โม่เหนียงถูกสามีหย่าเพราะวันเข้าหอ นางไม่มีเลือดพรหมจรรย์ติดเตียง พ่อแม่จึงจับโม่เหนียงถ่วงน้ำล้างอาย แต่นางกลับไม่ตาย แม้จะถูกทิ้งในแม่น้ำเกือบหนึ่งชั่วยาม เทพหรือปีศาจตนใดเล่นตลกกับชีวิตของนางกันแน่ **** “เจ้า!! เจ้าจะทำอะไร” โม่เหนียงตกใจรีบผลักไหล่ของเขา “ข้ายอมให้เจ้าจูบก็ได้ มันช่วยบรรเทาความอยากได้เล็กน้อย จากนั้นเจ้าต้องสัญญาว่าจะยอมกินอาหารของมนุษย์บำรุงร่างกาย” เขาเกลี้ยกล่อม “เจ้า..เจ้า..” โม่เหนียงได้แต่อ้าปากเอ่ยคำใดไม่ได้ หญิงสาวยังไม่ทันทำอะไร ชายหนุ่มก็ก้มลงมาจูบปากเบาๆ จากนั้นก็นั่งลงที่ข้างโต๊ะ และเริ่มแกะเนื้อปลายื่นมาที่ปากของโม่เหนียงพร้อมป้อนให้นางกิน “อ้าปาก เจ้าต้องกินบำรุง อย่าดื้อ” เขากล่อมราวกับนางเป็นเด็กน้อย หลินโม่เหนียงมองเขาแล้วพูดไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ****
더 보기หลินโม่เหนียง ลืมตาเปียกชื้นมองฝูงชนที่กำลังโหวกเหวกโวยวายผ่านกรงไม้ไผ่ด้วยความฉงน นางยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงในจมูก ลำคอและในอกของตนคล้ายถูกไฟเผาไหม้จนปวดแสบ
“นางเป็นปิศาจ”
“ต้องฆ่านางเดี๋ยวนี้”
“แต่นางไม่ได้ตาย นางพิสูจน์ความผิดตัวเองแล้ว”
“ใช่แล้ว นางบริสุทธิ์ นางถูกใส่ร้าย”
ผู้คนต่างกำลังถกเถียงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลินโม่เหนียงที่แสบคอแสบจมูกไปหมดทำเพียงตะแคงตัว สำลักน้ำออกมาจำนวนมาก
“แค่ก ๆ ๆ ๆ” แม้นางจะไอจนเสียงดัง แต่ผู้คนยังคงเถียงกันต่อไป ไม่มีผู้ใดสนใจความเปลี่ยนแปลงของนางสักนิด
“นางแพศยานี่ต้องเป็นภูตผีปิศาจจำแลงมาแน่นอน หากเป็นคนทั่วไป จะอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานานเท่านี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ปล่อยนางทิ้งลงน้ำก็ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่นางกลับยังมีชีวิตอยู่ ต้องเป็นปิศาจแน่!”
หลินโม่เหนียงเหลือบสายตามองชายที่กำลังพูด นางจำเสียงของเขาได้ เขาเป็นคหบดีร่ำรวยในเมืองนี้ และเป็นสามีของนางด้วย!!
