“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังให้ดี” หากบุรุษผู้นั้นเล่นตุกติกนางก็ไม่คิดไว้ไมตรีอีก อย่าได้คิดเอานางไปเป็นเครื่องมือเพื่อค้ำจุนบัลลังก์
บทสนทนาในวันนั้นก็จบเพียงเท่านี้ แต่นางไม่คิดเลยว่าบุรุษที่สหายบอกว่าไม่ได้เชิญกลับมานั่งโดดเด่นอยู่ในงานปักปิ่นทั้งยังพาตัวซวยอย่างชินอ๋องซื่อจื่อมาด้วย พี่ใหญ่ก็มาไม่ได้โดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังด่วน เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอันตรายใดในจวนสหายนางจึงยืนยันที่จะมาคนเดียว
ส่วนหวังเยว่ฉิง ก็ล้มป่วยกะทันหันจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้ ในคราแรกนางจึงต้องนั่งเพียงลำพัง แต่โชคดีที่เปี่ยวเม่ย[1]ของสหายเข้ากับผู้อื่นง่ายนางจึงมีเพื่อนไม่เคว้งคว้างเท่าใดนัก
“ขออภัยที่เปิ่นหวางมาร่วมงานโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”
‘ไม่ได้แจ้งหรือเขาไม่ได้อยากเชิญกันแน่’ ดวงตาเมล็ดซิ่งของนางมีแววเอือมระอาพาดผ่าน
“หึ” ชินอ๋องเค้นเสียงในลำคอ สายตาจับจ้องสหายของคุณหนูเจิ้งอย่างเปิดเผย
เมื่อถึงเวลาเจิ้งเข่อชิงก็ถูกประคองออกมานั่ง นัยน์ตาหงส์ฉายแววตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของคู่หมายที่นางตั้งใจไม่ให้บิดาส่งเทียบเชิญ
แล้วก็เป็นดั่งที่ชิงหนี่ว์ที่น่าเอ็นดูของนางบอก ปิ่นหงส์ล้ำค่าถูกวางรวมกับปิ่นที่บิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าเตรียมให้ แน่นอนว่านางปฏิเสธและไม่เลือกปิ่นนั้น ทำให้ผู้นำปิ่นมาจ้องมองนางด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ใครจะสนเล่า หากไม่พอใจก็รีบๆ ถอนหมั้นไป นางจะได้หาวิธีเกี้ยวพาสตรีน่าเอ็นดูได้เต็มที่
ครั้นเสร็จสิ้นพิธีการแล้วคุณหนูเจิ้งจึงถูกพาไปเปลี่ยนอาภรณ์ ในระหว่างที่นางกำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีสาวใช้ของจวนเจิ้งมาตามนาง
“คุณหนูรอท่านอยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ” สตรีผู้นี้คือสาวใช้ของสหายไม่ผิดแน่
“มีอันใดหรือไม่”
“คุณหนูกล่าวว่าอยากให้ท่านไปพูดคุยกันที่เรือนดีกว่าเจ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นไปกันเถิด” นางมองซ้ายมองขวาหาเปี่ยวเม่ยผู้นั้น แต่ก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจที่จะเดินตามสาวใช้ของสหายออกจากโถงงานเลี้ยง
“เข่อชิงกำลังลำบากอยู่หรือ”
“เอ่อ...คุณหนูกำลังอารมณ์ไม่ดีเจ้าค่ะ น่าจะเกิดจาก...” เสี่ยวยาไม่กล้าที่จะเอ่ยต่อ
“อืม...ข้าเข้าใจแล้ว นำไปเถิด” คุณหนูจางกล่าวก่อนจะเดินตามสาวใช้คนสนิทของสหายไป
ในนิยายทั้งหลายเมื่อใดก็ตามที่นางเอกหรือพระเอกเดินตามสาวใช้ออกไปมักจะเกิดเรื่อง แต่เสี่ยวยาเป็นสาวใช้คนสนิทของเข่อชิงคงไม่เกิดเรื่องอันใดกับนางหรอกนะ ยกเว้นแต่ว่าสหายคนนี้ของนางจะถูกสาวใช้หักหลัง
พอคิดถึงตรงนั้นฝีเท้าของนางเริ่มชะลอลงเพื่อทิ้งระยะห่าง หากเกิดเรื่องนางจะได้หนีได้ทัน แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของนางจะเป็นการเปิดช่องว่างให้คนที่รอโอกาสนี้อยู่
