บทที่ 3 พิธีปักปิ่น
“หลีอัน...เจ้าห้ามแพร่งพรายเรื่องเมื่อสักครู่เป็นอันขาด...เข้าใจหรือไม่” ภัทรากล่าวเสียงเข้มย้ำกับสาวใช้ของตนเองอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ...บ่าวจะปิดปากให้สนิทเจ้าค่ะ” หลีอันก้มหน้าต่ำ สองมือประสานกันแน่นพร้อมกับรีบพยักหน้ารับปากอย่างแข็งขัน แม้ภายในใจจะรู้สึกวิตกกังวลอยู่มากก็ตาม แต่ในเมื่อเจียงอันเล่อเป็นนายหญิงของตน ดังนั้นตนจึงมีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งของเจียงอันเล่อเท่านั้น
เสียงฆ้องดังขึ้นย้ำเตือนเวลาสำคัญในพิธีปักปิ่น ภัทราในร่างเจียงอันเล่อสวมชุดแพรไหมสีชมพูอ่อนปักลวดลายดอกเหมย ผมยาวดำขลับถูกเกล้าอย่างวิจิตรพร้อมด้วยปิ่นหยกชั้นเลิศ
ภัทราเดินตามหลีอันไปยังห้องโถงใหญ่ หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและเป็นกังวล
ห้องโถงใหญ่ของจวนสกุลเจียงในวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้น แขกเหรื่อผู้มีเกียรติมากมายหลั่งไหลเข้ามาร่วมแสดงความยินดี เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ผสมกับเสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ กลิ่นหอมของเครื่องหอมที่จุดไว้ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ
ภัทราในร่างของเจียงอันเล่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของจวนสกุลเจียง ร่างของเธอดูสง่างามจนผู้คนพากันจับจ้อง ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มบางที่ปกปิดความกังวลในใจไว้
“ดูสิ คุณหนูเจียงงดงามเสียจนเหมือนเทพธิดา” เสียงกระซิบของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
“ใช่แล้ว หากนางเข้าวังหลวง ข้าว่าคงได้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแน่ ๆ” อีกเสียงหนึ่งตอบกลับ
สายตาหลายสิบคู่จับจ้องมาที่เธอพร้อมเสียงกระซิบกระซาบที่ดังเป็นระลอก ๆ ความกดดันอันหนักหน่วงเกาะกินเธอจนลมหายใจสะดุด แต่เธอก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตนเองก่อนก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างหนักแน่นและมั่นคง
พื้นห้องโถงปูด้วยพรมสีแดงเข้มลายดอกเหมย ทอดยาวไปยังแท่นที่นั่งของเจียงเสิ่นเย่วและเจียงหว่านชิง บุคคลทั้งสองแต่งกายงดงามสมฐานะ เจียงเสิ่นเย่ว ผู้เป็นบิดา มีใบหน้าคมเข้มเคร่งขรึม ผมสีดำสนิทแซมด้วยเส้นเงินเล็กน้อย เขาสวมชุดคลุมยาวสีม่วงเข้มปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรทรงพลัง ดวงตาสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยอำนาจจ้องมาที่ภัทราอย่างสงบนิ่ง
ในขณะที่เจียงหว่านชิง ผู้เป็นมารดา งดงามไม่ต่างจากภาพวาด นางสวมอาภรณ์สีชมพูอ่อนปักลายดอกโบตั๋น มือเรียววางอย่างสง่างามบนตัก ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ภัทราเดินมาหยุดตรงหน้าคนทั้งสอง ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น เธอเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “เล่อเอ๋อร์...ขอคำนับท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”
เจียงเสิ่นเย่วพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกรักใคร่และเอ็นดูในตัวบุตรสาวของตน ขณะที่เจียงหว่านชิงยิ้มอ่อนโยนให้กับนางพร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวอย่างนุ่มนวล “เล่อเอ๋อร์...วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้า...ต่อไปเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว...เจ้าจะเอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อนมิได้แล้วนะ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” ภัทราตอบ แม้ภายในใจของเธอจะสั่นไหวอยู่มาก แต่ภัทราก็ยังคงรักษาสีหน้าและน้ำเสียงเอาไว้อย่างมั่นคง
บรรยากาศในห้องโถงถูกเติมเต็มด้วยกลิ่นหอมของเครื่องหอมที่ลอยอ้อยอิ่ง ประกอบกับเสียงพิณที่บรรเลงเบา ๆ เพิ่มความสง่างามให้พิธี ทันใดนั้น นางกำนัลผู้ดูแลพิธีเดินเข้ามาพร้อมปิ่นทองที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง
“คุณหนูเจียง โปรดก้มศีรษะลงเจ้าค่ะ” แม่นมข้างกายเจียงหว่านชิงเอ่ยออกมาอย่างสุภาพและนอบน้อม
ภัทราทำตามคำบอกอย่างไม่อิดออด ภัทราก้มศีรษะลงต่ำ ปล่อยให้แม่นมจัดแต่งผมอย่างช้า ๆ เสียงพูดคุยรอบด้านเงียบลงในทันที ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวที่กำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ เจียงหว่านชิงปักปิ่นทองลงบนมวยผมของเธออย่างเชื่องช้าและเบามือ
“เล่อเอ๋อร์...เจ้าดูงดงามมากเลย บุตรสาวของข้าโตเป็นสาวถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” เจียงหว่านชิงกล่าวพร้อมน้ำตาที่รื้นขึ้นมาด้วยความปลื้มปีติ
“ท่านแม่...” ภัทรากล่าวออกมาอย่างรู้สึกเต็มตื้นภายในใจกับท่าทีรักใคร่ของเจียงหว่านชิง เธอยกมือขึ้นกอบกุมมือทั้งสองของนางเอาไว้แน่น
“เล่อเอ๋อร์...วันนี้มีแขกมากมาย เจ้าอย่าลืมแสดงมารยาทให้เหมาะสมด้วยเล่า” เจียงเสิ่นเย่วกล่าวเสริมออกมาในทันทีด้วยน้ำเสียงเอ็นดู แต่ก็อดใจมิได้ที่จะห้ามปรามบุตรสาวเอาไว้ล่วงหน้า ด้วยเขารู้ดีว่าบุตรสาวของตนนั้นทั้งดื้อรั้นและเอาแต่ใจมากเพียงใด
เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นรอบห้องโถงเมื่อพิธีสิ้นสุด ภัทราเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของปิ่นที่บัดนี้เป็นเครื่องหมายของความเป็นผู้ใหญ่ เธอกำมือแน่นในอ้อมแขนเสื้อ ให้คำมั่นกับตัวเองอีกครั้ง
“เล่อเอ๋อร์” เสียงของเจียงเสิ่นเย่วดังขึ้น “พ่อหวังว่าเจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าให้สมเกียรติของคนสกุลเจียง”
“ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ผิดหวังเจ้าค่ะ” ภัทราตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมตั้งปณิธานในใจอย่างแน่วแน่ “ตั้งแต่นี้ไป ฉันคือเจียงอันเล่อ บุตรสาวของท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วและฮูหยินเจียงหว่านชิง”
ภายในใจลึก ๆ ของภัทราไม่ได้หมายเพียงหน้าที่ในฐานะบุตรสาวของสกุลเจียง แต่หมายถึงภารกิจสำคัญในการขัดขวางชะตากรรมอันโหดร้ายที่รออยู่สำหรับหานอี้หลง ชายหนุ่มที่เธอรู้จักจากเพียงในหน้านิยายที่อ่าน แต่นางกลับตกหลุมรักหานอี้หลงอย่างมิอาจถอนใจไปได้
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ เจียงเสิ่นเย่วและเจียงหว่านชิงก็พาเจียงอันเล่อมาคำนับเหล่าบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายภายในงาน
“คุณหนูเจียงนั้นงดงามหาที่เปรียบเปรย ต่อไปท่านโหวคงต้องรับแขกทุกวี่วันเป็นแน่”
“ใต้เท้ามู่กล่าวชมเกินไปแล้ว บุตรสาวของข้านั้นช่างดื้อรั้นเอาแต่ใจ ข้าคงต้องปวดหัวไปอีกหลายปีทีเดียว”
เสียงเอ่ยล้อของเหล่าขุนนางทั้งหลาย สร้างความปลื้มปีติให้แก่เจียงเสิ่นเย่วเป็นอันมาก เขายิ้มกว้างออกมาจนแทบจะเห็นฟันทุกซี่ในปาก ผิดกับเจียงอันเล่อที่ทำเพียงยืนนิ่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนที่ประทับบนใบหน้าแต่เพียงเท่านั้น
ตอนที่ 53 บทสรุปของนิยายค่ำคืนในเมืองหลวงสงบเงียบลงหลังจากความวุ่นวายภายในวังหลวงได้จบสิ้นลง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เจียงเสิ่นเย่วถูกริบทรัพย์สินจนหมดสิ้นเหลือเพียงเงินทองบางส่วนเพื่อประทังชีวิตอย่างไม่ยากลำบากนัก เขาถูกกักบริเวณอยู่ภายในจวนสกุลเจียงโดยมีทหารควบคุมเพื่อมิให้ติดต่อผู้ใดซึ่งอาจเป็นการกบฏขึ้นอีกในภายหลัง ส่วนเหล่าขุนนางที่เกี่ยวข้อง บ้างก็ถูกประหาร บ้างก็ถูกเนรเทศจนมิเหลือสิ้นในขณะที่องค์หญิงห้าหงอวิ๋นชิว เจียงอันเล่อรู้ดีว่านางมีความทะเยอทะยานอยากมีอำนาจเพื่อปกป้องตนเองจากความโหดร้ายของวังหลวงมากเพียงใด การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงทำให้นางได้รับความโปรดปรานจากหงจูเหลียง รวมถึงได้รับพระราชทานตรายศสำหรับละเว้นโทษให้กับนางอีกด้วยในขณะที่หงฟางซินแม้จะเป็นบุตรชายคนเล็ก แต่เพราะความเฉลียวฉลาดและผลงานชิ้นดังกล่าว เดิมทีหงจูเหลียงตั้งใจจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เขา แต่หงฟางซินกลับปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทจึงยังคงเป็นของพี่ชายของตนสืบต่อไป ส่วนฮองเฮาเม่งฉีเต๋อนั้นไม่ว่าจะเป็นบุตรคนใดของนางเป็นรัชทาย
ตอนที่ 52 ล้อมจับท้องฟ้ายามราตรีถูกแต่งแต้มด้วยแสงพลุที่แตกกระจายเป็นประกายระยิบระยับ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะของจางลู่เหวินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง หงจูเหลียงประทับบนบัลลังก์สูงสุด ล้อมรอบไปด้วยเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเลี้ยง เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงขับกล่อม ผสมกับเสียงหัวเราะของเหล่าขุนนางและแขกที่มาร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นเจียงเสิ่นเย่วได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย เขาสวมอาภรณ์หรูหราตามฐานะ ใบหน้าคงความสง่างามและเยือกเย็นเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แผนการใหญ่ของเขากำลังใกล้จะเริ่มต้นขึ้น การที่หงจูเหลียงเชิญเขามาร่วมงานในค่ำคืนนี้มิรู้ว่าจะมีแผนการร้ายอันใดหรือไม่ แต่คนอย่างเขาเมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็มิอาจลงได้โดยง่าย เจียงเสิ่นเย่วจึงข่มใจปั้นหน้านิ่งขรึมและวางท่าอย่างสง่างามเพียงเท่านั้น“ท่านพ่อ...” เจียงอันเล่อมองบิดาของตนจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาแห่งความรู้สึกผิดและวิตกกังวล นางรับรู้ได้ถึงพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังใกล้เข้ามา ดวงตาของหานอี้หลงที่ยืนอยู่ด้านข้างของนางฉายแววความห่วงใยในตัวหญิงสาวข้างก
ตอนที่ 51 เดินแผนการสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาที่บานหน้าต่างกระทบกับผิวบางที่เปลือยเปล่าของเจียงอันเล่อ นางขยับกายซุกไซ้เข้ากระชับกับแผงอกหนาอุ่นนุ่ม ก่อนจะเหลือบมองหานอี้หลงที่นอนอยู่เคียงข้าง ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ดวงตาปิดสนิทกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เจียงอันเล่อยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกตื้นตันใจ นางมิกล้าคิดหวังว่านางจะสมหวังเช่นนี้ เจียงอันเล่อหลับตาลงอีกครั้ง ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับหลับใหลไปในที่สุดช่วงสายของวันใหม่หงฟางซินมายืนรออยู่ที่ด้านหน้าจวน เมื่อเขาเห็นเจียงอันเล่อและหานอี้หลงเดินออกมาพร้อมกัน คิ้วทั้งสองข้างของหงฟางซินก็กระตุกขึ้นมาในทันที สายตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน “เล่อเอ๋อร์...ดูท่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะดีขึ้นมากกว่าที่ข้าคิดไว้” หงฟางซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน พลางพ่นลมหายใจออกมาเบาๆหานอี้หลงปรายตามองหงฟางซินอย่างไม่สบอารมณ์ เขายิ้มเยาะก่อนเอ่ยกลับออกมา “ข้ากับฮูหยินรักใคร่กันดี แล้วท่านเกี่ยวอันใดด้วยเล่า”“เจ้า” หงฟางซินกัดฟันแน่น นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง มือที่กำหมัดแน่นสั่นเล็กน้อยราวกับต้องการระงับอารมณ์ของตนเอง“พอได้แล้ว ทั้งสองคนน
ตอนที่ 50 ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเจียงอันเล่อยิ้มเจื่อนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหานอี้หลงยังคงนิ่งเฉย นางกะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามฉายแววแน่วแน่ พยายามรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ให้คงอยู่ แม้ว่าในใจจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ข้าจะส่งหนังสือหย่าให้ท่าน หวังว่าท่านจะมิทำให้ข้าลำบากใจอีก” เจียงอันเล่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามรักษาท่าทีมากเพียงใดก็ตาม นางตัดสินใจหมุนกายเตรียมก้าวเดินออกจากห้องไปเสียหานอี้หลงยืนนิ่งราวกับถูกตรึงเอาไว้ ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้าใส่ราวกับคลื่นมหาสมุทร ดวงตาคมกริบที่เคยแน่วแน่ฉายแววเจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อเจียงอันเล่อหันหลังให้กับเขา ความรู้สึกหวาดกลัวพลันแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจจนหานอี้หลงแทบหายใจไม่ออก“เล่อเอ๋อร์” หานอี้หลงร้องเรียกออกมา ก่อนจะโถมตัวเข้าสวมกอดร่างบางจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น อ้อมแขนแกร่งรัดแน่นราวกับกลัวว่านางจะสลายหายไปในพริบตา“เล่อเอ๋อร์...ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเลย ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของหานอี้หลงสั่นไหวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ศีรษะก้มต่ำซบลงที่ลาดไหล่ของเจี
ตอนที่ 49 เหนี่ยวรั้งครั้งสุดท้ายหานอี้หลงกระชากแขนเจียงอันเล่อเข้าปะทะกับแผงอกเข้าอย่างจัง ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องมีเพียงเสียงลมหายใจที่ติดขัดของทั้งสองคน พร้อมสายตาที่จ้องมองกันอย่างมิมีใครยอมใคร“เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่” หานอี้หลงตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ความหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับเพลิงที่ไม่มีวันดับ ดวงตาดุดันจ้องมองร่างบางที่เบื้องหน้า“ใต้เท้า...ท่านต่างหากที่คิดจะทำอันใดกันแน่” เจียงอันเล่อโต้กลับในทันที“เฮอะ...ฮูหยินของข้าออกตะลอนไปทั่วเมืองกับชายอื่น เจ้าจะให้ข้านั่งรออยู่ที่จวนเฉยๆ เช่นนั้นหรือ”“เพี๊ยะ...” เจียงอันเล่อยกมือขึ้นสะบัดไปที่ใบหน้าของหานอี้หลงจนเต็มแรง “ใต้เท้า...ท่านอย่าได้คิดว่าดูถูกข้าเช่นนี้”หานอี้หลงยกมือขึ้นลูบใบหน้า พร้อมกับแสยะยิ้มขึ้นมาจนดูน่าหวาดกลัว เขากระชากแขนของเจียงอันเล่อเข้าหาตัวอีกครั้ง “งั้นข้าควรคิดเช่นใด...เจ้าลองตอบข้ามาสักหน่อย”เจียงอันเล่อสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา นางเชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง ทว่าดวงตาของนางกลับมีร่องรอยของความผิดหวังลึกซึ้ง นางกวาดตามองหานอี้หลงอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตรงไปยั
ตอนที่ 48 ร้อนใจในยามสายของวันหนึ่ง เจียงอันเล่อที่นั่งพลิกอ่านสารลับที่หลีอันเพิ่งนำมามอบให้ ดวงตางดงามแต่นิ่งลึกฉายแวววิตกกังวลใจขึ้นมาในทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกำสารลับไว้ในมือแน่นขึ้น “ถึงเวลาแล้วสินะ”“หลีอันรีบเตรียมรถม้าให้ข้าที” เจียงอันเล่อรีบสั่งหลีอันอย่างเร่งร้อน พลางเงยหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามที่ดูงดงามราวกับภาพวาดกลับมิอาจกลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัดภายในใจที่มี เจียงอันเล่อมิรอช้าอีกต่อไป นางรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเรียบง่าย คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเข้มแล้วรีบออกจากจวนไปอย่างเงียบๆในขณะเดียวกันภายในห้องอักษรของจวนสกุลหาน หานอี้หลงนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่ ม้วนเอกสารกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้า จ้าวกงยืนรายงานความเคลื่อนไหวของกองกำลังลับที่เตรียมซุ่มโจมตีจางลู่เหวินตามแผนการที่วางเอาไว้เป็นอย่างดี แต่หานอี้หลงกลับเพียงพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอยราวกับจิตใจมิได้อยู่กับตัว“ใต้เท้า...ทหารลับรอเพียงคำสั่งจากท่าน...ชีวิตของแม่ทัพจางย่อมอยู่ในเงื้อมมือของเราขอรับ”ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีลังเลใจ เขาเดินเข้ามาวางของว่างตรงหน