นางเริ่มจดจำได้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อสองวันก่อนพ่อแม่ผู้ยากจนได้ขายหลินโม่เหนียงให้กับพ่อค้าทาส เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนหลายปีมานี้ ทำให้ขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ครอบครัวจนๆ ของนางจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ตัดใจขายบุตรสาวออกไปเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายในบ้านไว้
ด้วยความที่หลินโม่เหนียงเป็นสตรีงดงาม นางจึงขายได้ราคาดี ทั้งไม่ต้องไปทำงานในหอโคมแดง มีคหบดีอายุมากผู้หนึ่งยินดีจะรับนางเป็นอนุ แต่งเข้าจวนอย่างถูกต้อง แม้นางจะอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
น่าเสียดายที่คืนเข้าหอ หลังจากตาแก่นั่นกระทำต่อร่างกายของนางอย่างรุนแรง รุ่งขึ้นเมื่อสาวรับใช้เข้ามาตรวจสอบ บนฟูกนอนกลับไม่พบรอยเลือดพรหมจรรย์
ภรรยาเอกของคหบดีเริ่มโวยวาย ยกความอัปมงคลความอับอายร้อยแปดพันเก้ามาอ้างเพื่อขับนางออกจากจวนให้ได้ เหล่าอนุอีกหลายสิบคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย คหบดีเฒ่าจึงได้แต่จนใจขับหลินโม่เหนียงออกจากจวน ทั้งที่ตัวเด็กสาวเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุใดนางจึงไม่มีเลือดพรหมจรรย์ นางมั่นใจว่าตลอดช่วงชีวิตที่เกิดมา นางไม่เคยเข้าหอกับชายใด
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านของพ่อแม่ ทุกคนกลับจับหลินโม่เหนียงใส่กรงไม้และนำไปถ่วงน้ำเพื่อล้างอายให้กับวงศ์ตระกูลจนๆ ของพวกเขา ทั้งยังป่าวประกาศไปทั้งเมืองให้ผู้คนมาดูหลินโม่เหนียงถูกฆ่า ต่อให้นางจะร้องขอด้วยความกลัว แต่พ่อแม่ก็ทำราวกับไม่รู้จักบุตรสาวคนนี้อีกแล้ว
คหบดีที่คืนเข้าหอยังพลอดรักกล่าวคำหวานกับนางไม่ขาดปาก วันนี้กลับพาภรรยาเอกของเขามาเฝ้าดูหลินโม่เหนียงถูกถ่วงน้ำด้วย
หลังจากที่หลินโม่เหนียงถูกนำไปถ่วงลงแม่น้ำ จากนั้นนางคล้ายจำอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากความกลัวตายและความเงียบสงบใต้น้ำ ยามนี้นางก็ยังคงประหลาดใจว่าเหตุใดตัวเองจึงยังไม่ตาย
“ตัวข้า อับอายยิ่งนักที่ต้องแต่งอนุเช่นนางปิศาจนี่” คหบดีกล่าวออกมา คล้ายว่าตัวเขาถูกผู้ใดบังคับให้แต่งนางเข้าจวน
“ข้าบอกท่านแล้วว่านางสารเลวนี่เป็นปิศาจ ท่านก็ไม่เชื่อ” ฮูหยินของคหบดีร่วมผสมโรงด้วย
“โธ่..ลูกแม่ เจ้าน่าสงสารนัก เจ้าถูกนางปิศาจกินไปแล้วหรือ ฮือๆ ๆ ๆ” แม่ของหลินโม่เหนียงถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก ท่าทางที่นางร้องไห้ข้างกรงขังบุตรสาว ดูแล้วช่างน่าสงสารน่าเวทนายิ่งนัก
หลินโม่เหนียงได้แต่มองคนในครอบครัวและคนแปลกหน้าด้วยความสงบยิ่ง หลังจากได้ผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง นางคล้ายจะไม่สนใจอะไรในโลกนี้อีกแล้ว อยากออกไปให้พ้นๆ จากคนพวกนี้เสียที นางยังคิดว่าเหตุใดจึงไม่ตายๆ ไปเสีย ให้สมกับความตั้งใจของพวกเขา นางจะได้ไม่ต้องทนมองหน้าคนพวกนี้อีก
“เชิญท่านนักพรตมาปราบปิศาจเถิด” ใครสักคนเอ่ยขึ้น
หลินโม่เหนียงทำเพียงกอดเข่าตัวเองไว้ พยายามให้ความอบอุ่นกับตัวเอง แม้นางจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว ไม่สนใจอีกแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ปล่อยให้ทุกคนทำตามใจ
‘ไม่มีประโยชน์ที่ต้องพูดคุย’ หลินโม่เหนียงคิดเพียงเท่านี้
ผ่านไปไม่ถึงเค่อ นักพรตอายุไม่เกินสี่สิบปีผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมอย่างดี พร้อมไม้เท้าหยกประดับยอดทองคำก็มาถึง เขาเดินรอบๆ กรงไม้ของหลินโม่เหนียง และทำบางอย่างราวกับสวดคาถาใส่นาง แต่หลินโม่เหนียงไม่สนใจ
“นางไม่ใช่ปิศาจ!” นักพรตเอ่ย
สิ้นเสียงนั้น หลินโม่เหนียงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองนักพรตด้วยความฉงน ท่ามกลางเสียงแตกตื่นวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน นักพรตกลับส่งยิ้มน้อยๆ ให้นางและหันไปเอ่ยกับผู้คนว่า
“นางเป็นผู้ที่ได้รับจุมพิตมังกร! นางถูกใส่ร้าย”
“อะไรนะ จุมพิตมังกรที่จะมอบให้เพียงผู้บริสุทธิ์เท่านั้นน่ะหรือ”
“ข้าเคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง”
“โธ่เอ๊ย นางช่างน่าสงสาร ถูกใส่ร้ายจริงๆ สินะ”
"น่าสงสารนัก"
“ต้องเป็นผู้มีบุญบารมีสูงส่งจึงจะได้รับจุมพิตจากเทพเจ้ามังกร นางต้องไม่ใช่คนชั่วช้าแน่นอน”
ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนหันมาเห็นใจหลินโม่เหนียงและมองคหบดีกับภรรยาด้วยความเหยียดหยาม บางคนถึงกับส่ายหัวด้วย
เสี่ยวอวี้ เสี่ยวหยาง เสี่ยวชิง และเสี่ยวหลันโผเข้ากอดนางแน่น ดวงตาเปียกชุ่มด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ใจกับข่าวร้ายที่ท่านน้ากระซิบบอกว่าอาจไม่ได้พบมารดาอีกหลายวัน หรือตลอดไป ไป๋อวิ๋นเหยาใช้เวลาปลอบโยนลูกๆ ที่ยังไม่คลายจากความหวาดหวั่น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับมาเติมเต็มจวนไป๋อีกครั้ง แต่ลึกลงไปในใจของนาง ความกังวลยังคงรุกล้ำเงียบงัน วันแล้ววันเล่า นางเฝ้ารอการกลับมาของสามีผู้เป็นที่รัก แต่มีเพียงสายลมหนาวยามค่ำคืนเท่านั้นที่ตอบกลับมา องค์หญิงหว่านหนิงถูกประกาศว่าถูกไฟไหม้เสียชีวิต เพราะเมามายเกินไประหว่างคืนเทศกาลโคมไฟ และจวนไป๋ก็ได้รับเงินมากมายจากราชสำนักเพื่อบำรุงซ่อมแซมจวน แต่ไร้เงาของเฉินซูเหยา เวลาล่วงผ่านไปนานนับเดือน แต่สามีของไป๋อวิ๋นเหยาก็ยังไม่กลับมา นางเฝ้ารอด้วยความทุกข์ใจจนแทบทนไม่ไหว ความเงียบงันที่ไม่มีแม้เงาของเขาทำให้นางตัดสินใจลงมือเอง แม้จะเป็นเพียงบุตรีของอดีตบัณฑิต แต่ด้วยแรงแห่งความรักและความหวัง นางจึงพยายามหาหนทางติดต่อองค์รัชทายาท ทุกก้าวของนางเต็มไปด้วยอุปสรรค สายตาดูแคลน และเสียงกระซิบวิจารณ์ แต่ไป๋อวิ๋นเหยาก็ไม่ยอมแพ้ กระทั่งวัน
ความรู้สึกผิดท่วมท้น นางเงยหน้ามองชายผู้เคยเป็นดั่งเงาในชีวิตด้วยน้ำตาที่รินไหล เขาต้องการให้นางเจ็บปวดเพื่อนางจะได้หันหน้าหนี เพื่อนางจะได้ปลอดภัย และนางก็เป็นเช่นนั้น เกลียดเขาจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้เขาจะรอนางอย่างเดียวดายที่สะพานไน่เหอ หลายปี แต่นางก็ยังเกลียดเขา “ข้า..ข้ามันเห็นแก่ตัวนัก” เสียงแหบพร่าของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นเทา นางสะอื้นน้ำตารื้น “..เหตุใดจึงเป็นเหยาเหยาเห็นแก่ตัวเล่า..ข้าต่างหากที่เห็นแก่ตัว ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าเจ็บปวด ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน” เขากอดรัดภรรยาไว้จนแน่น “เจ้าคิดจะตายลำพัง!” นางก่นด่า หากเมื่อคืนนี้นางไม่เข้าไปในเรือนหลัง เขาก็คงจะตายลำพังอีกแล้ว “ข้าเตรียมทางหนีไว้แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ ทางที่ข้าพาเจ้าหนีมาอย่างไรเล่า” เขาลูบหัวของภรรยาเบาๆ “แต่หากข้าไม่เข้าไป เจ้าก็จะรอจนแม่ทัพหนุ่มที่เผาภูเขาลูกนั้นเข้ามาในจวน แล้วเจ้าค่อยเผาใช่หรือไม่!!” นางเข้าใจความตั้งใจของเขาดี เขาคงคิดจะเสียสละชีวิตเพื่อลากทุกคนไปกับเขา “..เหยาเหยาไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง” “แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดี ข้า..ข้าทำให้เจ้า..ข้าทำแผนของเจ้าพัง” “เหยาเหยาไม่ต้องกังวล” เขาเพียงพูดพร
เฉินซูเหยากอดร่างของภรรยาไว้ในอ้อมแขน ร่างของนางที่ยังอ่อนแรงพิงเขาอย่างตกตะลึงในความจริง นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ” ไป๋อวิ๋นเหยาท้วงติงไม่พอใจ เขาหัวเราะขบขัน ไม่เห็นการข่มขู่ของภรรยาอยู่ในสายตา เขาเพียงเริ่มเล่าถึงความหลังที่เกิดขึ้นต่อไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น มองภรรยาด้วยความรักใคร่ ไป๋เหวินหยาง เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการศึกสงคราม แต่ก็เป็นบัณฑิตมากความสามารถ มีสายตาที่มองทะลุความสามารถของคน แม้จะรู้ว่าเฉินซูเหยาเป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหยวนกวน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเฉินซูเหยาไว้ ช่วยปกปิดภูมิหลังของเขา ซ่อนเขาจากศัตรูของแม่ทัพ สั่งสอนเขาราวกับศิษย์คนหนึ่ง หลังจากเด็กหนุ่มสอบได้เป็นจอหงวน ชีวิตของเขาก็เริ่มรู้สึกสงบสุข ได้แต่งงาน เขาไม่เคยคิดแก้แค้นให้บิดาเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังของเขาไม่มากพอ และที่สำคัญ เขาแต่งงานกับหญิงสาวตรงหน้าแล้ว เขาไม่อยากให้ภัยอันตรายใดๆ มาถึงจวนไป๋ หรือครอบครัวของนาง เขาจึงเลือกที่จะวางอดีตลง หรืออย่างน้อยก็พยายามวาง แต่ในใต้หล้านี้ ความตั้งใจหรือจะสู้ฟ้าลิขิต หลังจากเฉินซูเหยาได้ร
“อ้า..เหยาเหยา..” เขาครางแหบพร่าไป๋อวิ๋นเหยาแทบอยากจะกรีดร้อง เพราะรู้สึกว่าความร้อนแท่งใหญ่ที่ค่อยๆ ซึมเข้ามา เหมือนเปลวเพลิงกำลังกัดกิน ทุกอณูของร่างเริ่มร้อนจนเหมือนจะระเบิด ความกำหนัดที่เขาเพาะบ่มตลอดการย่างกำลังทวีขึ้น ความรู้สึกถูกเผาผลาญนั้นเหมือนจี้ถูกจุดร่างกายของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นระริกโดยไม่อาจควบคุม พวยพุ่งความสุขสมออกมาจนท่วมรอบเอวสามี เขาไม่ได้รังเกียจ อีกทั้งยังกอดนางแน่นยิ่งขึ้น งัดเอวขึ้นเพื่อกดแท่งหยกซ้ำๆ บนจุดแสนหวานในร่องรักของภรรยา “เหยาเหยากล้าพวยพุ่งน้ำพุใส่ข้าแล้วหรือ” เขาล้อเลียน ยิ้ม บางเบาพึงพอใจ ระหว่างที่ยังคงบดสะโพกต่อไป ไป๋อวิ๋นเหยาใบหน้าแดงก่ำอยากร้องไห้ นางสั่นระริกสุขสมไปทั่วร่าง เขายังกล้าล้อเล่นเช่นนี้อีก เมื่อก่อนเขาชอบขอจะดูนางปลดเบา อย่างไรนางก็ไม่ให้ เขาจึงได้แต่ทำใจ วันนี้นางพวยพุ่งใส่เขาเช่นนี้ ไม่ใช่นางกล้าหาญหรือจงใจ แต่เพราะนางควบคุมไม่ได้จริงๆ และนางกล้าสาบานว่านี่ไม่ใช่การปลดเบาเขาต่างหากที่ทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้!“ชู่ว..ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ เหยาเหยาเย้ายวนยิ่ง” เขาชื่นชม ก้มลงจูบซับน้ำที่เอ่อล้นขอบตาของภรรยา ลิ้มเลียน้ำตาของ
มือของเขาเคลื่อนไปจับมือของนางที่อ่อนปวกเปียกเพราะพิษกำยาน และเริ่มนวดเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงฝ่ามืออย่างทะนุถนอม แม้มือของเขาเองจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันกลับไม่หยุดความพยายามของเขาแม้แต่น้อย ราวกับจะทำทุกวิถีทางให้นางรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น นางได้แต่มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดปนความสับสน แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ความรู้สึกอ่อนโยนที่เขามอบให้ กลับทำให้นางไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเองไม่ให้เต้นระรัว เด็กสารเลวนี่ วางแผนจะรวบนางนานแล้วหรือ! นางคิดว่าท่านพ่อบังคับเขาให้แต่งเสียอีก ที่แท้เขาก็ไม่ได้ใสซื่อมือของเฉินซูเหยาค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ปลายเท้าของนางเขาเริ่มนวดที่ฝ่าเท้า ไล่ขึ้นไปจนถึงข้อเท้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนและตั้งใจ เหมือนพยายามจะบรรเทาความชาและขับพิษให้นางให้ได้มากที่สุด แต่สายตาหื่นกระหายกลับพูดสิ่งอื่น “เลือดลมของเจ้าจะต้องรีบขับออก” เขาพูดเบาๆ พลางจ้องมองใบหน้าของนางที่เริ่มแดงจนคล้ำ แม้ในใจไป๋อวิ๋นเหยาจะยังคงประท้วงอยู่ แต่ร่างกายกลับยอมรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ นางหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้ความร้อนรุ่มจากพิษสมุนไพรและสัมผัสของเขาไหลเวียนไปทั่วร่าง ท่ามกล
“...” ไป๋อวิ๋นเหยาส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังเขา แต่กลับทำให้เขายิ่งหัวเราะชอบใจ “ดื่มเถิด ข้าจะช่วยพยุงเจ้าเอง” เขาประคองนางขึ้นอย่างระมัดระวัง แม้บาดแผลของเขาจะส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไป ด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ เพียงใช้แขนที่มั่นคงรองรับร่างของนางไว้ริมฝีปากของนางสัมผัสกับของเหลวสีเขียวเข้ม กลิ่นของมันไม่ชวนดื่มเอาเสียเลย ทว่าด้วยแรงผลักดันจากแววตาที่มุ่งมั่นน่ารัdของเขา ไป๋อวิ๋นเหยาจึงกล้ำกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อนางยอมดื่มจนหมด เฉินซูเหยาก็โยนถ้วยใบไม้ทิ้ง จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตนาง เรียวลิ้นกวาดสัมผัสยาสมุนไพรขมๆ ในปากอิ่มของภรรยาอย่างหิวโหย ไป๋อวิ๋นเหยาเบิกตาโพลง ตกใจราวสาวน้อยที่เพิ่งเคยจุมพิตนางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปพบกับเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่ขโมยจุมพิตแรกของนาง ราวเด็กหนุ่มเอาแต่ใจผู้นั้นยังคงอยู่ไม่หายไปไหน “เจ้ายังขยับไม่ได้ แต่เลือดเริ่มไหลเวียนดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะหาย” เขากระซิบบนริมฝีปากของภรรยา เหมือนปลอบเด็กน้อย เขาชอบทำเช่นนี้เสมอ ป้อนยานางและตามด้วยจุมพิตขมปนหวาน เขาทำเช่นนี้ทุกครั้งที่นางป่วย เอาใจใส่นางและกลั่นแกล้งนาง ร่างแน่นิ่งซึ่
댓글