นิยายเรื่องนี้เป็นภาคแยกจากนิยายเรื่อง "ชะตารักพันธนาการ" เมื่อภัทราอ่านนิยายเรื่อง "ชะตารักพันธนาการ" จบ เธอก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจแทนหานอี้หลง พระรองของเรื่อง หานอี้หลง ชายหนุ่มที่อ่อนโยนแสนดี แต่กลับต้องมีชะตากรรมที่น่าสงสาร และเมื่อภัทราได้ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในร่างของเจียงอันเล่อ ตัวละครในนิยาย ภารกิจพิทักษืหานอี้หลง ชายในดวงใจที่ใครๆ ก็ตีตราว่าเป็นแค่พระรองก็เริ่มต้นขึ้น แล้วภัทราจะช่วยให้หานอี้หลงหลุดพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้ายได้หรือไม่ ติดตามใน "ข้าน้อยเป็นติ่งพระรอง"
View Moreบทที่ 1 ติ่งพระรอง
ภัทราเดินปึงปังเข้ามาในห้องนั่งเล่นของตัวเอง พลางโยนแท็บเล็ตลงบนโซฟาอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง “ปัง!” เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือเท้าสะเอว สายตาจับจ้องไปยังแท็บเล็ตที่ยังคงเปิดค้างอยู่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความขัดข้องใจ
หน้าจอแสดงภาพหน้านิยายเรื่อง “ชะตารักพันธนาการ” ที่ภัทราเพิ่งอ่านจบไปสดๆ ร้อนๆ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ คิ้วขมวดแน่น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ความรู้สึกโกรธเคืองแทนหานอี้หลงยังคงพลุ่งพล่านอยู่ในอก ตัวละครพระรองที่เธอตกหลุมรักดั่งชายในดวงใจกลับต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าสลด เขามอบทั้งชีวิตและจิตใจให้กับนางเอกของเรื่อง “หยางชิวเหยา” แต่สุดท้ายกลับถูกทอดทิ้ง และถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายในสายตาของทุกคนอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะว่านักเขียนแต่งให้หานอี้หลงเป็นเพียงพระรองของเรื่องเท่านั้น
“ทำไมถึงทำแบบนี้กับหานอี้หลง...หานอี้หลงออกจะดีขนาดนั้น…ทำไมถึงจบแบบนี้ไปได้...นักเขียนใจร้ายมากเลย” ภัทรายังคงบ่นอุบออกมาเบาๆ แต่ด้วยความอินจัด น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่พอใจอยู่มากคล้ายกับว่าเธอเองเป็นคนที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับตัวละครก็ไม่ปาน
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมาจากมุมห้องนั่งเล่น เอริน เพื่อนสนิทของภัทราที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล ส่ายหัวเบาๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทอย่างนึกขบขันในความอินจัดของเพื่อนสนิท “ภัทรา...แกนี่มันอินมากเกินไปแล้ว มันก็แค่นิยายหรือเปล่าวะ หานอี้หลงเป็นพระรองจะสมหวังกับนางเอกได้ยังไง แกเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว เดี๋ยวจะเป็นประสาทไปเสียก่อน”
ภัทราหันขวับไปหาเพื่อน พลางยืดตัวตรง สองมือกอดอก “เอริน...แกจะไปเข้าใจอะไรกัน นักเขียนใจร้ายกับหานอี้หลงมากเกินไปแล้ว เขาทั้งแสนดี ทั้งอบอุ่น ขนาดโดนหยางชิวเหยาทำถึงขนาดนี้ก็ยังรักนางจนลมหายใจสุดท้าย มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย หานอี้หลงควรได้มีความสุขบ้างสิ”
เอรินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “โอ๊ย...ภัทรา...ผู้ชายที่ดีขนาดแกว่าก็มีแต่ในนิยายที่แกกำลังเพ้ออยู่นี่แหละ”
“แต่หานอี้หลงนี่สเปคฉันเลยนะ นี่ถ้าฉันเป็นหยางชิวเหยานะ...ฉันจะหอมซ้ายหอมขวาทั้งวัน ไม่มีสายตาไว้มองใครเลย...ให้ตายเถอะ”
