เช้าวันต่อมาหลิวหงเถาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะ หนักท้ายทอยจนไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งได้ ท่านหมอประจำจวนมาตรวจแล้ววินิจฉัยออกมาว่าเป็นเพราะพิษไข้จึงสั่งยาเพิ่ม
“ยาได้แล้วขอรับพี่เถาเถ่า”
ชิงหมินเดินถือยาเข้ามาให้หลิวหงเถาถึงด้านในห้องนอน ครั้งนี้จัดการเป่ายาให้เสร็จสรรพก่อนที่จะยื่นถ้วยยาจ่อปากนางเป็นการบังคับกินยาไปในตัว
“ไม่กินได้หรือไม่ เจ้าดูสีสิ ดำแบบนี้ความขมจะระดับไหน”
ชิงหมินส่ายหน้าไม่ยินยอมด้วยเช่นกัน
“ไม่กินแล้วจะหายได้อย่างไรกันขอรับ พี่เถาเถ่าปวดศีรษะไม่ใช่หรือ อย่าดื้อเลยนะ”
“พูดเหมือนพี่เป็นเด็กอีกแล้วนะ แต่พี่ว่านะ…” หลิวหงเถามุ่นคิ้ว ทำเอาชิงหมินนึกสงสัยตามไปด้วย “หมินมิ่น พี่ว่าตัวเองไม่ได้ปวดศีรษะเพราะว่าพิษไข้หรอก”
“แล้วเป็นเพราะอันใดขอรับ”
นางทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกออกว่าเคยปวดในลักษณะนี้ตอนไหนบ้าง
“นึกออกแล้ว เมื่อตอนก่อนที่จะเกิดงานอภิเษกของหวางเฟยหรือไม่นะ จำได้แค่ว่าตอนนั้นเดินไกลมาก ไม่รู้ไปไหนมา ไม่รู้ไปเจอใครแล้วพบกับเหตุการณ์ใดบ้าง พอเช้าวันต่อมาก็ปวดศีรษะคล้ายกับวันนี้”
“เช่นนั้นหรือขอรับ”
“อือ ว่าแต่วันนั้นก็แปลก ถ้าไม่ปวดขาเพราะเดินไกลก็คงคิดว่าฝันไปแล้วจริง ๆ พี่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนความจำสั้นขนาดนี้นะ แถมกับยังเฉพาะเรื่องด้วย”
ชิงหมินแสดงความกังวลออกมาทางสายตา
“ให้ท่านหมอตรวจให้ดีหรือไม่ขอรับ ปล่อยไปเช่นนี้หากเกิดโรคร้ายแรงขึ้นไม่ดีเลยนะขอรับ"
หลิวหงเถาถอนหายใจเมื่อเห็นดวงตาของชิงหมินแดงก่ำอย่างคนอยากจะร้องไห้ มือบางจึงยื่นไปจับไหล่เขาแล้วตบลงเบา ๆ อย่างปลอบใจ
“เอาเถอะ หากเกิดขึ้นอีกครั้งคงต้องให้ท่านหมอตรวจให้แล้วจริง ๆ”
ชิงหมินอยู่คุยต่อไม่นานหลิวหงเถาก็ขอตัวอาบน้ำ นางไม่อยากเช็ดตัวอีกต่อไปแล้ว เลยให้สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นให้อาบ
“ให้ข้าน้อยช่วยสระผมให้นะเจ้าคะคุณหนู”
หลิวหงเถาพยักหน้าอนุญาตให้สาวใช้เรือนของนางได้ทำงาน
“เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่เจ้าคะคุณหนู ฝันอะไรหรือไม่”
สองสาวใช้วัยใกล้เคียงกับหลิวหงเถาคนหนึ่งช่วยสระผมยาวสลวยให้ อีกคนช่วยขัดผิวโดยตัวนางเองแค่นั่งเฉย ๆ ให้ความร่วมมือแต่โดยดีเท่านั้น
“จำไม่ได้เลย ปกติข้าก็จะฝันบ่อยอยู่นะ แต่เมื่อคืนคงหลับสบายดีกระมัง ตื่นมาเลยปวดหัว”
หลิวหงเถาเดาไปอย่างมั่ว ๆ ซึ่งสาวใช้ไม่ได้เอ่ยค้านอันใดนอกจากกล่าวว่า “เจ้าค่ะ” เท่านั้น
สาวใช้ทั้งสองทุกครั้งที่ช่วยคุณหนูของตนอาบน้ำมักจะทำงานไปด้วยรอยยิ้ม เพราะคุณหนูหลิวผู้นี้งามทั้งตัวจริง ๆ ส่วนที่ควรโค้งเว้าก็สวยรับกับสะโพกได้ดี ส่วนที่ควรมีก็เต็มไม้เต็มมือไปหมด
“ช่วยนวดหลังให้ข้าได้หรือไม่ นั่งปักผ้านาน ๆ พอได้มานั่งอีกรู้สึกปวดขึ้นมาเลย”
สาวใช้นวดหลังให้ตามที่เจ้านายบอก ผิวของหลิวหงเถานุ่มลื่นใสดูอิ่มน้ำมาก และนางค่อนข้างซ่อนรูปเลยทีเดียว ยามที่มีเสื้อผ้าติดกายครบก็ดูเป็นคุณหนูที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมผู้หนึ่ง แต่ความจริงแล้วกลับมีน้ำมีนวลกว่าที่คิด พวกนางที่เป็นสตรีด้วยกันเองเห็นแล้วยังรู้สึกหายใจติดขัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษที่นิยมชมชอบสตรีงาม
…จะต้องหลงใหลมากเป็นแน่!
เมื่อสองสาวใช้ทำความสะอาดกายงามให้ทุกซอกทุกมุมแล้ว ร่างกายเปลือยเปล่าก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ขาเรียวเล็กก้าวออกมานอกถังน้ำ รอให้สาวใช้ทั้งสองช่วยเช็ดตัวให้
“คุณหนูเจ้าคะ”
ในระหว่างที่สาวใช้กำลังซับน้ำที่ขาส่วนล่างให้นั้น นางก็สังเกตเห็นว่าขาด้านในของคุณหนูมีรอยแดงเป็นจ้ำอยู่ด้วย หลิวหงเถาก้มลงดูก็ตกใจเช่นกัน ล่าสุดที่ร่างกายเกิดรอยแดงขึ้นได้เพราะว่าแมลงกัดและนางเกาไม่หยุดจนเกิดรอยแดงแล้วแผลตามมา
แต่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่ทั้งคู่
“ให้บ่าวตามท่านหมอมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวหงเถาส่ายหน้าพรืดในทันที เมื่อคิดว่าหมอจะจ่ายยาให้นางเพิ่ม ขนบนร่างกายก็พร้อมใจกันตั้งชูชันแล้ว
ช่วงนี้เป็นอะไรกันนะ เจ็บตัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน
“แล้วคุณหนูเจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวหงเถาลองเอามือแตะ ๆ ดูก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เจ็บอะไรเลย
“ไม่เจ็บเลยสักนิด ประเดี๋ยวรออีกสักสองสามวันก่อน ไม่หายค่อยว่ากันอีกที”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
คนของตระกูลหลิวทำงานเร็วมากสั่งงานเมื่อวานวันต่อมาก็ส่งมอบงานให้เจ้านายได้แล้ว
“ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เราได้มา มีทั้งจากที่เจ้าตัวตั้งใจเปิดเผยและแบบที่เจ้าตัวแอบปิดบัง”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าจะเอาไปให้ฮูหยินบัดเดี๋ยวนี้”
เมื่อคุยกันจบสาวใช้ในเรือนของจูม่านหลิงก็รีบเดินกลับเรือนประจำตัวของฮูหยินใหญ่เพื่อนำสิ่งที่สืบได้มอบให้แก่นายตน
“จะเร่งรีบไปที่ใดหรือ”
“เฮือก! คะ คุณชายรอง”
แต่ระหว่างทางดันได้เจอกับหลิวหลี่เฟยเข้าเสียก่อน เขากอดอกมองสาวใช้ด้วยสายตาจับผิด และยิ่งเมื่อสาวใช้แอบเอาเอกสารที่ได้มาซ่อนไว้ด้านหลัง เขายิ่งอยากรู้เข้าไปอีก
“ทำตัวมีพิรุธนัก เอามาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”
สาวใช้ส่ายหน้า ฮูหยินของนางกำชับว่าจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด มีอย่างที่ไหนที่บ้านฝั่งสตรีเป็นฝ่ายสืบเรื่องของฝั่งบุรุษก่อนทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ส่งแม่สื่อมาทาบทาม
ข้าจะเผยแพร่ออกไปไม่ได้เป็นอันขาด
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณชาย หากฮูหยินรู้เข้าบ่าวจะโดนดุเอานะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่บอก ข้าไม่บอก แล้วใครจะรู้”
เมื่อยังเห็นนางแสดงท่าทางอึกอักอยู่ หลิวหลี่เฟยจึงจ้องนางกดดันขึ้นไปอีก แล้วจังหวะที่นางก้มหน้าหลบตาเขาก็คว้าสิ่งที่อยู่ในมือนางมาเปิดอ่านทันที
“อธิบายมา”
ใบหน้าคล้ายคลึงกับหลิวหงเถาถึงแปดส่วน แตกต่างกันเพียงแค่รูปหน้าที่ดูยาวและจมูกโด่งคมสันมากกว่าแสดงอาการไม่เข้าใจอย่างมาก ไม่เข้าใจว่ามารดาของตนจะต้องการข้อมูลของบุรุษมากมายไปเพื่ออะไรกัน
“คือ คือว่าฮูหยินให้พวกเขาสืบเพราะคุณหนูสามเจ้าค่ะ”
“เพราะน้องหญิงเช่นนั้นหรือ” นั่นสินะ มารดาเขาไม่ใช่จะทำอะไรโดยไร้เหตุผลเสียหน่อย “แล้วอย่างไรต่อ ท่านแม่จะทำอย่างไรต่อจากนี้”
สาวใช้ทำหน้าหนักใจ ลอบถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“บ่าวไม่บอกมิได้หรือเจ้าคะ”
ยังปากแข็งอีก ชอบให้ข้าขู่นักใช่หรือไม่!
“ท่านแม่มีบุตรชายคนเดียวเจ้ารู้ใช่หรือไม่ แล้วคนที่จะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิวคนต่อไปคือใครเจ้าก็น่าจะรู้ดี”
สาวใช้ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา
“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่คุณชายรับปากได้หรือไม่ว่าเรื่องที่บ่าวจะพูดต่อไปนี้จะไม่ไปถึงหูของฮูหยินเข้า”
หลิวหลี่เฟยพยักหน้ารับ “ข้าสัญญา จะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเป็นต้นข่าวแน่นอน”
นางมองซ้ายมองขวาว่ามีใครแอบฟังอยู่แถวนี้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบเสียงเบากับคุณชายรองของจวน
“…หนึ่งในนี้หากมีใครส่งแม่สื่อมาทาบทาม ฮูหยินจะหาทางเกลี้ยกล่อมให้คุณหนูออกเรือนเจ้าค่ะ”
หลังจากฟังจบหลิวหลี่เฟยก็หน้าตึงไปในทันที เขานิ่งไปสักพัก มือหนายกขึ้นโบกไล่สาวใช้ให้ไปได้แล้ว จากนั้นก็เดินไปยังเรือนน้องสาวฝาแฝดของตน
“ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้จะไม่บอกน้องเล็กไม่ได้เด็ดขาด” เขารับปากสาวใช้ว่าจะไม่บอกมารดาตนเรื่องแหล่งข่าวที่รู้มา
แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่บอกหลิวหงเถา!
หลังจากที่ประชุมเช้าเสร็จ ไท่จื่อก็ถูกนางกำนัลของฮองเฮาเชิญเสด็จไปยังตำหนักคุนหนิง สถานที่ประทับของมารดาแห่งแผ่นดิน ฝ่าเท้าใหญ่หยุดอยู่ที่หน้าตำหนัก ลอบสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะเดินเข้าไปยังตำหนักชั้นใน“เชิญเสด็จเพคะ”“อือ” เขาปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วเดินเข้าไปด้วยท่าทางหนักแน่นมั่นคง ไม่แสดงอาการหวั่นเกรงออกมาให้ใครจับได้เลยสักนิด เขายังไม่แน่ชัดว่าเสด็จแม่ของตนเชิญเสด็จมาเพราะเหตุผลหลักคือเรื่องใด แต่ที่แน่ ๆ ต้องเกี่ยวข้องกับที่ประชุมเช้าในวันนี้แน่“ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาคือสตรีวัยกลางคนที่ยังคงสิริโฉมงดงามอยู่ไม่เสื่อมคลาย ริมฝีปากทาชาดไว้จนแดงสด แม้จะอยู่ในชุดกึ่งทางการแต่ก็ยังประดับปิ่นหงส์สีทองกับปิ่นเล็ก ๆ อีกสามชิ้นไว้รอบศีรษะ “ตามสบายเถิดไท่จื่อ”นางกำนัลยกน้ำชาและของว่างมาถวายให้ไท่จื่อ ไม่นานจากนั้นก็พากันเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ตามคำสั่งของนางกำนัลคนสนิทซึ่งเป็นคนเดียวที่ฮองเฮาอนุญาตให้อยู่ด้วยในห้องนี้“วันนี้เสด็จอาของไท่จื่อได้รับคำชมจากฝ่าบาทอย่างท้วมท้น หลิวหวางเฟยเองก็ด้วย แม่ช่างเลือกหวางเฟยให้เสด็จอาไท่จื่อได้ดีนัก”เวลาอยู่กันเพียงลำพังเช่นนี้ ฮองเฮ
ภายใต้เก๋งจีนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนสระบัวกว้าง มีสองสตรีใบหน้างดงามล้มเมืองนั่งจ้องหน้ากันอยู่ ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาราวกับทั้งคู่กำลังแข่งกันเงียบ ใครหลบตาก่อนแพ้ ใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาก่อนก็แพ้เช่นกัน “เอาเถอะ ข้ายอมแพ้ก่อนก็ได้”แต่ครู่ต่อมา หลิวหงเถาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมหลุบตาลงต่ำเอื้อมมือไปหยิบจอกชาที่มีไอสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาเป่าเบา ๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมและขนมที่สาวใช้ยกมาให้ตั้งแต่ที่นางมาถึงเรือนของคุณหนูใหญ่ตระกูลจิน“ทำไมถึงเปลี่ยนใจมาได้ล่ะ เมื่อวานยังให้คนมาปฏิเสธข้าอยู่เลย”หลิวหงเถารอจนกลืนขนมลงคอหมดแล้วจึงค่อยเอ่ยคำถามที่ให้อีกคนเลือกคำตอบ“อยากจะฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ”จินเซียนเหม่ยมุ่นคิ้วน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะว่าคำถามของหลิวหงเถา แต่เป็นเพราะเศษขนมที่ติดอยู่มุมปากของนางต่างหาก เร็วกว่าความคิด มือเรียวเล็กก็เอื้อมไปหยิบเศษขนมออกจากปากให้หลิวหงเถาในทันที “เศษขนมติดอยู่ตรงริมฝีปากเจ้า เห็นแล้วขัดตาจึงช่วยเอาออกให้” ที่จริงจินเซียนเหม่ยก็ตกใจในการกระทำของตนเองไม่น้อย แต่ก็ยังแสร้งทำหน้านิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งสิ้น“อ้อ ขอบใจ ว่าแต่
ในที่สุดสิ่งที่เสนาบดีหลิวและฮูหยินกังวลก็ได้รับการยืนยัน เมื่อวันต่อจูม่านหลิงได้ต้อนรับแขกขบวนใหญ่อันประกอบไปด้วยนางกำนัล ขันทีและองครักษ์ส่วนพระองค์จากตำหนักคุนหนิง เพราะหลิวหงเถาไปคลุกตัวอยู่กับว่าที่ไท่จื่อเฟยเพื่อแก้ชุดอภิเษก ทำให้คนในวังพลาดโอกาสที่จะได้เห็นท่าทีของนาง“จวนเสนาบดีหลิวยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านกงกงเจ้าค่ะ รอสักครู่นะเจ้าคะเดี๋ยวข้าให้เด็ก ๆ ไปยกน้ำชากับขนมมาให้”“ไม่รบกวนฮูหยิน” ขันทีคนสนิทของฮองเฮาอีกคนหนึ่งยกมือห้าม พร้อมทั้งพูดถึงธุระของตนเองในวันนี้ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะไปอีกจวนหนึ่ง“แคว้นซู่ส่งของเข้ามายังตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาทรงเห็นว่าเหมาะกับคุณหนูหลิวจึงได้ให้เราเป็นตัวแทนมามอบให้ พระนางยังหวังอีกว่าหลังพิธีอภิเษกเตี้ยนเซี่ย ตำหนักคุนหนิงจะได้ต้อนรับฮูหยินกับคุณหนูหลิว”จูม่านหลิงยิ้มค้างไปแล้ว นางตะลึงไปชั่วขณะจนสาวใช้คนสนิทต้องเข้ามาสะกิดแขนยิก ๆ นางจึงได้รู้ตัวแล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย“เช่นนั้นรบกวนท่านกงกงทูลเสด็จให้ว่าเรายินดีเจ้าค่ะ”กงกงเฒ่ายกยิ้ม สายตาจิ้งจอกมากเล่ห์เห็นเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าฮูหยินของเสนาบดีหลิวมีท่าทีอยางไร แน่นอนว่า
คืนนี้เป็นอีกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงให้ความสว่างไสวแก่ใต้หล้า บางคนอาจจะมีความสุขที่ได้นั่งดื่มสุราเคล้าแสงจันทร์ เห็นพระจันทร์เป็นสิ่งสวยงาม แต่สำหรับบางคนแล้วนั้น พวกเขาอาจจะเห็นพระจันทร์สีเหลืองในคืนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือดก็ได้ร่างสูงในชุดสีดำสนิทวิ่งขึ้นมาบนหลังคาของหอโคมเขียวขึ้นชื่อในเมือง เขามาที่นี่ไม่ใช่เพราะจะมาเสพสมร่วมระคากับสตรีในที่แห่งนี้ แต่เขามาเพื่อปลิดชีพบุรุษที่กำลังเล่นสนุกกับร่างกายของพวกนางต่างหาก“อยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ดี จะได้จัดการได้ง่าย ๆ”ร่างสูงกระโดดลงจากหลังคาโดยการเข้าทางหน้าต่างพร้อมห้อยโหนไปยังขื่อคานด้วยความรวดเร็ว คนที่อยู่ในห้องพิเศษห้องใหญ่นี้ไม่มีผู้ใดรับรู้การมาถึงของเขาเลยเพราะว่ากำลังมึนเมาได้ที่ อีกทั้งสตรีร่างอรชรอ่อนแอ้นในอ้อมแขนมันน่าสนใจกว่าสิ่งใดเยอะ“พรุ่งนี้ข่าวคงดังกระฉ่อนไปทั้งเมือง บุตรชายคนเล็กของเจ้ากรมพิธีการและบุตรชายคนรองของแม่ทัพเซียวเข่นฆ่ากันเพราะร่ำสุราที่หอโคมเขียวจนมึนเมา พยานรู้เห็นเหตุการณ์ก็มี ดูสิว่าจะมาสืบเรื่องราวสาวต่อยังไง”วิธีที่เขาเลือกใช้จัดการคนแม้จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เขาสำหรับในอีกฐานะหนึ่ง แต่เขาไม่
ในยามดึกสงัดเช่นนี้บางคนอาจจะนอนหลับพักผ่อนกายาไปนานแล้ว แต่สำหรับว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปของชิงชิวยังต้องสะสางงานอีกมาก แคว้นชิงชิวเพิ่งสถาปนาได้ไม่นาน ทุกอย่างต้องเร่งสร้างเร่งพัฒนาอีกมาก นอกจากเสด็จพ่อของเขาที่ทรงงานหนักแล้ว ตัวเขาเองก็ต้องเบ่งเบาราชกิจต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน‘ระวังตัวด้วย ข้าได้กลิ่นปีศาจ’ในระหว่างที่กำลังคร่ำเคร่งกับฎีกาตรงหน้านั้น อยู่ ๆ ไท่จื่อก็ได้ยินเสียงร้องเตือนดังขึ้นมาในหัว “หือ”คิ้วเข้มพาดเฉียงเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ แม้ผู้ที่ร้องเตือนจะอยู่กับเขามาตั้งแต่แรกเกิด แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก ซึ่งส่วนมากที่ร้องเตือนภัยมักจะเป็นเหตุการณ์ร้ายที่เขาไม่อาจต่อสู้ได้เช่น ภูติ ผี หรือปีศาจที่โดนมารครอบงำ ครั้งล่าสุดที่เคยเผอิญได้เจอก็เมื่อสิบปีก่อน ไม่คาดว่าสิบปีไล่หลังมานี้จะได้พบเจออีกหน‘อนุญาตให้ข้าได้ปกป้องเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าจะโดนควบคุม มันคืบคลานใกล้มากขึ้นแล้ว!’ไท่จื่อวรยุทธ์แกร่งกล้าไม่แพ้ใครในแคว้นนี้ หากเป็นมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันอย่างไรเขาก็พร้อมสู้ แต่เมื่อสิ่งที่กำลังคืบคลานไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ต้องเชื่อฟังมังกรดำ สัตว์เทพที่คุ้มครองเขามาตั้ง
ข่าวดังที่สุดของเมืองหลวงในหลายวันที่ผ่านมาย่อมเป็นเรื่องฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับหอโคมเขียวชื่อดัง แต่เพราะว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในช่วงใกล้วันอภิเษกขององค์ไท่จื่อ ดังนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงเร่งสั่งให้ปิดคดีแล้วสรุปผลออกมาว่าเป็นเพียงเพราะเมาสุราแล้วเกิดการทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น ผู้เสียชีวิตคือบุตรชายของแม่ทัพเซียวและผู้ที่เป็นฆาตกรก็ถูกสั่งให้จำคุก โดยสองขุนนางในราชสำนักกลายเป็นปรปักษ์กันไปตลอดกาลเมื่อมาถึงวันงานอภิเษก ข่าวทั้งหลายก็เงียบสงบลง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังข้องใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือไท่จื่อ เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจโดยยังคงแอบสืบหาความจริงอยู่เรื่อย ๆวันงานอภิเษกจูจิ่วลี่และหลิวหงเถาถูกจินเซียนเหม่ยชวนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยกัน ความจริงหลิวหงเถาจะหาข้ออ้างปฏิเสธก็ได้หากไม่อยากมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งผู้อื่นที่พระสวามีในอนาคตอาจจะเป็นคนเดียวกัน แต่เพราะว่านางอยากหลบหน้าชิงหมิน ไม่อยากอยู่จวนที่ทุกพื้นที่มีแต่เขาวนเวียนอยู่รอบกาย หลังจากที่จุมพิตกับเขาในคืนนั้น นางรู้สึกว่าอยู่ ๆ ก็มีความทรงจำไม่ทราบที่มาผุดขึ้น อย่างเช่นนางเคยให้น้ำแก่ขอทานผู้หน
นางหลบหน้าข้า!ชิงหมินตะโกนประโยคนี้ในใจเมื่อเห็นหลิวหงเถารีบหันกายหนี ตั้งแต่คืนนั้นพวกเขาสองคนก็ไม่ได้สทนากันอีกเลย กอปรกับชิงหมินกำลังฟื้นฟูพลังอยู่จึงไม่สะดวกไปคุยกับนางให้รู้เรื่องก็ว่า เมื่อก่อนข้าหายหน้าไปเกินหนึ่งวันต้องออกตามหาแล้ว แต่นี่หายไปหลายวันไม่ออกตามหา ที่แท้เพราะตั้งใจหลบหน้ากัน!“น้องหญิงเล็ก!”วันนี้ชิงหมินตามหลิวหลี่เฟยมาตลาด เผอิญได้พบหลิวหงเถาที่โรงเตี๊ยมเข้า ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของนางคือตื่นตกใจอย่างกับเห็นพวกเขาเป็นผี จากนั้นก็วิ่งหนีขึ้นรถม้าไปในทันที“จะรีบไปไหนน้องหญิงเล็ก!”ขนาดหลิวหลี่เฟยวิ่งเข้าไปหาแล้วยืนเรียกข้าง ๆ รถม้า นางก็ยังไม่ยอมแม้แต่จะแง้มผ้าม่านออกมาพูดคุย ทั้งยังสั่งให้คนบังคับรถม้าออกตัวได้ ชิงหมินคิดว่าถ้าตนกระโดดขึ้นรถม้าในตอนนี้ หลิวหลี่เฟยก็คงจะตามมาด้วย ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นจึงได้ใช้พลังปีศาจสะกดคนบังคับรถม้าให้เปลี่ยนเส้นทางไปที่นอกเมืองแทนข้าตัดสินใจแล้ว อย่างไรวันนี้จะต้องคุยกันให้รู้เรื่องทางฝั่งหลิวหงเถา“เฮ้อ คิดว่าจะหนีไม่พ้นเสียแล้ว”คนที่คิดว่าตัวเองสามารถหลบหน้าผู้อื่นได้ถอนหายใจยาว ระหว่างนั้นก็นั่งคิดวิธีที่จะทำใ
‘ตาแก่ขี้จุ้นจ้าน ไล่ข้าให้มาอยู่แดนมนุษย์ตั้งนานไม่เคยมาเหลียวแลกันเลยสักนิด พอข้าอยากมีความรักดี ๆ กับเขาบ้างมายุ่งจุ้นจ้านอะไรด้วย!’‘ก็เจ้ามันลีลาท่าเยอะ จอมปีศาจผู้นี้เห็นแล้วหงุดหงิดตาจึงช่วยให้ ไม่ได้หรืออย่างไร’‘ก็ไม่ได้นะสิ เรื่องของข้าข้าจัดการเองได้‘เหอะ! ขืนปล่อยให้เจ้าจัดการเองก็คงได้เผลอฆ่ามนุษย์ไปมากกว่านี้อีกแน่ รู้ทั้งรู้ว่าการทำลายมนุษย์เท่ากับเลือกเป็นศัตรูกับเแดนสวรรค์ หากเจ้ารักนางจริงเพียงทนรอเท่านั้น แม้มันจะมีอุปสรรคไปบ้าง แต่ระหว่างเทพเซียนกับปีศาจย่อมเป็นไปได้มากกว่าปีศาจกับมนุษย์’‘ท่านหมายถึงให้ข้ารอนางหมดอายุขัยของการเป็นมนุษย์ก่อนเช่นนั้นหรือ? แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่อนางกลับไปเป็นเทพเช่นเดิมแล้วจะยังรักข้า’‘น่าขัน! ทำอย่างกับว่าตอนนี้นางบอกรักเจ้าแล้ว’‘น่าขันตรงไหน ทำอย่างกับตัวเองรู้จักความรักดี’ชิงหมินนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับจอมปีศาจเมื่อหลายชั่วยามก่อนหน้านี้“ข้ารู้ว่าท่านรักข้าจะตาย ใช่หรือไม่”น้ำเสียงอ่อนหวานถูกใช้ถามร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ในห้วงนิทรา คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขาลอบเข้ามานั่งมองนางนอนหลับ การได้มองนางนอ
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต