“อืม พอได้ยินที่เจ้าเอ่ยในงานจิบชาชมดอกไม้ ข้าก็คิดได้ทันที เหตุใดข้าต้องพยายามมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อบุรุษที่ไม่คิดจะไยดีความรู้สึกข้า”
“เจ้าคิดได้ข้าก็ดีใจ กล่าวตามตรงข้าก็ได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจคุณหนูสวี่จนทำให้สตรีนางนั้นทะเลาะกับชินอ๋องซื่อจื่อ”
“เรื่องที่บุรุษผู้นั้นไปกินข้าวและไปส่งสวี่ลู่ฟางถึงจวนเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่ชินอ๋องซื่อจื่อเป็นคนรักของนาง ข้าก็ได้ยินผู้คนภายนอกเล่าลือ แต่ทว่าในวังหลวงกลับเงียบไม่มีท่าทีต่อเรื่องนี้ ราวกับว่ามันเป็นเพียงการปล่อยข่าวของใครคนหนึ่ง”
‘ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าสหายผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของสหายสนิทของฮองเฮา’ ซึ่งได้รับความรักและความเอ็นดูอย่างล้นเหลือจึงทำให้สามารถเข้าออกวังได้อย่างตามใจตั้งแต่เด็ก
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อองค์รัชทายาทเจอสตรีที่พึงใจอย่างแท้จริง ความเอ็นดูอันมากล้นนี้จึงกลายเป็นบ่วงพันธนาการนางร้ายผู้นี้เอาไว้ให้ต้องทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ
“แต่ข้ากลับคิดว่าคุณหนูสวี่มีใจให้ชินอ๋องซื่อจื่อนั้นเป็นเรื่องจริง” นางกล่าวพลางยกชาขึ้นจิบ
“สวี่ลู่ฟาง สตรีดอกบัวขาวผู้นั้นคิดจะใช้มารยาดั่งนางจิ้งจอกล่อลวงบุรุษคนใดกันแน่”
“หากทำได้ข้าว่านางคงจะอยากได้ทั้งสองคน บุรุษที่มีทั้งอำนาจและทรัพย์สมบัติสองคนตกอยู่ในกำมือ เหตุใดสตรีเช่นสวี่ลู่ฟางจะไม่ต้องการ”
“บุรุษที่พึงใจสวี่ลู่ฟางได้ นอกจากโง่เง่าแล้วจะมีอันใดอีก”
“นั่นสิ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า” กล่าวจบนางก็หัวเราะออกมาอย่างไม่คิดรักษามารยาท
“มาคิดดูแล้วข้าโชคดีจริงๆ ที่วันนั้นตัดสินใจไปงานจิบน้ำชาที่จวนหลิวกับเยว่ฉิง จึงได้พบเจอเจ้า”
“เราอาจจะมีวาสนาต่อกันจึงได้มาเป็นสหายกัน” และยังมีชะตากรรมที่ไม่เป็นธรรมเหมือนกัน
“ข้าเห็นด้วย งานวันปักปิ่นของข้าเจ้าอย่าลืมมานะ”
“ข้าต้องไปอยู่แล้ว แต่พี่ใหญ่อาจจะไปด้วย”
“งานปักปิ่นของข้าเรียบง่ายไม่ใหญ่โต มีเพียงคนในตระกูลและสหายอย่างเจ้าและเยว่ฉิง หากพี่ชายเจ้าอยากมาด้วยข้าก็ยินดี” บรรดาคุณหนูตระกูลอื่นที่หาความจริงใจไม่ได้ นางไม่อยากเชิญให้เสียเวลา
“เจ้าไม่ได้เชิญองค์รัชทายาทผู้นั้นหรือ”
“เหตุใดข้าต้องเชิญเขาด้วย”
“อย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีประกาศยกเลิกการเป็นคู่หมายมิใช่หรือ” หากไม่เชิญจวนเจิ้งจะไม่มีปัญหาในภายหน้าหรือ
“ชิงหนี่ว์ ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะยกเลิกพันธะนี้ได้”
“หากเป็นข้า ข้าจะส่งเสริมให้เขาได้ครองรักกับสตรีที่พึงใจ”
“แต่หากเขาไม่ยอมปล่อยข้าไปล่ะ” อำนาจจากตระกูลเจิ้งนั้นหอมหวานกว่าตระกูลสวี่ของหมอหลวงผู้นั้นมากนัก
“เจ้าก็ต้องทำให้เขาทำผิดต่อเจ้า หากเป็นเช่นนั้นข้าเชื่อว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะต้องไม่อยู่เฉย”
“เช่นนั้นข้าต้องวางแผนให้ดี การยกเลิกครั้งนี้จะได้สำเร็จ”
“ข้าขอถามอะไรบางอย่างได้หรือไม่”
“หากเป็นเจ้า ถามมาได้เลยข้ายินดีตอบ” เจิ้งเข่อชิงเอื้อมมาจับมือนางพร้อมกับถูหลังมือเบาๆ
“แท้จริงแล้วเจ้ามีใจให้องค์รัชทายาทหรือไม่”
“หากเป็นก่อนเจอเจ้า ข้าคงตอบว่ามีอยู่บ้าง และยินดีที่จะทำตามที่เขาต้องการ แต่พอเจอเจ้าความคิดของข้าก็เปลี่ยนไป คำพูดของเจ้าทำให้ข้าหันกลับมามองตนเอง จึงได้รู้ว่าเหตุใดข้าจะต้องยึดติดกับบุรุษผู้นั้น ข้าจะต้องละทิ้งความต้องการของตนเพื่อบุรุษที่ไม่เห็นค่าของข้าเช่นนั้นหรือ เมื่อข้าได้คำตอบแล้วจึงขอร้องท่านพ่อให้ไปทูลขอฮ่องเต้โดยอ้างถึงเรื่องราวเสื่อมเสียที่ถูกเล่าลือระหว่างองค์รัชทายาทกับสตรีผู้นั้น แต่ฮ่องเต้กลับขอให้เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีงามให้โอกาสองค์รัชทายาทปรับปรุงตัว สุดท้ายแล้วจึงไม่อาจถอนหมั้นได้”
“ทุกอย่างย่อมมีทางออก แต่จงจำเอาไว้ว่าการยกเลิกการหมั้นหมายจะต้องเป็นฝ่ายบุรุษทำผิด อย่าทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียเพราะอยากหลุดพ้นจากบุรุษแค่คนเดียว”
“เจ้าช่างดีกับข้า” เจิ้งเข่อชิงส่งยิ้มให้กับนาง
“แล้วในงานวันปักปิ่น เจ้าจงเลือกปิ่นปักผมที่เรียบง่ายแต่สง่างาม อย่าได้เลือกปิ่นที่มีสัญลักษณ์เกี่ยวกับบัลลังก์เด็ดขาด”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังให้ดี” หากบุรุษผู้นั้นเล่นตุกติกนางก็ไม่คิดไว้ไมตรีอีก อย่าได้คิดเอานางไปเป็นเครื่องมือเพื่อค้ำจุนบัลลังก์
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