เช้าวันต่อมาหลิวหงเถาเป็นคนแรกในบรรดาเจ้านายที่ตื่นขึ้นมาก่อนใคร สิ่งแรกที่นางทำหลังจากนอนเพียงแค่หนึ่งชั่วยามคือการวิ่งไปซื้อผ้าฝ้ายกับด้ายสีน้ำตาลอ่อนมาเพิ่มสำหรับปักในส่วนที่ต้องใช้ความละเอียดเป็นพิเศษ เพราะภาพมันใหญ่มาก นางจึงต้องปักแยกชิ้นส่วนกันแล้วหาทางเพิ่มชิ้นส่วนนี้เข้าไปในภาพใหญ่ในภายหลัง
หวังว่าจะไม่เละนะ!
เมื่อเข้ามาในห้องโถงสถานที่ที่ใช้ในการปักผ้า นางก็นั่งแหมะลงบนพื้นแล้วปักซอยเพิ่มโครงภาพอีกนิดหน่อย นางตั้งใจปักภาพทิวทัศน์ก็จริง แต่เป็นทิวทัศน์ของเมืองซึ่งมันจะขาดคนไปไม่ได้เลย
ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรภาพโครงร่างถึงเสร็จ ที่เหลือก็คือลงด้ายซึ่งส่วนนี้นางจะขอความช่วยเหลือจากช่างมีฝีมือมาทำ ด้านการเลือกสีเข้มมากหรือน้อย นางได้วาดภาพแม่แบบไว้ให้อยู่แล้ว ช่างปักในหมู่บ้านที่ได้เห็นต่างก็เอ่ยปากชื่นชมและเฝ้ารอกับผลงานชิ้นนี้
“เสร็จ! งามแน่ ๆ อยากกรี๊ด”
หลิวหงเถากรีดร้องอยู่ในลำคอเบา ๆ แต่เพราะว่าเรือนที่ทุกคนอยู่มันเล็กมาก เสียงของนางจึงค่อนข้างดังรบกวนการนอนของผู้อื่น
“พี่เถาเถ่า”
“เฮือก! น้องหญิงเล็ก เกิดอะไรขึ้น!”
ชิงหมินเป็นคนแรกที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของหลิวหงเถา ตามมาด้วยหลิวหลี่เฟยที่นอนอยู่บนเตียงไม้ใกล้นางถึงกับตกลงพื้นดัง ‘ตุ้บ’ เสียงดังต่ออีกทอดจนปลุกจูม่านหลิงที่นอนอยู่ในห้องนอนให้รีบลุกขึ้นมาดูความวุ่นวายนี้
“อะไร ๆ เอะอะอะไรกันแต่เช้าลูก”
“อุ๊ย ขอโทษที่ทำให้ตื่นกันนะทุกคน ขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่ เถาเอ๋อร์แค่ดีใจมากไปหน่อย”
จูม่านหลิงเดินมาหาบุตรสาวและคุกเข่าลงบนพื้นมองภาพโครงร่างด้วยสายตาชื่นชม เห็นเพียงเท่านี้นางก็รู้แล้วว่าผลงานชิ้นนี้ต้องแตกต่างจากคุณหนูจวนอื่น ๆ ที่นิยมปักดอกไม้งาม
“เก่งมากลูกแม่ ดูสิขอบตาคล้ำหมดแล้ว เพิ่งนอนไม่กี่ชั่วยามเหตุใดตื่นเร็วนัก”
“ท่านแม่ก็น่าจะรู้ว่าเวลาที่เราหลงใหลจะทำอะไรมาก ๆ มันจะซึมลึกเข้ามาในหัวเราจนเก็บเอาไปฝันได้ เถาเอ๋อร์ได้แนวคิดใหม่จึงออกไปหาซื้อด้ายเพิ่มเจ้าค่ะ เถาเอ๋อร์ชอบบรรยากาศแบบนี้เจ้าค่ะท่านแม่ ใครที่ไม่ปักผ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก นี่มันสวรรค์ชัด ๆ อยากใช้ผ้าแบบไหน ด้ายแบบใดก็แค่วิ่งไปบ้านนั้นบ้านนี้ก็มีของมายื่นให้หมด ขอเพียงแค่…”
“มีเงิน”
มารดาของนางตอบให้ จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะประสานกันระหว่างมารดาและบุตรสาว
“เถาเอ๋อร์ต้องขอบคุณแม่นะที่เลือกสามีได้ถูกต้อง วิธีการแรกที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตคู่คือจะต้องเลือกคนให้ถูกก่อน”