“จ้า...พ่อพระรองแสนดี...ดีแล้วจับมาทำสามีได้หรือเปล่า ฉันว่าขืนแกยังฟุ้งซ่านและเพ้อเจ้ออยู่กับนิยายแบบนี้ สงสัยชาตินี้แกคงได้ขึ้นคานแน่ๆ”
“เชอะ...ไม่เห็นจะสนใจเลย ถ้าฉันไม่เจอผู้ชายแบบหานอี้หลง ฉันยอมขึ้นคานดีกว่า”
“เออ เออ ฉันไม่เถียงกับแกแล้ว แกก็เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ฉันกับพวกน้ำฝนจะไปเที่ยวคืนนี้ สนใจไปด้วยกันไหม”
ภัทราส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่เอา ฉันไม่มีอารมณ์ แกไปกันเองเถอะ”
เอรินส่ายหน้าอีกครั้งเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้น หยิบกระเป๋าถือและเสื้อคลุมตัวบางที่แขวนไว้บนเก้าอี้ “ตามใจแกแล้วกัน เชิญแกอยู่กับพระรองในจินตนาการของแกต่อไป ส่วนฉันจะไปหาพระเอกในชีวิตจริง แล้วอย่ามาบ่นเสียดายทีหลังแล้วกัน”
ภัทรามุ่ยหน้าค้อนใส่เอรินอีกครั้ง ก่อนจะหันไปจ้องมองหน้าจอแท็บเล็ตเช่นเดิม
เอรินได้แต่กลอกตาและส่ายหน้าอีกครั้ง “แล้วถ้าจะอินขนาดนี้ อย่ามานอนบ่นในกลุ่มแชทตอนดึกนะ พวกเราจะสมน้ำหน้าให้ คอยดู” พูดจบเอรินก็ลุกออกจากห้องไป ปล่อยทิ้งให้ภัทราอยู่ภายในห้องตามลำพังคนเดียว
ภัทราทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม สายตายังคงจับจ้องไปที่แท็บเล็ตหน้าจอที่ยังเปิดนิยายค้างไว้อยู่ ในใจของเธอยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวังและความค้างคาใจอย่างไม่จางหาย หานอี้หลง…ชายหนุ่มที่เธอรู้สึกว่าเขาควรได้รับความสุขมากกว่านี้ แต่เขากลับมีชะตากรรมที่น่าสงสารอย่างที่สุด ภัทราหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเลื่อนดูนิยายอีกครั้งไปมาอย่างเลื่อนลอย
ไม่นานนักความเมื่อยล้าจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่านและความเครียดสะสมในระหว่างวันก็เริ่มเข้าครอบงำเธอ ดวงตาของภัทราเริ่มปรือต่ำ ก่อนจะปิดลงอย่างช้าๆ แท็บเล็ตหลุดร่วงจากมือของเธอและตกลงบนหมอนด้านข้าง เสียงลมหายใจที่ค่อยๆ สม่ำเสมอบ่งบอกว่าเธอได้หลับลงไปเรียบร้อยแล้ว
ในความฝัน ภัทรารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบใต้ฝ่าเท้าให้ความรู้สึกหนาวเหน็บและเย็นเยือกเข้ามาภายในหัวใจ ภัทรากวาดสายตามองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ สวนกว้างใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากชนิดชวนให้ดูงดงาม แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและเงียบงันจนน่าใจหาย
“ที่นี่คือที่ไหน…” ภัทราพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอก้องสะท้อนในความว่างเปล่า
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากที่ไกลๆ ภัทราหันไปเพ่งมองอย่างจริงจัง และในความมืดมิดที่อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาช้าๆ เขาสวมชุดยาวสีขาวลวดลายปักเลื่อมทองที่ดูสง่างาม ใบหน้าคมคายที่เหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ ดวงตาเฉียบคมของเขามองมาที่เธออย่างไม่ละสายตา
ภัทรายืนนิ่งตกตะลึงกับภาพที่เห็น ชายคนนี้…หานอี้หลง ตัวละครที่เธอหลงใหลในนิยาย แต่บัดนี้เขากลับยืนอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ
“คุณ… หานอี้หลง… ใช่ไหม” ภัทราถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือระคนตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
ชายคนดังกล่าวมิได้ตอบสิ่งใด เขาเพียงยกยิ้มขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่มุมปาก
หัวใจของภัทราเต้นรัวด้วยความตกใจและสับสน เธอไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นความฝันหรือความจริง แต่แววตาของหานอี้หลงที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน
ภัทราพยายามเอื้อมมือออกไปเพื่อคว้าชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้ แต่แล้วเมื่อมือใกล้จะสัมผัสชายหนุ่มตรงหน้า หมอกควันขาวก็เข้าปกคลุมแทนที่ด้วยความว่างเปล่า ภัทรารีบหันซ้ายหันขวาพยายามตามหาชายหนุ่มคนดังกล่าวอีกครั้ง
เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง และไฟฟ้าช็อตวาบจนห้องมืดสนิทไปชั่วขณะ ก่อนที่ร่างของภัทราจะถูกดูดเข้าไปในบางสิ่งบางอย่างราวกับแรงดึงดูดมหาศาลจนกระทั่งหายวับไปในพริบตา
ตอนที่ 53 บทสรุปของนิยายค่ำคืนในเมืองหลวงสงบเงียบลงหลังจากความวุ่นวายภายในวังหลวงได้จบสิ้นลง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เจียงเสิ่นเย่วถูกริบทรัพย์สินจนหมดสิ้นเหลือเพียงเงินทองบางส่วนเพื่อประทังชีวิตอย่างไม่ยากลำบากนัก เขาถูกกักบริเวณอยู่ภายในจวนสกุลเจียงโดยมีทหารควบคุมเพื่อมิให้ติดต่อผู้ใดซึ่งอาจเป็นการกบฏขึ้นอีกในภายหลัง ส่วนเหล่าขุนนางที่เกี่ยวข้อง บ้างก็ถูกประหาร บ้างก็ถูกเนรเทศจนมิเหลือสิ้นในขณะที่องค์หญิงห้าหงอวิ๋นชิว เจียงอันเล่อรู้ดีว่านางมีความทะเยอทะยานอยากมีอำนาจเพื่อปกป้องตนเองจากความโหดร้ายของวังหลวงมากเพียงใด การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงทำให้นางได้รับความโปรดปรานจากหงจูเหลียง รวมถึงได้รับพระราชทานตรายศสำหรับละเว้นโทษให้กับนางอีกด้วยในขณะที่หงฟางซินแม้จะเป็นบุตรชายคนเล็ก แต่เพราะความเฉลียวฉลาดและผลงานชิ้นดังกล่าว เดิมทีหงจูเหลียงตั้งใจจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เขา แต่หงฟางซินกลับปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทจึงยังคงเป็นของพี่ชายของตนสืบต่อไป ส่วนฮองเฮาเม่งฉีเต๋อนั้นไม่ว่าจะเป็นบุตรคนใดของนางเป็นรัชทาย
ตอนที่ 52 ล้อมจับท้องฟ้ายามราตรีถูกแต่งแต้มด้วยแสงพลุที่แตกกระจายเป็นประกายระยิบระยับ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะของจางลู่เหวินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง หงจูเหลียงประทับบนบัลลังก์สูงสุด ล้อมรอบไปด้วยเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเลี้ยง เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงขับกล่อม ผสมกับเสียงหัวเราะของเหล่าขุนนางและแขกที่มาร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นเจียงเสิ่นเย่วได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย เขาสวมอาภรณ์หรูหราตามฐานะ ใบหน้าคงความสง่างามและเยือกเย็นเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แผนการใหญ่ของเขากำลังใกล้จะเริ่มต้นขึ้น การที่หงจูเหลียงเชิญเขามาร่วมงานในค่ำคืนนี้มิรู้ว่าจะมีแผนการร้ายอันใดหรือไม่ แต่คนอย่างเขาเมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็มิอาจลงได้โดยง่าย เจียงเสิ่นเย่วจึงข่มใจปั้นหน้านิ่งขรึมและวางท่าอย่างสง่างามเพียงเท่านั้น“ท่านพ่อ...” เจียงอันเล่อมองบิดาของตนจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาแห่งความรู้สึกผิดและวิตกกังวล นางรับรู้ได้ถึงพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังใกล้เข้ามา ดวงตาของหานอี้หลงที่ยืนอยู่ด้านข้างของนางฉายแววความห่วงใยในตัวหญิงสาวข้างก
ตอนที่ 51 เดินแผนการสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาที่บานหน้าต่างกระทบกับผิวบางที่เปลือยเปล่าของเจียงอันเล่อ นางขยับกายซุกไซ้เข้ากระชับกับแผงอกหนาอุ่นนุ่ม ก่อนจะเหลือบมองหานอี้หลงที่นอนอยู่เคียงข้าง ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ดวงตาปิดสนิทกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เจียงอันเล่อยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกตื้นตันใจ นางมิกล้าคิดหวังว่านางจะสมหวังเช่นนี้ เจียงอันเล่อหลับตาลงอีกครั้ง ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับหลับใหลไปในที่สุดช่วงสายของวันใหม่หงฟางซินมายืนรออยู่ที่ด้านหน้าจวน เมื่อเขาเห็นเจียงอันเล่อและหานอี้หลงเดินออกมาพร้อมกัน คิ้วทั้งสองข้างของหงฟางซินก็กระตุกขึ้นมาในทันที สายตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน “เล่อเอ๋อร์...ดูท่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะดีขึ้นมากกว่าที่ข้าคิดไว้” หงฟางซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน พลางพ่นลมหายใจออกมาเบาๆหานอี้หลงปรายตามองหงฟางซินอย่างไม่สบอารมณ์ เขายิ้มเยาะก่อนเอ่ยกลับออกมา “ข้ากับฮูหยินรักใคร่กันดี แล้วท่านเกี่ยวอันใดด้วยเล่า”“เจ้า” หงฟางซินกัดฟันแน่น นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง มือที่กำหมัดแน่นสั่นเล็กน้อยราวกับต้องการระงับอารมณ์ของตนเอง“พอได้แล้ว ทั้งสองคนน
ตอนที่ 50 ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเจียงอันเล่อยิ้มเจื่อนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหานอี้หลงยังคงนิ่งเฉย นางกะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามฉายแววแน่วแน่ พยายามรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ให้คงอยู่ แม้ว่าในใจจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ข้าจะส่งหนังสือหย่าให้ท่าน หวังว่าท่านจะมิทำให้ข้าลำบากใจอีก” เจียงอันเล่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามรักษาท่าทีมากเพียงใดก็ตาม นางตัดสินใจหมุนกายเตรียมก้าวเดินออกจากห้องไปเสียหานอี้หลงยืนนิ่งราวกับถูกตรึงเอาไว้ ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้าใส่ราวกับคลื่นมหาสมุทร ดวงตาคมกริบที่เคยแน่วแน่ฉายแววเจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อเจียงอันเล่อหันหลังให้กับเขา ความรู้สึกหวาดกลัวพลันแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจจนหานอี้หลงแทบหายใจไม่ออก“เล่อเอ๋อร์” หานอี้หลงร้องเรียกออกมา ก่อนจะโถมตัวเข้าสวมกอดร่างบางจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น อ้อมแขนแกร่งรัดแน่นราวกับกลัวว่านางจะสลายหายไปในพริบตา“เล่อเอ๋อร์...ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเลย ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของหานอี้หลงสั่นไหวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ศีรษะก้มต่ำซบลงที่ลาดไหล่ของเจี
ตอนที่ 49 เหนี่ยวรั้งครั้งสุดท้ายหานอี้หลงกระชากแขนเจียงอันเล่อเข้าปะทะกับแผงอกเข้าอย่างจัง ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องมีเพียงเสียงลมหายใจที่ติดขัดของทั้งสองคน พร้อมสายตาที่จ้องมองกันอย่างมิมีใครยอมใคร“เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่” หานอี้หลงตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ความหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับเพลิงที่ไม่มีวันดับ ดวงตาดุดันจ้องมองร่างบางที่เบื้องหน้า“ใต้เท้า...ท่านต่างหากที่คิดจะทำอันใดกันแน่” เจียงอันเล่อโต้กลับในทันที“เฮอะ...ฮูหยินของข้าออกตะลอนไปทั่วเมืองกับชายอื่น เจ้าจะให้ข้านั่งรออยู่ที่จวนเฉยๆ เช่นนั้นหรือ”“เพี๊ยะ...” เจียงอันเล่อยกมือขึ้นสะบัดไปที่ใบหน้าของหานอี้หลงจนเต็มแรง “ใต้เท้า...ท่านอย่าได้คิดว่าดูถูกข้าเช่นนี้”หานอี้หลงยกมือขึ้นลูบใบหน้า พร้อมกับแสยะยิ้มขึ้นมาจนดูน่าหวาดกลัว เขากระชากแขนของเจียงอันเล่อเข้าหาตัวอีกครั้ง “งั้นข้าควรคิดเช่นใด...เจ้าลองตอบข้ามาสักหน่อย”เจียงอันเล่อสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา นางเชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง ทว่าดวงตาของนางกลับมีร่องรอยของความผิดหวังลึกซึ้ง นางกวาดตามองหานอี้หลงอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตรงไปยั
ตอนที่ 48 ร้อนใจในยามสายของวันหนึ่ง เจียงอันเล่อที่นั่งพลิกอ่านสารลับที่หลีอันเพิ่งนำมามอบให้ ดวงตางดงามแต่นิ่งลึกฉายแวววิตกกังวลใจขึ้นมาในทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกำสารลับไว้ในมือแน่นขึ้น “ถึงเวลาแล้วสินะ”“หลีอันรีบเตรียมรถม้าให้ข้าที” เจียงอันเล่อรีบสั่งหลีอันอย่างเร่งร้อน พลางเงยหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามที่ดูงดงามราวกับภาพวาดกลับมิอาจกลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัดภายในใจที่มี เจียงอันเล่อมิรอช้าอีกต่อไป นางรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเรียบง่าย คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเข้มแล้วรีบออกจากจวนไปอย่างเงียบๆในขณะเดียวกันภายในห้องอักษรของจวนสกุลหาน หานอี้หลงนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่ ม้วนเอกสารกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้า จ้าวกงยืนรายงานความเคลื่อนไหวของกองกำลังลับที่เตรียมซุ่มโจมตีจางลู่เหวินตามแผนการที่วางเอาไว้เป็นอย่างดี แต่หานอี้หลงกลับเพียงพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอยราวกับจิตใจมิได้อยู่กับตัว“ใต้เท้า...ทหารลับรอเพียงคำสั่งจากท่าน...ชีวิตของแม่ทัพจางย่อมอยู่ในเงื้อมมือของเราขอรับ”ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีลังเลใจ เขาเดินเข้ามาวางของว่างตรงหน
ตอนที่ 47 เดินตามวิถีทางภายในจวนสกุลหานกลับเข้าสู่บรรยากาศที่อึมครึม เจียงอันเล่อเอาแต่อยู่ภายในเรือนของตนเอง นางไม่คิดย่างกรายออกไปที่ใด วันๆ เอาแต่นั่งหน้าเคร่งเครียดกับเอกสารที่กองตรงหน้า มีเพียงหลีอันที่คอยวิ่งเข้าวิ่งออกภายในเรือนโดยมิให้ผู้ใดเข้าพบ แม้กระทั่งเงาของหานอี้หลงก็แทบจะมิได้พบเจอเช่นกัน ตั้งแต่วันนั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหานอี้หลงก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหานอี้หลงออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่และกลับมาในยามดึกเสมอ เขาหาได้มาหานางเฉกเช่นเคย ราวกับคนทั้งสองมิได้อยู่ร่วมจวนเดียวกัน จะมีก็แต่เพียงพ่อบ้านที่คอยเทียวไปเทียวมา รายงานความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายให้ทั้งสองรับทราบอย่างอ่อนอกอ่อนใจ“ยามพวกท่านรักกันก็ตัวติดกันเป็นตังเม ยามโกรธเคืองกัน ไฉนเลยจึงมาลงเอาที่ข้าเพียงผู้เดียว” พ่อบ้านบ่นอุบเมื่อเข้ามารายงานความเคลื่อนไหวของหานอี้หลงให้ฮูหยินของจวนฟัง นางเพียงพยักหน้ารับพร้อมกับปัดมือไล่เขาออกไปในขณะที่หานอี้หลงเองเมื่อรายงานความคืบหน้าของเจียงอันเล่อเสร็จ หานอี้หลงก็เพียงเอ่ยถามเพียงว่านางได้พบผู้ใดหรือไม่ เมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจ เขาก็โบกมือไล่เขาออกไปอย่างนึกรำคาญวันน
ตอนที่ 46 เจ้าช่างโง่ยิ่งนักหานอี้หลงอุ้มเจียงอันเล่อเข้าไปในเรือนของนางอย่างเร่งรีบ ร่างบางในอ้อมแขนสั่นเทาด้วยพิษไข้ที่เริ่มกำเริบ ดวงตาที่กลมโตปิดปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากซีดจะสั่นระริกอย่างต้องการเอ่ยสิ่งใดออกมา“เหตุใดเจ้าช่างโง่เช่นนี้” หานอี้หลงพึมพำอย่างหัวเสีย เขาทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดทั้งเป็นห่วงร่างบางในอ้อมแขนอย่างยิ่งดวงตาหม่นเศร้าจับจ้องไปที่ใบหน้าของหานอี้หลง “ใต้เท้า...ข้ามิต้องการให้ท่านทำผิดซ้ำอีก ข้ามิต้องการให้ท่านถลำลึกไปมากกว่านี้…”หัวใจของหานอี้หลงบีบรัดแน่นกับคำพูดของเจียงอันเล่อ เขาข่มความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ ก่อนจะกระซิบเสียงสั่นเครือ “เล่อเอ๋อร์...เจ้าเลิกพูดได้แล้ว เวลานี้เจ้าควรพักผ่อนเสียก่อนเถิด”ไม่นานหมอก็รีบเข้ามาด้านในพร้อมกล่องยา หานอี้หลงเดินกระสับกระส่ายไปมา คอยเฝ้ามองเจียงอันเล่ออยู่ไม่ห่างกาย“ใต้เท้า...บาดแผลจากลูกธนูมิโดนจุดสำคัญ แต่ลูกธนูนั้นอาบยาพิษไว้ จำต้องรีบขับพิษออกจากร่างกายโดยเร็วขอรับ”หานอี้หลงรีบให้คนนำยาถอนพิษมาให้หมอ “เจ้าต้องทำทุกอย่างให้นางปลอดภัย” หานอี้หลงกำชับหมออย่างกระวนกระวายหลังจากได้รับยาถอนพิษเจียงอันเล่อก็เข้าส
ตอนที่ 45 ธนูพิษช่วงสายของวันเจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นอย่างรู้สึกสดชื่น หลีอันที่ใบหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาด้านในพร้อมสำรับอาหาร“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”“เจ้ามีเรื่องอันใด เหตุใดถึงดูมีความสุขเช่นนั้น” เจียงอันเล่อเอ่ยพลางลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปพลางหลีอันที่ช่วยแต่งกายอยู่ด้านข้างก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา “เมื่อคืนใต้เท้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูทั้งคืนนี่เจ้าคะ”เจียงอันเล่อชะงักพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ใต้เท้านอนที่นี่หรือ”“เจ้าค่ะ...ใต้เท้าเป็นห่วงคุณหนูมาก นอนเฝ้าไข้คุณหนูทั้งคืน เพิ่งออกจากจวนไปเมื่อตอนเช้าตรู่เจ้าค่ะ”เจียงอันเล่อเผลออมยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว แต่เมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของหลีอัน นางก็กระแอมออกมาเบาๆ “เจ้าจะไปทำอันใดก็ไปเถิด...อ้อแล้วเรื่องที่ข้าให้ไปสืบ มีความคืบหน้าถึงไหนแล้ว”เจียงอันเล่อลงนั่งที่โต๊ะพร้อมคีบอาหารเข้าปากอย่างหิวกระหาย หลีอันยื่นกระดาษเล็กๆ ให้กับนางในทันที เจียงอันเล่อรับกระดาษนั้นคลี่ออกอ่าน แต่แล้วใบหน้าที่แช่มชื่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองในทันที ความอยากอาหารที่มีหายวับไปในพริบตา “ท่านยังมิเลิกล้มความตั้งใจอยู่อีกหรือ”เจียงอันเล่อรีบลุกขึ้นจรดพู่กัน
Comments