ในช่วงที่กำลังจะเดินเลี้ยวซ้ายตามหลังสาวใช้ จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ของบุรุษมาปิดปากนางไว้ มืออีกข้างรวบเอวแล้วยกให้เท้าของนางลอยจากพื้น ด้วยความตกใจนางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ ก่อนสายตาจะเห็นว่ามีบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์ล้ำค่าเดินตามสาวใช้ของสหายแทนนาง
‘ชั่วช้ายิ่งนัก ข้าเกลียดพวกบุรุษสูงศักดิ์’ นางไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาให้ลำบาก ว่าคนที่กำลังลากตัวนางแยกออกมาเป็นใคร
จางชิงหนี่ว์ถูกบุรุษที่นางแทบไม่อยากใกล้ชิดพาตัวมายังสวนที่ไม่มีผู้คน ก่อนจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
“ชินอ๋องซื่อจื่อพระองค์ไม่ควรทำกิริยาหยาบคายเช่นนี้ต่อสตรีเลยนะเพคะ” นางกล่าวพลางใช้มือลูบเอวตนที่ถูกรัดจนเจ็บ
“ขออภัย เปิ่นหวางไม่อาจขัดคำสั่งของผู้สูงศักดิ์ได้”
“ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์ตั้งใจแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ” กลับจวนตนเองคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ใกล้เจ้าตัวซวยนี่
หากมีใครมาเห็นนางอยู่กับบุรุษผู้นี้ แล้วเรื่องราวถูกเล่าลือจนเข้าหูพี่ใหญ่ มิแคล้วนางคงโดนโกรธ ไหนจะฮ่องเต้ที่พยายามจะยัดเยียดบุรุษผู้นี้ให้นางอยู่ร่ำไป แม้จะมีราชโองการให้เลือกคู่ครองเอง แต่นางก็ไม่ไว้ใจคนในราชวงศ์หรอก คนพวกนี้มากเล่ห์กลับขาวเป็นดำได้เสมอ
“เจ้ายังไปไม่ได้” บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ใช้มือโอบรั้งเอวนางเอาไว้อีกครั้ง
“เพราะเหตุใดเพคะ”
“ข้าบอกว่ายังไปไม่ได้ ก็คือข้ายังไม่ให้ไป” เพราะมัวแต่คิดจะหลีกหนีจึงไม่ทันได้สังเกตว่าบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้กล่าววาจากับนางอย่างธรรมดาสามัญ
“แต่หม่อมฉันแค่กำลังจะกลับจวนไม่คิดจะไปขัดขวางองค์รัชทายาท” นางกล่าวพลางแกะมือที่พันธนาการเอวตนอยู่
“...” เขาไม่ตอบนางแต่กลับยกตัวนางให้ลอยขึ้นแล้วพาไปที่ศาลาริมน้ำ
“ชินอ๋องซื่อจื่อ ได้โปรดปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ” สิ้นเสียงนางเขาก็ปล่อยนางลงเมื่อเดินถึงจุดหมาย
“เรารู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็ก เจ้าควรเรียกข้าเช่นเดิม” อย่างน้อยก็ก่อนที่นางจะรู้ว่าเขาคือใคร
“ขอประทานอภัยเพคะที่ตอนนั้นหม่อมฉันยังไร้เดียงสาจึงทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป” และเพราะเรื่องราวในตอนนั้นทำให้นางได้แต่ก่นด่าตนเองมาจนถึงทุกวันนี้หากวันนั้นนางไม่หนีจื่อรั่วไปที่ท้ายจวนของท่านปู่ นางก็คงไม่ได้เจอเขา
คำกล่าวของสตรีตรงหน้าทำให้ชินอ๋องซื่อจื่อกัดฟันแน่นอย่างพยายามควบคุมอารมณ์เพื่อที่ตนจะได้คุยกับสตรีดื้อรั้นอย่างใจเย็น
“ชิงหนี่ว์ มันเกิดอันใดขึ้น เหตุใดพอรู้ว่าข้าคือชินอ๋องซื่อจื่อเจ้าถึงได้ทำตัวห่างเหิน” เขาไม่ได้คิดไปเอง เพราะหลังจากวันนั้นนางก็ไม่ไปที่จวนจางของท่านราชครูจางอีกเลย
มันคือเรื่องที่ค้างคาใจเขามาเก้าปี และก็เป็นเก้าปีที่เขาไม่เคยพบเจอนาง สตรีผู้นี้ทำตัวราวกับหายไปจากเมืองหลวง
“หม่อมฉันเพียงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์เจ้าค่ะ”
“หึ” โกหกทั้งเพ นางเกลียดเขาเพียงเพราะเขาเป็นชินอ๋องซื่อจื่อ
[1] ญาติผู้น้องฝ่ายมารดา
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