หลิวหงเถาคุกเข่าลงพื้นดัง ‘ตุบ’ จากนั้นก็แบมือก้มกราบมารดาศีรษะแนบพื้นพร้อมกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะนายหญิง บุญคุณในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าชาตินี้ทดแทนไม่ไหวก็ขอให้แล้วกันไปนะเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ” หลิวหลี่เฟยหัวเราะจนไหล่สั่น จากที่หงุดหงิดเพราะต้องตื่นเช้ากว่าปกติ ตอนนี้กลับหัวเราะจนน้ำตาไหลออกหางตาแล้ว “โอ้ย ช่วยด้วย ฉี่ข้าจะเล็ด ฮ่า ๆ”
หลิวหงเถากลับมานั่งในท่าปกติเมื่อมารดาเดินหนีไปอาบน้ำแล้ว จากนั้นนางก็เอียงคอมองเขา ในหัวคิดถึงเนื้อหาของหนังสือที่เคยอ่านผ่านตามา
“จากที่ข้าจำได้นะ บุรุษที่จะฉี่เล็ดได้ อั้นฉี่ไม่ได้ เกิดจากการที่ภาวะต่อมลูกหมากไม่ปกติแล้ว…หลิวหลี่เฟย ต่อมลูกหมากเจ้าไม่ปกติหรือว่าสมองเจ้าไม่ปกติ อันนี้เคยหยั่งคิดดูหรือไม่”
เสียงหัวเราะหยุดชะงักลงในทันใด “เจ้านี่นะ คนอุตส่าห์อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว สมองข้าไม่ได้ไม่ปกติเพราะว่าข้าไม่มีสมอง!”
“ฮ่า ๆ”
หลิวหงเถาหัวเราะเมื่อพี่ชายเล่นตัวเอง หลิวหลี่เฟยยิ้มเมื่อทำให้น้องสาวฝาแฝดหัวเราะได้
“พอใจแล้วเนอะ”
ห้าวันต่อมา
ในที่สุดภาพที่หลิวหงเถาลงทุนลงแรงในการปักก็เสร็จสมบูรณ์แบบสักที และนางควรกลับจวนภายในวันนี้เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ทันต่อการแสดงผลงาน แต่…
“ท่านแม่ส่งผลงานของพวกเราทุกคนไปที่วังอ๋องก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ เถาเอ๋อร์ยังอยากเรียนรู้วิธีการย้อมผ้าอยู่ หากกลับไปไม่ทัน ก็บอกทุกคนไปว่าเถาเอ๋อร์ทุ่มเทกับผลงานจนล้มป่วยไปก็ได้เจ้าค่ะ”
คำว่า ‘ผลงานของพวกเราทุกคน’ ที่หลุดออกมาจากปากของหลิวหงเถาสร้างความประทับใจให้กับช่างอีกสามคนนัก ที่พวกนางอยากสอนเคล็ดลับการย้อมผ้าให้ก็เพราะว่าถูกใจนิสัยใจคอนาง คนที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กันมักจะคุยกันรู้เรื่อง
“ได้อย่างไรกัน นั่งหลังขดหลังแข่งปักจนมือพรุนขนาดนี้จะไม่ไปรับคำชมจากคนอื่นหน่อยหรือลูก ค่อยหาเวลามาอีกครั้งเถอะนะ อย่าลืมว่างานนี้นอกจากจะมีคุณหนูคนอื่น ๆ แล้ว คุณชายมากความสามารถหลากหลายจวนก็มาร่วมงานเช่นกัน”
หลิวหงเถาร้องคำว่า ‘แย่แล้ว’ ขึ้นมาในใจ เพราะมารดาของนางได้วกเข้าเรื่องออกเรือนอีกแล้ว ในหัวแล่นเร็วรี่ว่าจะใช้เหตุผลใดเป็นข้ออ้าง พลันสายตาก็เห็นมือที่พันด้วยผ้าผันแผลสีขาว
“ท่านแม่ สภาพมืออย่างนี้ของเถาเอ๋อร์ยังน่าชมอีกหรือเจ้าคะ ท่านอาจจะโต้ตอบในใจว่า คนเขาก็ดูที่ใบหน้ากันมากกว่า แต่ท่านแม่ลองคิดภาพดูนะเจ้าคะ ตอนยกชาขึ้นจิบจากที่เขาจะมองหน้าเถาเอ๋อร์ จะกลายเป็นว่าถูกผ้าพันแผลแย่งความสนใจไปนะเจ้าคะ”
“มีผ้าพันแผลแล้วไม่ดีอย่างไร บุรุษมีแผลเป็นคือร่องรอยของความหาญกล้า เขาจะได้รู้ว่าเจ้าลงแรงปักชิ้นงานจริง ๆ มิได้ให้คนอื่นทำให้”
หลิวหงเถากัดฟันแน่น ในใจก้นด่าแฝดผู้พี่สนั่น
ไม่ช่วยแล้วยังจะถ่วงกันอีก!
