเมตตาซึ่งขัดกับถ้อยคำ
“ท่านปู่คือใครหรือคะ” เด็กหญิงใช้คำพูดจากยุคปัจจุบันถามอย่างสงสัยระคนใคร่รู้
“อาจารย์ของเจ้าอย่างไรเล่า” ชายชราตอบด้วยรอยยิ้ม
“หนูจำไม่ได้ว่ามีอาจารย์แก่มากขนาดนี้นะคะ” คำพูดของนางทำให้คู่สนทนาคิ้วกระตุก
“เจ้าจำไม่ได้ก็ไม่แปลก เอาละตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้ ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะข้าจะบอกถึงภารกิจเผชิญด่านเคราะห์ของเจ้า” เทพชราปัดแส้หางม้าสีขาวของตนไปมาเอ่ยเข้าเรื่อง
“ห๊ะ..หา เดี๋ยวนะคะ คุณปู่หมายถึงเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าคุณปู่ดูนิยายเทพเซียนมากไปหรอกเหรอคะ ถึงได้พูดอะไร แปลก ๆ แบบนี้” ทันทีที่ไป๋เสวี่ยกล่าวจบ นางก็ได้รับมะเหงกเขกลงกลางกระหม่อม
“โอ๊ย! คุณปู่พูดดี ๆ ก็ได้นี่ค่ะ ไม่เห็นต้องทำร้ายฉันเลย” เธอเอามือกุมหัวพลางตอบโต้
“ข้าเคาะเพื่อเตือนสติเจ้าต่างหาก รู้ว่าเจ็บก็ดี เรื่องที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องเหลวไหลสักหน่อย เจ้ายังไม่ต้องแย้งลองดูสิ่งนี้ก่อนก็แล้วกัน” ชายชราพูดพลางสบัดแส้หางม้ายาวของตนท่ามกลางความว่างเปล่า
เรื่องราวที่ไป๋เสวี่ยเห็นนั้นฉายราวกับเป็นภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ซึ่งตัวละครในนั้นคือตัวของตนเองตั้งแต่เด็กจนโตในยุคปัจจุบันจนกระทั่งมาถึงฉากสุดท้ายที่หล่อนกำลังสนทนาอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งในศาลาหลังงามในรูปลักษณ์เหมือนกับตอนนี้ไม่ผิดเพี้ยน
ใบหน้าของเด็กหญิงซีดเผือดเพราะไม่คิดว่าเรื่องน่าอัศจรรย์พันลึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
“อาจารย์” นางคุกเข่าลงทั้งสองข้างก้มหน้าคารวะชายชราตรงหน้าเต็มพิธีการสามครั้ง
“จำได้แล้วสินะ เอาละในเมื่อจำได้ ข้าจะคืนสิ่งของที่เคยเป็นของเจ้าให้ก็แล้วกัน” จบคำพูดของเขาก็ปรากฏกล่องยาวขนาดเท่ากับกล่องใส่ปากกากับถุงผ้าสีแดงมีตัวอักษรจ้วนสลักเอาไว้อย่างสวยงามหนักแน่น
ไป๋เสวี่ยรับของทั้งสองสิ่งนั้นมาด้วยความคิดถึง เมื่อเธอเปิดกล่องยาวขนาดปากกาหมึกซึมนั้นออก ฉับพลันก็มีสิ่งหนึ่งลอยออกมา
“ผู่เอ๋อร์!” เจ้าของชื่อสั่นระริกด้วยความดีใจละอองสีทองปลิวว่อนไปทั่วทั้งตำหนักของเทพชรา
“พอได้แล้ว! เจ้ากับนายนี่เหมือนกันไม่มีผิด วัน ๆ เอาแต่ซุกซนจนข้าปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด” ชายชราโบกแส้ของตนไปมาเอ่ยตัดบทแสดงท่าทางรำคาญจนพู่กันด้ามน้อยหลุบปลายขนของตนลง
“เหอะ! เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นสลดเลย ข้าไม่หลงกลเชื่อเจ้าหรอก เมื่อไปอยู่กับนายของเจ้าแล้วจงอย่าลืมทำหน้าที่ของตนเล่า ไม่อย่างนั้นระวังข้าจะนำเจ้ามาทำฟืน”
จบคำขู่นี้พู่กันด้ามน้อยรีบผงกปลายพู่กันราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวสารทีเดียว
เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงเรียกของเสี่ยวทู่ทำให้เจ้าของห้องสะดุ้งลืมตาตื่นทั้ง ๆ ที่นางยังไม่ทันได้รับความกระจ่างจากอาจารย์ผู้ชรา
“ฝันอย่างนั้นเหรอ” เจ้าตัวพึมพำเสียงเบา
“คุณหนูพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ” เสี่ยวทู่ผู้เดินเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นดินเผาในมือถามขึ้นอย่างสงสัยทั้งนี้เพราะนางได้ยินไม่ถนัด
“ไม่มีอะไรหรอก”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากคนเป็นนาย บ่าวตัวน้อยก็หาได้สนใจอันใด เมื่อเจ้านายลุกขึ้นจากที่นอนนางก็เดินเข้าไปเก็บมุ้งและเครื่องนอนอย่างเช่นปกติ
“คุณหนู ของสองสิ่งนี้คือสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“หืม? ของอะไรอย่างนั้นเหรอ” ไป๋เสวี่ยกำลังใช้ผ้าขนนุ่มซับน้ำตามลำคอถามอย่างมึนงง
เสี่ยวทู่จึงได้นำกล่องไม้สีดำรอบกล่องมีตัวอักษรสีทองที่ตนอ่านไม่ออกกับถุงผ้าสีแดงสลักอักษรสีทองดุจเดียวกันมาส่งให้คนเป็นนาย
“นี่เจ้าค่ะ”
ไป๋เสวี่ยสะดุ้งวาบ ความเย็นเยือกแผ่ซ่านตั้งแต่ศีรษะจนกระทั่งวิ่งไปทั่วร่าง ไม่ใช่ความฝัน แล้วภารกิจฝ่าด่านเคราะห์ของฉันคืออะไรล่ะ เจ้าตัวคิด
“คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!” เสียงร้อนรนของบ่าวตัวน้อยปลุกให้ไป๋เสวี่ยหลุดจากภวังค์
“มีอะไรหรือ” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์
“ฮือ ๆ คุณหนูอย่าทำให้บ่าวตกใจสิเจ้าคะ ข้าเรียกท่านอยู่ตั้งนานท่านก็เอาแต่เงียบ” น้ำตาของเสี่ยวทู่ไหลอาบแก้มกล่าวออกมาอย่างน่าสงสาร
“ข้าขอโทษ เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว หากใครมาเห็นโดยเฉพาะน้องเล็กเขาจะคิดว่าข้ารังแกเจ้าอีกหรอก” เสี่ยวทู่รีบยกมือของตนขึ้นปาดน้ำตา
เมื่อปลอบคนเจ้าน้ำตาเรียบร้อยไป๋เสวี่ยจึงได้นำสิ่งของที่ได้รับมาผ่านความฝันขึ้นมาพิจารณา
ทันทีเมื่อมือของเธอสัมผัสกับทั้งพู่กันและเหรียญรูทองแดงที่มีถึงหกเหรียญความเจ็บปวดก็กำจายเข้าครอบงำภายในหัวจนนางไม่อาจทนรับความเจ็บปวดจึงได้กรีดร้องออกมา
“คุณหนู!” ยังไม่ทันที่เสี่ยวทู่จะหายใจได้คล่องนางก็สติกระเจิดกระเจิงอีกคำรบ
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ไป๋เสวี่ยสลบไปเหมือนคราวก่อนทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นเพราะเสี่ยวทู่ไม่อาจจับร่างกายของผู้เป็นนายได้ด้วยสาเหตุเกิดจากมีแสงสีทองเจิดจ้าคลุมร่างของเด็กหญิงเอาไว้จนมิด
เสี่ยวทู่รีบหมุนกายวิ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว นางวิ่งไปทางห้องของผู้เป็นนายผู้เฒ่าโดยไม่หยุดพักโชคดีที่เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่
“นายผู้เฒ่าเจ้าคะ! คุณหนูแย่แล้ว!” นางตะโกนเสียงดังก่อนจะเคาะประตูห้องของชายชราอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อวิ่งมาถึงหน้าห้องของเขา