เมื่อไป๋เสวี่ยเห็นใบหน้าของน้องชายนางก็ถอนใจยาวออกมา “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ประโยคนี้เจ้าเคยได้ยินหรือไม่” นางถามพลางเดินสำรวจบริเวณสิ่งที่คนเป็นน้องสะดุด
นางยืนนิ่งไม่ไหวติงเมื่อมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นที่อยู่ใกล้เคียงกับรากไม้แห้งขนาดเท่าแขนของตน
“คุณหนู! คะ....กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของบ่าวตัวน้อยได้ทำให้เจ้าสิ่งที่ไป๋เสวี่ยเห็นกับนางสะดุ้งพร้อมกัน
เหล่านกกาแตกฮือพากันบินขึ้นฟ้าด้วยความตระหนก “พี่เสี่ยวทู่!ท่านเป็นอันใด เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เทียนพยายามยันกายของตนขึ้นจากพื้นด้วยความทุลักทุเล
ส่วนเจ้าตัวตนเหตุซึ่งเป็นงูตัวยาวขนาดคะเนด้วยสายตาราวสามเซียะมันหันมาแลบลิ้นตวัดไปมาให้พวกนางก่อนที่จะค่อย ๆ เลื้อยออกไปราวกับว่ามนุษย์ทั้งสองหาได้อยู่ในสายตา
“พี่รอง! พี่เสี่ยวทู่! พวกท่านเป็นอะไร” ไป๋เทียนพยายามเขย่งขามาทางพวกเธอถามอย่างร้อนใจ
“งู! เจ้าค่ะ มะ..มันเลื้อยหายไปทางพุ่มไม้ตรงนั้นแล้ว” เสี่ยวทู่ชี้นิ้วอันสั่นเทาเอ่ยเสียงละล่ำละลัก
“งูอย่างนั้นเหรอข้าเดินขึ้นภูเขาตั้งหลายครั้งทำไมไม่เคยเจอมาก่อน” คนตัวเล็กพูดพลางปรายตามองไปทางพี่สาวของตนที่กำลังคล้ายสติยังไม่กลับเข้าร่าง
“พี่รอง!!” เจ้าตัวเล็กตะโกนข้างหูของนางเสียงดัง
ไป๋เสวี่ยสะดุ้งโหยง “คุณหนูท่านคงตกใจใช่หรือไม่ บ่าวเองยังตกใจกลัวแทบตายโชคดีที่มันหนีไปแล้ว” เสี่ยวทู่ดึงมือของผู้เป็นนายขึ้นมาจับถามเสียงอ่อน
“อืม นิดหน่อยแต่หลังจากข้าพิจารณามองมันอยู่นานจึงได้รู้ว่ามันเป็นงูไม่มีพิษ” คำพูดของนางได้เรียกความสนใจให้กับคนทั้งคู่ที่ได้ยินอย่างยิ่ง
“แม้แต่งูท่านก็สามารถแยกแยะได้อย่างนั้นเหรอ?” คนเป็นน้องเอียงคอมองสำรวจใบหน้าของพี่สาวผู้ที่ตนรู้สึกว่านางเริ่มเปลี่ยนไปอย่างกังขา
“นิดหน่อย ข้าว่าพวกเรารีบลงจากภูเขากันเถอะ ว่าแต่เจ้าเถอะเดินเองไหวหรือไม่หรือจะให้ข้าช่วยพยุง”
“เหอะ! ข้าเดินไหวท่านนั่นแหละประคองตัวเองให้รอดเถอะเพียงแค่เจองูก็ขวัญหนีดีฝ่อซะแล้ว หากเจอหมาป่าหรือไม่ก็เสือท่านไม่ตกใจตายหรอกหรือ” แม้ใจของเขาจะรู้สึกอบอุ่นที่คนเป็นพี่ห่วงใยแต่กระนั้นวาจาของเจ้าตัวก็พ่นคำร้ายกาจซึ่งไป๋เสวี่ยก็หาได้สนใจคำพูดเหล่านี้แต่อย่างใดเนื่องจากเจ้าของร่างเดิมนั้นแผลงฤทธิ์เอาไว้มากมาย
“เจ้าเอาไม้อันนี้ช่วยพยุงก็แล้วกัน”
ไป๋เทียนรับไม้ยาวที่ได้รับมาจากพี่สาวด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนทั้งนี้เป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่น่าพูดจาร้ายกาจออกไปแบบนั้น ทว่าคำพูดเมื่อกล่าวออกไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนได้ดังนั้นเขาจึงได้แต่ก้มหน้าค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปอย่างเงียบงัน
“เจ้าเดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบ หากบาดเจ็บมากกว่านี้ขึ้นมาจะยิ่งแย่” เสียงเจื้อยแจ้วของคนเดินตามมาด้านหลังหาได้ทำให้ไป๋เทียนรู้สึกรำคาญเฉกเช่นอย่างที่ผ่านมา
หรือว่านางจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เขาคิด
ในระหว่างการเดินลงจากภูเขาทั้งเสี่ยวทู่และไป๋เสวี่ยต่างเป็นคนสะพายตะกร้าหวายที่มีฟืนกับโสมซานซีที่เก็บมาเพิ่มได้ด้วยความบังเอิญไว้บนหลังแทนเด็กชายผู้ได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าระวัง! จับกิ่งไม้ดี ๆ ทางมันค่อนข้างลาดชัน” ไป๋เสวี่ยไม่วายกล่าวเตือน “ข้ารู้แล้ว” คนฟังตอบโต้เสียงเบา
วิญญาณผู้ใหญ่ในร่างเด็กรู้สึกว่าคนเป็นน้องเริ่มจะอ่อนให้กับตนลงบ้างพอสมควรดังนั้นนางจึงคิดจะชวนเขาคุย
“น้องเล็กภูเขาที่เรากำลังเดินอยู่นี้เรียกว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ”
“ท่านเองก็รู้ไม่ใช่หรือเหตุใดถึงถามอะไรที่มันประหลาดยิ่ง” คนเป็นน้องตอบโดยที่ไม่ได้ละจากหนทางเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยก้อนดินก้อนกรวด
“ขะ..ข้าลืม” ไป๋เสวี่ยตอบไม่เต็มเสียงเนื่องจากในความทรงจำของร่างเดิมนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวเก็บกับเสื้อผ้าเครื่องประดับเป็นส่วนมาก
“คุณหนูของบ่าวช่างน่าสงสารเหลือเกิน” เสี่ยวทู่ผู้เดินตามอยู่ด้านหลังยกมือขึ้นปาดน้ำตาในขณะกล่าว
“..” ไป๋เสวี่ยไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรกับนาง เธอจึงได้แต่เดินตามหลังน้องชายไปเงียบ ๆ
“ที่นี่คือเนินเขาหลีซาน” ไม่รู้ว่าคนเป็นน้องนึกอย่างไรเจ้าตัวจึงได้เอ่ยทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้ออกมา
“เจ้าหมายความว่าที่เรากำลังเดินเหยียบย่ำอยู่นี่คือเนินเขาหลีซานอย่างนั้นเหรอ!”
“ท่านจะตกใจอะไร ก็ใช่นะสิ” คนพูดแสดงสีหน้าฉงนเขายังคงเดินจับกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมาด้วยความระมัดระวังเพราะเกรงว่าตัวเองจะกลิ้งหลุน ๆ ลงจากเนินเขาแล้วคนเป็นพี่จะเอามาล้อเลียน
โอ้! แม่เจ้า ฉันได้มาเดินอยู่บนสถานที่อันเป็นสุสานของจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ขวัญกล่าวถึงอย่างนั้นเหรอ ความคิดนี้ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากเจ้าตัวเอง
แสงอาทิตย์ยามเย็นเริ่มลาลับทิวไม้ลงทุกขณะ พวกเขาเพิ่งจะเดินได้เพียงครึ่งทาง
“เจ้าไหวหรือไม่” ไม่รู้ว่าไป๋เทียนได้ฟังคำถามของคนเป็นพี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ในขณะที่พวกเขานั่งพัก
“ไหว” เขากัดฟันตอบทั้งที่ภายในอกนั้นรู้สึกเจ็บปวดเหลือคณา เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายบนหน้าผากของเขาทำให้ไป๋เสวี่ยอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้กระนั้นนางก็ไม่คิดเปิดโปงคนเป็นน้อง
“พี่เสี่ยวทู่ ข้าว่าพี่ไปตามพี่ใหญ่กับท่านพ่อให้มาช่วยพวกเราเถอะ ท่านวิ่งไปคนเดียวจะเร็วกว่าข้ากับน้องเล็ก”
สายตาสองคู่มองไปทางคนพูดอย่างไม่เข้าใจ “ข้าเหนื่อยมาก ข้าอยากขี่หลังท่านพ่อพวกเจ้ามีปัญหาหรือไม่”
เสี่ยวทู่ส่ายศีรษะไปมาส่วนไป๋เทียนได้แต่สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง นางก็ยังเหมือนเดิมทั้งเห็นแก่ตัวและร้ายกาจ ข้านี่คงจะบาดเจ็บจนสมองเลอะเลือนถึงได้มองว่านางเปลี่ยนไป เขาคิดด้วยความผิดหวัง
คล้อยหลังบ่าวตัวน้อยไป๋เสวี่ยก็มองไปทางน้องชายผู้มีอายุน้อยกว่าสองปีของตนเมื่อเห็นว่าเขายังไม่หันมามองนางก็คิดหาวิธีมาหลอกล่อ
“ข้าจะเล่าความลับหนึ่งให้เจ้าฟังดีไหม” คนตัวเล็กกว่ายังคงนิ่งแม้ว่าภายในอกจะเริ่มมีความอยากรู้
“ไม่ฟังจริงอย่างนั้นเหรอ ความลับนี้ก็เป็นเรื่องที่เจ้าสงสัยนั่นแหละว่าทำไมข้าถึงมีความรู้เรื่องสมุนไพรและยังรู้จักงูตัวนั้นด้วย” เด็กหญิงพูดเพื่อกระตุ้นความสนใจอีกคำรบ
“ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ” เขาตัดบทคล้ายรำคาญ
เจ้าน้องชายคนนี้ช่างท่ามากเหลือเกิน นางคิดพลางยกมุมปากขึ้นสูง “เอาละ ข้าจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ ในตอนที่ข้าหมดสติอยู่นั้นได้เจอเข้ากับท่านปู่เครายาวสีเงินยวงคนหนึ่ง ผมของท่านเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ” คนพูดเว้นช่วงเมื่อเห็นว่าคนเป็นน้องเริ่มจะให้ความสนใจในสิ่งที่ตนเองกล่าวออกมา
“แล้วยังไงต่อ” ใบหน้าของเขาแสดงความขัดใจเมื่อจู่ ๆ พี่สาวก็หยุดไปเสียดื้อ ๆ
“เจ้าไม่ต้องทำสีหน้าเช่นนั้น เอาล่ะข้าจะเล่าต่อ แล้วในตอนนั้นท่านเดินเข้ามาหาข้าก่อนที่ท่านจะพาข้าไปยังสถานที่ ต่าง ๆ เริ่มจากที่แห่งหนึ่งซึ่งที่แห่งนั้นดูแปลกตาเป็นอย่างยิ่งมีทั้งตึกสูงเสียดฟ้า มีนกยักษ์บินได้ผู้คนแห่งนั้นเรียกกันว่าเครื่องบิน มีรถไฟที่แล่นฉิวไปตามรางเหล็ก เรือยนต์ลำใหญ่ล่องไปทางแม่น้ำและมหาสมุทร” ถ้อยคำที่ไป๋เสวี่ยกล่าวออกมาทำให้คนเป็นน้องเบิกตากว้างดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า
“พี่รองท่านไม่ได้เพ้อไปเองใช่หรือไม่ เรื่องที่ท่านเล่ามาข้าว่าดูเหลวไหลเหลือเกิน”
“เสี่ยวซาน!” เสียงเรียกชื่อภายในครอบครัวสำหรับนามของเขาดังลั่น “ท่านพ่อ!” สองพี่น้องส่งเสียงเรียกออกมาพร้อมกัน
“ซานซาน เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนั้นกับพี่สาว เจ้าไม่รู้หรือว่าการที่นางโดนพาไปยังสถานที่แปลกประหลาดเช่นนั้นย่อมหมายความว่านางเกือบจะตายไปจากพวกเราแล้ว”
คำพูดของบิดาทำให้เด็กน้อยตัวชาวาบด้วยความกลัวแม้ว่าเขาจะไม่ชอบพี่สาวต่างมารดาทว่าก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดจะให้นางตกตาย
เด็กชายผู้วางท่าเข้มแข็งมาโดยตลอดเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยปากเริ่มเบะก่อนจะแผดเสียงร้องไห้จ้าจนทำให้คนในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันตกใจ
“น้องเล็ก! เจ้าเงียบเถอะ อย่าร้องไห้เลยเจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่ยังไม่ตาย” ไป๋เสวี่ยผู้รู้สติก่อนใครรีบเข้าไปโอบกอดเขาพลางโยกตัวคนในอ้อมแขนไปมาเพื่อปลอบประโลม
“พี่รอง ข้าขอโทษข้าไม่รู้จึงไม่เชื่อท่าน ข้าขอโทษ” เด็กชายพูดไปก็ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร
“เจ้าไม่ผิดเลย เป็นข้าเองที่เล่าเรื่องเช่นนี้ออกมาเอง เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”
สองพี่น้องสลับกันปลอบโยนกันไปมาโดยมีพ่อกับพี่ชายยืนละล้าละลังด้วยความเป็นห่วงกอปรกับความยินดีที่คนทั้งคู่พูดและทำดีต่อกัน
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากที่ไป๋ซวนแบกลูกชายคนเล็กกลับลงมาจากภูเขาพวกเขาพากันเดินจนกระทั่งถึงบ้าน
“ท่านพ่อสามี ซานซานเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เหมยกุ้ยถามขึ้นด้วยความร้อนรนเมื่อเห็นข้อเท้าของบุตรชายบวมแดงจนม่วงช้ำ
“เจ้านำโสมที่เสี่ยวเป่าให้มาไปต้มตามที่ข้าบอกเถอะ ส่วนแผลภายนอกข้าได้ทำยาพอกไว้แล้วช่วงนี้ก็ให้เขาพักอยู่แต่ในห้องอีกไม่กี่วันก็หายจนวิ่งซุกซนได้เหมือนเดิมนั่นแหละ” คนพูดล้างมือลงในอ่างดินเผาตอบตามตรง
“เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านพ่อสามีโสมต้นนี้มีค่ามากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ลูกรองยอมให้ลูกสามกินอย่างนั้นเหรอ ข้าไม่อยากให้นางเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจหากว่าไม่ได้นำไปขาย”
“แม่รองเป็นข้าบอกท่านปู่เองเจ้าค่ะ แม้ว่าโสมจะเป็นของล้ำค่าทว่าร่างกายนั้นล้ำค่ามากกว่าดังนั้นหากร่างกายแข็งแรงข้าเชื่อว่าเราสามารถจะหาโสมอีกกี่ต้นก็ย่อมได้” น้ำเสียงสดใสของเด็กหญิงดังมาก่อนตัว
“ลูกรอง แม่ขอบใจเจ้ามากนะ” น้ำตาของเหม่ยกุ้มอาบทั่วทั้งใบหน้าทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะคำว่าแม่ที่เด็กหญิงเรียกนั่นเอง พี่ใหญ่เจ้าคะ ในที่สุดเป่าเปาก็ยอมเรียกข้าว่าแม่แล้ว นางนึกถึงผู้เป็นพี่สาวผู้จากไป
สายตาของชายวัยชรามองหลานสาวคนเดียวอย่างพออกพอใจ “เจ้ารีบไปต้มยาเถอะ ข้าเองก็จะไปพักแล้วเหมือนกัน”
เสียงประตูห้องของเด็กชายผู้เป็นน้องเล็กของเรือนปิดลง ไป๋เสวี่ยจึงได้ถือโอกาสนี้นั่งลงข้างเตียงของเขาโดยที่เจ้าของห้องไม่ทันได้เชื้อเชิญ
“พี่รองทำไมท่านยังอยู่อีก” น้ำเสียงของเขาแม้ว่าฟังดูจะยังไม่อ่อนโยนแต่ทว่าก็หาได้แข็งกร้าวเหมือนก่อน
สาเหตุก็เป็นเพราะเจ้าตัวเกิดความละอายใจที่คิดว่าพี่สาวเรียกพ่อกับพี่ใหญ่มาเพื่อตัวนางทว่ากลับเป็นเพราะนางเรียกมาเพื่อตัวเขาเองต่างหาก
“เจ้าไม่อยากฟังเรื่องเล่าของข้าต่อเหรอ เทพตนนั้นยังได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับตำราซานไห่จิง[1]ด้วยนะ ข้าได้ยินมาจากท่านปู่กับพี่ใหญ่ว่าเจ้าสนใจเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เหรอแต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากรู้ถ้าอย่างนั้นข้าไปก็ได้” คนพูดยืดตัวเตรียมลุกจากม้านั่ง
“ที่ท่านพูดมานั้นจริงเหรอ” คนกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงหูผึ่งขึ้นในบัดดล
แผนหลอกล่อกระชับความสัมพันธ์กับน้องชายสำเร็จไปหนึ่งขั้นสินะ ไป๋เสวี่ยคิดก่อนตอบออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างทั้งปากและตา “ย่อมจริงอย่างแน่นอน”
[1] ซานไห่จิงเป็นคัมภีร์ที่เล่าเรื่องตำนานสัตว์แปลก ๆ บนภูเขาและท้องทะเล