“ท่านแม่ แต่เถาเอ๋อร์อยากจะนำเสนอตัวเองให้ดีพร้อมในทุก ๆ ด้านเจ้าค่ะ ให้ไปตอนนี้เถาเอ๋อร์ยังไม่พร้อมจริง ๆ”
จูม่านหลิงถอนหายใจยาว ตัวนางเองจะต้องเข้าร่วมงานในวันพรุ่งนี้ให้ได้ เพราะอย่างไรก็เป็นมารดาแท้ ๆ ของหวางเฟย อุตส่าห์ได้เป็นแม่งานทั้งที อย่างไรนางก็ต้องกลับไป
“แล้วจะให้แม่วางใจปล่อยเจ้าไว้คนเดียวได้อย่างไร สาวใช้ส่วนตัวเจ้าก็ไม่ได้พามาด้วย มันลำบากนะลูก”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ อย่างมากอีกสองวันก็กลับแล้ว อยู่มาได้ตั้งห้าวัน อยู่ต่ออีกสองวันไม่นับว่าเป็นอะไร”
หลิวหงเถาเห็นมารดายังแสดงสีหน้าไม่วางใจอยู่ดี จึงเรียบส่งสายตาให้พี่ชายฝาแฝดช่วย
“แมลงเข้าตาหรือน้องเล็ก”
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ หากเป็นคนอื่นถามกลับแบบนี้ นางก็คิดว่าเขาคงแกล้งทำแน่ แต่ว่านี่คือหลิวหลี่เฟย…
ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ
“ฮูหยินขอรับ ข้าน้อยจะดูแลพี่เถาเถ่าให้ดียิ่งกว่าชีวิตขอรับ”
“โถ่ ชิงหมิน…”
จูม่านหลิงเชื่อว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูดจริง ๆ แม้ในใจจะไม่ได้หวังให้ใครต้องเอาชีวิตตัวเองมาแลกกับบุตรสาวของตน แต่ก็ต้องยอมรับว่าซึ้งใจต่อคำพูดของชิงหมินไม่น้อย
“ข้าพลาดล่ะ” หลิวหลี่เฟยเกาท้ายทอยตนเอง เพิ่งจะมาเข้าใจความหมายของสัญญาณที่หลิวหงเถาส่งให้ก็ตอนนี้ “ท่านแม่ เฟยเอ๋อร์ก็จะดูแลน้องเล็กให้ดีเท่าชีวิตเลยขอรับ”
หลิวหงเถาส่ายหน้าระรัว สีหน้าตกตลึงกับคำพูดของพี่ชายยิ่ง
“ไม่นะเจ้าคะท่านแม่ อย่าฝากผีฝากไข้ลูกไว้กับคนที่แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้เลยเจ้าค่ะ เถาเอ๋อร์จะตายเอานะเจ้าคะ”
หลิวหลี่เฟยก็ไม่ได้พาบ่าวชายประจำตัวมาด้วย ฉะนั้นคนที่รับหน้าที่อาบน้ำช่วยเขาก็คือชิงหมินนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลิวหงเถาเคืองเอามาก ๆ
“ดูพูดเข้า อย่ามาพูดเรื่อง ‘ตาย’ ให้แม่ได้ยินอีกนะ”
จูม่านหลิงถอนหายใจอีกครั้งอย่างหนักอกหนักใจ จากนั้นก็ถามช่างปักผ้าที่กำลังเก็บงานให้หลิวหงเถาอยู่
“ที่นี่พอจะมีผู้คุ้มกันภัยรับจ้างหรือไม่ ข้าอยากทิ้งคนของเราไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้วจ้างพวกเขาคุ้มกันไปแทน”
หลิวหงเถากรีดร้องในใจ เพราะการที่มารดานางถามแบบนี้ก็เท่ากับอนุญาตให้อยู่ที่นี่ต่อแล้ว
“ในหมู่บ้านของเราพอจะมีคนที่เป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ความเก่งกาจอาจไม่เทียบเท่าคนที่ฮูหยินพามาด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
ในหัวอกคนเป็นแม่ย่อมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดต่อลูกอยู่แล้ว นางจึงยอมทิ้งผู้คุ้มกันฝีมือดีเอาไว้กับบุตรชายหญิงทั้งสองแล้วเอาคนคุ้มกันที่พอจะมีฝีมือไปกับตัวเองแทน
“ดูแลน้องด้วยนะเฟยเอ๋อร์”
หลิวหลี่เฟยยิ้มกริ่มพร้อมกับหันไปส่งยิ้มอย่างผู้ชนะให้หลิวหงเถา สุดท้ายมารดาก็ฝากนางไว้ในกำมือเขา
“เฟยเอ๋อร์จะทำให้ดีที่สุดขอรับท่านแม่”
หลังจากที่จูม่านหลิงกลับไป สามคนจากจวนตระกูลหลิวก็มาดูการสาธิตวิธีการย้อมผ้าจากช่างปักที่ช่วยปักภาพทิวทัศน์ ซึ่งวิธีการที่หลิวหงเถารู้กับเคล็ดลับของชาวบ้านต่างกันตรงที่ตอนต้ม หลิวหงเถาไม่ได้ใส่เกลือลงไปด้วยในตอนที่น้ำเดือด นั่นจึงทำให้สีหลุดง่ายและอีกขั้นตอนหนึ่งตอนที่ล้างน้ำหลังย้อม เมื่อผ้าแห้งแล้วให้ลองแช่ด้วยน้ำอีกครั้งหนึ่ง หากพบว่าสีตกต้องใส่เกลือบดละเอียดลงไปด้วย แช่ทิ้งไปประมาณ 3 ชั่วยาม วิธีนี้จะช่วยทำให้ผ้าดูสดใหม่ได้ในระยะหนึ่ง“ที่จริงเรื่องการย้อมผ้าโดยการใส่เกลือก็ไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแค่ไม่ได้ป่าวประกาศออกไปเท่านั้น อีกอย่างด้ายไหมก็เป็นตัวทำเงินให้กับหมู่บ้านของเราอยู่แล้ว คุณหนูจะเอาวิธีการนี้ไปบอกต่อก็ได้นะเจ้าคะ เราไม่ได้หวง”“ขอบคุณแทนทุกคนด้วยนะเจ้าคะ” แต่ข้าไม่บอกใครหรอกหลิวหงเถาย่อกายลงขอบคุณสตรีวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม จะว่าไปฝีเข็มของช่างผู้นี้นับว่าเป็นเลิศไม่แพ้ใคร ดูละเอียดประณีตกว่าช่างหลวงที่ปักชุดอภิเษกให้ชินอ๋องกับหวางเฟยเสียอีก“เรื่องเล็กเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณหนูคุณชายอยากไปดูตัวหนอนไหมหรือไม่” ช่างปักถามด้วยสีหน้าลุ้น ๆ ซึ่งคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใ
ทางด้านหมู่บ้านด้าย หลังจากที่หลิวหงเถา หลิวหลี่เฟยและชิงหมินไปเก็บใบหม่อนทางอีกฝากฝั่งหนึ่งของหมู่บ้านได้ไม่นาน สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นวันนี้ก็เกิดขึ้นชายฉกรรจ์กว่าห้าสิบคน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายชุดดำทั้งตัวพร้อมมีผ้าคาดปิดใบหน้าเอาไว้เดินถืออาวุธครบมือกันเข้ามาในหมู่บ้าน สตรีชาวบ้านที่เห็นต่างกรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีความไม่ปลอดภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา“โจรบุก! เตรียมการสู้เร็วเข้า” ส่วนชาวบ้านฝั่งบุรุษนั้นก็เร่งไปให้หาอาวุธเพื่อใช้ในการต่อสู้กับผู้บุกรุก บุรุษในหมู่บ้านเองแม้จะมีฝีมือไม่มาก แต่จำนวนคนที่มีเยอะกว่าทำให้พวกเขาคิดว่าอย่างไรก็พอสู้ได้“ใจเย็นๆ ใจเย็น ๆ” ในกลุ่มโจรมีบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ควบม้าเยาะเบา ๆ เข้ามาตามหลังลูกน้อง “จะเรียกโจรได้เพราะมาจากการปล้น ฉกชิง วิ่งราว แต่วันนี้พวกเราไม่ได้มาปล้น แต่มาขอเงินใช้ต่างหาก”“เจ้าของเขาไม่เต็มใจให้ ความหมายก็คือการปล้นอยู่ดี”ชายชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่เขาได้รับจากการโต้ตอบกลับไปในครั้งนี้คือการที่บ่าไม่มีศีรษะให้ตั้งไว้อีกต่อไป เป็นการขู่ขวัญที่ทำให้ชาวบ้านกลัว ไม่กล้าขัดขืนอีกเหล่าโจรทำเวลาไ
หลิวหงเถาใจกระตุก นางยังคงนอนราบไม่ยันกายขึ้นมานั่ง ลอบกระซิบถามผู้คุ้มกันของตนเอง “ดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้ว เจ้าโจรพวกผู้นี้เก่งหรือไม่”ผู้คุ้มกันพยักหน้ารับ “คนที่ขี่ม้าข้อน้อยไม่มั่นในว่าสู้ได้แค่ไหน แต่พวกลูกน้องของมันคนของเราสู้ได้แน่นอนขอรับ”“ข้าเชื่อใจพวกท่านนะ แต่ข้ามีอยู่แผนหนึ่ง…” หลิวหงเถาไม่มั่นใจว่าแผนการณ์นี้ของตนจะได้ผลหรือไม่ แต่นางก็จะลองเสี่ยงดูผู้คุ้มกันเลิกคิ้วขึ้น ยังไม่ทันจะซักถามอะไร มือบางก็คว้าเอามีดสั้นที่พกมาตัดใบหม่อนขว้างมันไปที่ต้นขาของม้าจนมันเจ็บแล้วล้มขาพับไป เป็นเหตุให้ตัวของหัวหน้าโจรล้มลงมาด้วยในจังหวะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว หลิวหงเถาที่รออยู่แล้วก็เป่าเข็มอาบยาสลบพุ่งเป้าไปยังทางหัวหน้าโจร เข็มหลายสิบเล่มกระจายไปโดนทั้งม้าและหลุดออกนอกทิศทางไปด้วย แต่หลิวหงเถาก็มั่นใจว่ามันต้องปักอยู่บนร่างกายของหัวหน้าโจรเข้าสักอันหนึ่ง“จัดการต่อ!”ผู้คุ้มกันอีกสามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้าจัดการลูกน้องของโจรก่อน เพราะฝีมือที่มีมากกว่าทำให้จัดการพวกมันได้โดยง่าย แต่คนที่จัดการยากเห็นทีจะเป็นหัวหน้าโจรที่ลุกขึ้นมาตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว“ข้าประมาทพวกเจ้าเกินไปสิน
ชินอ๋องเล่าว่าตนเองวางแผนจับโจรภูเขากลุ่มนี้มานานเป็นปีแล้ว เมื่อได้รับรายงานว่าพวกมันจะออกปล้นเมื่อใด เขาจะเป็นผู้นำในการกวาดล้างกลุ่มโจรด้วยทุกครั้งรวมถึงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน น่าเศร้าที่สายข่าวของเขาทำงานช้าไป ผลของมันจึงทำให้ชาวบ้านเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต“เปิ่นหวางขอเป็นตัวแทนของทุกคนขอบคุณคุณหนูหลิวแล้ว มิเช่นนั้น เราคงจับหัวหน้าโจรกลุ่มนี้ไม่ได้สักที”หลิวหงเถาส่ายหน้าไปมาด้วยไม่กล้ารับคำชม“ท่านอ๋องตรัสเกินไปแล้วเพคะ นี่เป็นเพียงการเอาตัวรอดเท่านั้น อย่าได้ให้ค่าการกระทำของหม่อมฉันถึงเพียงนั้นเลย”ตอนนี้หลิวหงเถาและทุกคนกลับมาที่หมู่บ้านแล้ว ภาพความเสียหายทั้งหมดปรากฏเข้าสู่สายตา กลิ่นคาวเลือด เสียงร่ำไห้ของชาวบ้านทำให้นางรู้สึกหดหู่และอยากร้องไห้ตามไปด้วย“ฮึก ฮือ…”ตอนนี้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว ชาวบ้านที่เป็นสตรีถูกช่วยไว้ได้ทัน ความสูญเสียจึงหยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่บางคนที่สูญเสียคนในครอบครัวไปก็ยังคงส่งเสียงร้องไห้ออกมาให้ได้ยินอยู่เหตุการณ์เหล่านี้หากมันเกิดขึ้นกับข้าโดยตรง ข้าขอตายตามไปด้วยเลยเสียยังดีกว่า“คุณหนูหลิว”หลิวหงเถาดึงตัวเองออกจากภวังค์พร้อมหันหน้ามายังชินอ๋อง “
เพียงชั่วข้ามคืนข่าวอันน่าสลดใจที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านด้ายถูกลือว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ชาวเมืองแคว้นชิงชิวที่ทราบข่าวต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปชินอ๋องในฐานะเป็นผู้นำในการจับกุมครั้งนี้ได้รับคำชมจากฮ่องแต้แคว้นชิงชิวต่อหน้าขุนนางทั้งท้องพระโรง ทำให้เสนาบดีหลิวซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาพลอยได้หน้าไปด้วย ไม่เพียงแค่นั้น หวางเฟยพระองค์ใหม่ยังช่วยพระสวามีทำคุณงามความดีเพิ่มโดยการเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้ให้เป็นในแบบการกุศลแทน ภาพวาดที่คุณหนูทั้งหลายปักจะถูกยกขึ้นมาประมูล โดยรายได้ทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยทั้งหมดตามความเสียหายที่ได้รับหลิวหงเถาไม่ได้เข้าร่วมในงานนี้ เพราะว่านางบาดเจ็บที่คอ หากเข้างานโดยที่มีผ้าพันแผลพันรอบคออยู่จะยิ่งเป็นการสร้างความสงสัยให้ผู้อื่นที่สำคัญตั้งแต่กลับมาถึงจวนตระกูลหลิวนางไข้ขึ้นสูงมาก ความอ่อนล้าของร่างกายที่สะสมมาหลายวันกอปรกับการเดินทาง ทำเอานางนอนเป็นผักให้ชิงหมินหยอดน้ำข้าวต้มมาสองมื้อแล้ว“ชินอ๋องทรงพระปรีชายิ่ง ไม่มีใครรู้ข่าวเรื่องที่ลูกประสบเหตุที่นั่นเลย เป็นเพราะพระองค์ทรงปิดข่าวให้เป็นแน่”จูม
เช้าวันต่อมาหลิวหงเถาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะ หนักท้ายทอยจนไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งได้ ท่านหมอประจำจวนมาตรวจแล้ววินิจฉัยออกมาว่าเป็นเพราะพิษไข้จึงสั่งยาเพิ่ม“ยาได้แล้วขอรับพี่เถาเถ่า”ชิงหมินเดินถือยาเข้ามาให้หลิวหงเถาถึงด้านในห้องนอน ครั้งนี้จัดการเป่ายาให้เสร็จสรรพก่อนที่จะยื่นถ้วยยาจ่อปากนางเป็นการบังคับกินยาไปในตัว“ไม่กินได้หรือไม่ เจ้าดูสีสิ ดำแบบนี้ความขมจะระดับไหน”ชิงหมินส่ายหน้าไม่ยินยอมด้วยเช่นกัน “ไม่กินแล้วจะหายได้อย่างไรกันขอรับ พี่เถาเถ่าปวดศีรษะไม่ใช่หรือ อย่าดื้อเลยนะ”“พูดเหมือนพี่เป็นเด็กอีกแล้วนะ แต่พี่ว่านะ…” หลิวหงเถามุ่นคิ้ว ทำเอาชิงหมินนึกสงสัยตามไปด้วย “หมินมิ่น พี่ว่าตัวเองไม่ได้ปวดศีรษะเพราะว่าพิษไข้หรอก”“แล้วเป็นเพราะอันใดขอรับ”นางทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกออกว่าเคยปวดในลักษณะนี้ตอนไหนบ้าง“นึกออกแล้ว เมื่อตอนก่อนที่จะเกิดงานอภิเษกของหวางเฟยหรือไม่นะ จำได้แค่ว่าตอนนั้นเดินไกลมาก ไม่รู้ไปไหนมา ไม่รู้ไปเจอใครแล้วพบกับเหตุการณ์ใดบ้าง พอเช้าวันต่อมาก็ปวดศีรษะคล้ายกับวันนี้” “เช่นนั้นหรือขอรับ”“อือ ว่าแต่วันนั้นก็แปลก ถ้าไม่ปวดขาเพราะเดินไกลก
หลังจากที่ประชุมเช้าเสร็จ ไท่จื่อก็ถูกนางกำนัลของฮองเฮาเชิญเสด็จไปยังตำหนักคุนหนิง สถานที่ประทับของมารดาแห่งแผ่นดิน ฝ่าเท้าใหญ่หยุดอยู่ที่หน้าตำหนัก ลอบสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะเดินเข้าไปยังตำหนักชั้นใน“เชิญเสด็จเพคะ”“อือ” เขาปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วเดินเข้าไปด้วยท่าทางหนักแน่นมั่นคง ไม่แสดงอาการหวั่นเกรงออกมาให้ใครจับได้เลยสักนิด เขายังไม่แน่ชัดว่าเสด็จแม่ของตนเชิญเสด็จมาเพราะเหตุผลหลักคือเรื่องใด แต่ที่แน่ ๆ ต้องเกี่ยวข้องกับที่ประชุมเช้าในวันนี้แน่“ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาคือสตรีวัยกลางคนที่ยังคงสิริโฉมงดงามอยู่ไม่เสื่อมคลาย ริมฝีปากทาชาดไว้จนแดงสด แม้จะอยู่ในชุดกึ่งทางการแต่ก็ยังประดับปิ่นหงส์สีทองกับปิ่นเล็ก ๆ อีกสามชิ้นไว้รอบศีรษะ “ตามสบายเถิดไท่จื่อ”นางกำนัลยกน้ำชาและของว่างมาถวายให้ไท่จื่อ ไม่นานจากนั้นก็พากันเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ตามคำสั่งของนางกำนัลคนสนิทซึ่งเป็นคนเดียวที่ฮองเฮาอนุญาตให้อยู่ด้วยในห้องนี้“วันนี้เสด็จอาของไท่จื่อได้รับคำชมจากฝ่าบาทอย่างท้วมท้น หลิวหวางเฟยเองก็ด้วย แม่ช่างเลือกหวางเฟยให้เสด็จอาไท่จื่อได้ดีนัก”เวลาอยู่กันเพียงลำพังเช่นนี้ ฮองเฮ
ภายใต้เก๋งจีนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนสระบัวกว้าง มีสองสตรีใบหน้างดงามล้มเมืองนั่งจ้องหน้ากันอยู่ ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาราวกับทั้งคู่กำลังแข่งกันเงียบ ใครหลบตาก่อนแพ้ ใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาก่อนก็แพ้เช่นกัน “เอาเถอะ ข้ายอมแพ้ก่อนก็ได้”แต่ครู่ต่อมา หลิวหงเถาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมหลุบตาลงต่ำเอื้อมมือไปหยิบจอกชาที่มีไอสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาเป่าเบา ๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมและขนมที่สาวใช้ยกมาให้ตั้งแต่ที่นางมาถึงเรือนของคุณหนูใหญ่ตระกูลจิน“ทำไมถึงเปลี่ยนใจมาได้ล่ะ เมื่อวานยังให้คนมาปฏิเสธข้าอยู่เลย”หลิวหงเถารอจนกลืนขนมลงคอหมดแล้วจึงค่อยเอ่ยคำถามที่ให้อีกคนเลือกคำตอบ“อยากจะฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ”จินเซียนเหม่ยมุ่นคิ้วน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะว่าคำถามของหลิวหงเถา แต่เป็นเพราะเศษขนมที่ติดอยู่มุมปากของนางต่างหาก เร็วกว่าความคิด มือเรียวเล็กก็เอื้อมไปหยิบเศษขนมออกจากปากให้หลิวหงเถาในทันที “เศษขนมติดอยู่ตรงริมฝีปากเจ้า เห็นแล้วขัดตาจึงช่วยเอาออกให้” ที่จริงจินเซียนเหม่ยก็ตกใจในการกระทำของตนเองไม่น้อย แต่ก็ยังแสร้งทำหน้านิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งสิ้น“อ้อ ขอบใจ ว่าแต่
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต