สามวันหลังแต่งงานจะมีธรรมเนียมคู่สามีภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาว ชินอ๋องกับชินหวางเฟยพระองค์ใหม่เองก็ไม่ได้ละเลยธรรมเนียมนี้
รถม้าประจำตำหนักชินอ๋องแล่นมาจอดอยู่หน้าจวนเสนาบดีช้ากว่าเวลาที่นัดไว้โข แต่การมาถึงของคนทั้งคู่ก็เรียกเสียงน่าตื่นเต้นว่า ‘มาแล้ว ชินอ๋องเสด็จแล้ว ชินหวางเฟยเสด็จแล้ว’ จากผู้คนโดยรอบได้เป็นอย่างดี
และยิ่งฮือฮาเข้าไปอีกเมื่อร่างสูงดูสุภาพสง่างามก้าวลงมาจากรถม้าแล้วโปรยยิ้มให้กับประชาชนที่มารับเสด็จ จากนั้นเขาก็หันไปให้ความสนใจพระชายาคนใหม่ของตน
“ชายารักระวังด้วย”
น้ำเสียงทุ้มติดอ่อนโยนเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นมือขาวสะอาดไปให้ชายารักจับตอนก้าวลงจากรถม้า ความใส่ใจนี้ทำให้สาวงามในชุดพระชายาเต็มยศยิ้มจนแก้วปริ ทั้งสองประคองกันมายืนตรงหน้าเสนาบดีหลิวโดยที่แขนแกร่งของชินอ๋องไม่ได้ละไปจากร่างของชินหวางเฟยเลย
มองอย่างไรผู้คนก็คิดไปในทางเดียวกันว่าชินหวางเฟยผู้นี้เป็นที่โปรดปรานยิ่งแล้ว
การได้รับความโปรดปรานทั้งจากการกระทำ สายตา คำพูด ไหนจะเรื่องเครื่องแต่งกายของหลิวตันตันควรจะทำให้หลิวหงเถาอิจฉา
แต่ผิดคาด ใบหน้าของนางนิ่งมาก บางคนอาจคิดว่านางแค่เก็บความอิจฉาเอาไว้ในใจ แต่ใครเล่าจะรู้ดีไปกว่านาง
“พี่เถาเถ่าไหวหรือไม่ขอรับ”
ด้วยเพราะเสนาบดีหลิวอยากให้การรับเสด็จในครั้งนี้ออกมาได้น่าประทับใจชินอ๋องที่สุด จึงได้เกณฑ์บ่าวไพร่ทั้งจวนมารับเสด็จตั้งแต่ไก่โห่ จนตะวันขึ้นกลางศีรษะ แดดส่องจนแต่ละคนหน้าดำหน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ ก็ยังไม่ยอมให้เข้าร่ม ไม่ให้กางร่ม อ้างว่า ‘เดี๋ยวไม่จริงใจพอ’
“ถ้าจะมาช้าก็ควรส่งคนมาบอกก่อนไหม ยืนรอจนขาแข็งหมดแล้ว”
“พี่เถาเถ่าประเดี๋ยวคนอื่นได้ยินนะขอรับ ใจเย็น ๆ ก่อนนะขอรับ”
ชิงหมินเห็นองครักษ์วังอ๋องยืนอยู่แถวนี้จึงกลัวว่าพวกเขาจะนำคำพูดของหลิวหงเถาไปฟ้องชินอ๋อง
“จะให้เย็นอย่างไรไหว ทีนี้เป็นไงเล่าประทับใจพอไหม แล้วตำหนักนั้นก็กระไร นัดเช้าแต่มาเที่ยง!”
คนที่เห็นท่าทางนี้ของหลิวหงเถานอกจากบ่าวไพร่แล้วก็ยังมีองครักษ์บางคนของชินอ๋อง แม้พวกเขาจะยืนอยู่ห่างแต่ก็ได้ยินคำพูดของหลิวหงเถาชัดเต็มสองหู คราแรกตั้งใจจะดุนางที่วาจาสาวหาว ไม่ยำเกรงต่อเชื้อพระวงศ์
“นี่คุณหนู…”
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเล็กรูปผลท้อแดงก่ำในยามที่หันกลับมาจ้องทางพวกเขา ซึ่งดูก็รู้ว่ามาจากการตากแดดนานเกินไป ทำเอาพวกเขารู้สึกผิดจนเอ่ยตำหนิไม่ลง ในใจพากันคิดไปว่า
ขออภัยท่านอ๋องที่ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่
แม้หลิวหงเถาจะไม่อยากมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับพี่เขยเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ไม่อาจหักหน้าพี่สาวได้ อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดใหม่ตามฉบับคุณหนูในห้องหอแล้วมานั่งแก้มป่องมองพี่เขยกับพี่สาวแสดงความรักต่อกัน
คำนี้พี่คีบให้น้องหญิง คำนี้น้องหญิงคีบให้เสด็จพี่ สลับกันไปมาแบบนี้ตลอดมื้ออาหาร สร้างความปลื้มใจให้แก่ผู้เป็นบิดามารดานัก
หนึ่งบุรุษหนุ่มมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าไว้ตลอดเวลากับสาวงามภาพลักษณ์อ่อนหวานแสนดีราวกับแม่พระ ทำให้คนที่มองอยู่ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีหลิว จูม่านหลิงหรือแม้แต่บรรดาบ่าวรับใช้ในห้องอาหารต่างรู้สึกตาพร่าไปตามๆ กัน เว้นอยู่แต่สองคนที่รู้สึกไม่เหมือนกับชาวบ้าน
“ตาข้าจะบอดเพราะพ่อพระแม่พระปล่อยแสงออกมาหรือไม่ ห้องนี้มืดไปหมดเลย สว่างวาบอยู่แค่จุดเดียว”
แฝดพี่หลิวหลี่เฟยแอบขมุบขมิบปากพูดคนเดียว แต่หลิวหงเถาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กลับได้ยินมันชัดเต็มสองหูจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่หรือไม่ อีกนิดข้าจะคิดว่าตัวเองอยู่วัดแล้วนะ จิตใจสงบได้โดยไม่ต้องเคาะเกราะไม้นับลูกประคำ”
“อุก แค่ก แค่ก”
แฝดพี่พยายามกลั้นขำเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อไม่ไหวแล้วจึงได้แสร้งเป็นสำลักอาหารแทน อย่างน้อยวิธีการนี้ก็ยังทำให้เขาถูกตำหนิจากบิดามารดาได้ไม่หนักเท่าการหัวเราะออกมาโดยไร้สาเหตุ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็เป็นสาเหตุที่บอกไม่ได้เสียด้วย
“แค่ก ๆ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะชินอ๋อง ชินหวางเฟย”
อาการหน้าดำหน้าแดงของหลิวหลี่เฟยทำให้หลิวหงเถาอยากหัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน นางพยายามกลั้นขำอย่างเอาเป็นเอาตาย มือกำตะเกียบไว้แน่นจนนิ้วห้อเลือดไปหมด แต่คนเป็นพี่สาวที่เพิ่งหันมาให้ความสนใจกลับคิดว่าน้องสาวตนนั้นกำลัง ‘อิจฉา’ อีกแล้ว ในใจหลิวตันตันคิด…
เอาอีกแล้วแม่ตัวดีคนนี้
หลังมื้ออาหารค่ำจบลงชินอ๋อง เสนาบดีหลิว จูม่านหลิงและหลิวหลี่เฟยได้สนทนากันอยู่อีกห้องหนึ่งโดยมีหลิวหงเถาแยกมานั่งกับหลิวตันตันอีกห้องหนึ่ง เมื่ออยู่กันสองคนพี่น้องแล้วหลิวตันตันก็เอ่ยขึ้น
“น้องหญิงเล็ก รู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าทำอะไรผิด”
เมื่อกลืนเนื้อแตงโมลงคอได้แล้วหลิวหงเถาก็ถามขึ้นมาอย่างงงงวย “หม่อมฉันทำอันใดผิดไปหรือเพคะหวางเฟย”
ความจริงแล้วนางเป็นคนความจำสั้นมาก เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันถ้าไม่จดบันทึกเอาไว้ หรือไม่มีชิงหมินคอยเตือนความจำให้ นางไม่มีทางจำได้เลย ซึ่งข้อนี้คนในครอบครัวของนางรู้ดี
“งั้นเปิ่นหวางเฟยจะทวนความจำให้ดีหรือไม่"
หลิวตันตันไม่อยากใช้คำยกตนแบบเชื้อพระวงศ์มาข่มคนในครอบครัวโดยเร็วขนาดนี้นัก แต่ในเมื่อน้องสาวเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน นางจึงไม่คิดเกรงใจแล้วเช่นกัน
“กิริยาอิจฉาของเจ้าที่แสดงเมื่อมื้ออาหารที่ผ่านมา ไม่น่ารักเลยนะ”
หลิวหงเถานิ่งคิด เมื่อเค้นสมองคิดอย่างสุดความสามารถถึงจำได้ว่านางสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ แต่เดี๋ยวนะ…
“หม่อมฉันเปล่านะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้อิจฉาพระองค์เสียหน่อย”
“ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมสารภาพความจริง แต่ก็เอาเถอะ เปิ่นหวางเฟยจะทำเหมือนว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านอ๋องทรงไม่ถือสา แล้วจงสำเหนียกเอาไว้ด้วยว่านั่นเป็นเพราะพี่สาวของเจ้าได้รับความโปรดปรานเป็นล้นพ้น”
กรอบ!
เม็ดแตงโมที่อยู่ในปากหนึ่งเม็ดถูกฟันเล็กขบจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี ปกติหลิวหงเถาเกลียดการกินเม็ดแตงโมมาก แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้ของที่เคยเกลียดเข้าไส้ก็สามารถเคี้ยวจนเม็ดมันละเอียดไปกับลิ้นได้อย่างไม่นึกรังเกียจ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นวิธีการระบายอารมณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้
“หม่อมฉันจะจำเอาไว้เพคะหวางเฟย”
ในเมื่อยัดเยียดให้กันเช่นนี้แล้ว อิจฉาก็อิจฉา
สองสามีภรรยาอยู่สนทนากับคนตระกูลหลิวไม่นานก็ขอตัวกลับวังอ๋อง เมื่อเดินตัดผ่านสวนมายังหน้าตำหนักใหญ่ ชินอ๋องก็หันมาเอ่ยกับพระชายาคนใหม่
“วันนี้หวางเฟยเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักเถิด เปิ่นหวางยังมีงานรออยู่อีกมากมายให้ต้องสะสาง”
คำพูดของพระสวามีสูงศักดิ์ทำให้หลิวตันตันยิ้มค้าง เพราะนั่นหมายความว่า ‘เปิ่นหวางจะไม่มาค้างกับเจ้าแล้ว’ แม้เขาไม่พูดออกมาตามตรง แต่ใครที่ได้ยินก็ล้วนแปลเป็นคำพูดในทางเดียวกันหมด
“เพคะ ถนอมพระวรกายด้วย หม่อมฉันทูลลาตรงนี้”
กล่าวจบก็ย่อกายถวายความเคารพด้วยท่าทางงดงามไร้ที่ติ สมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ถูกอบรมมาอย่างดี ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานทำให้ผู้คนดูไม่ออกเลยสักนิดว่าหลิวตันตัน ‘ไม่พอใจ’ แต่ชินอ๋องกลับจับอาการไม่พอใจนั้นได้อย่างชัดเจน
ชินอ๋องเข้าใจความรู้สึกของหลิวตันตันเป็นอย่างดี ด้วยเพราะว่าทั้งตำหนักมีสตรีที่ถวายการรับใช้เขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือพระชายาหลิวผู้นี้ ซึ่งขนาดมีอยู่เพียงแค่คนเดียวแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ชินอ๋องเสด็จมาหาในคืนที่สี่ได้ ความหมายในที่นี่ก็คือมัดใจสวามีได้เพราะมีธรรมเนียมมาบังคับให้อยู่ค้างสามคืนเท่านั้น เมื่อพ้นธรรมเนียมแล้วก็ไม่คิดที่จะกลับไปหาอีก
เรื่องนี้คงจะเป็นที่เล่าขานทั่วทั้งวังอ๋องเป็นแน่ ซึ่งเจ้าของวังเองก็พอจะเดาเอาไว้อยู่แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่มองตามแม้จะยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับไว้ แต่แววตากลับแข็งกร้าวให้กับการลงเท้าหนักของพระชายา
“ถือสิทธิ์อันใดมาไม่พอใจข้า การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นแค่การแต่งงานการเมืองเท่านั้น อะไรที่ควรทำข้าก็ทำให้แล้ว ยังอยากหวังมากกว่านี้อีกสินะ งั้นก็ลองพยายามดูเถิด มีความสามารถมากพอหรือไม่”
ณ ตำหนักบูรพา
ชินอ๋องและไท่จื่อผู้เป็นรัชยาทของแคว้นชิงชิวอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ชินอ๋องศักดิ์คืออาของไท่จื่อ อายุ 30 พรรษา ส่วนไท่จื่อนั้น 28 พรรษา ทั้งคู่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงค่อนข้างสนิทกันและพูดคุยกันได้ทุกเรื่องไม่เว้นเรื่องอำนาจในการบริหารแว่นแคว้น
“ลำบากเสด็จอาแล้ว”
เมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องทรงอักษรปราศจากหูตาจากนางกำนัลขันทีคนใด ไท่จื่อก็เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นกันเอง
ซึ่งชินอ๋องเองก็ไม่ได้ถือว่าตนอาวุโสกว่าแต่อย่างใด มือเรียวบางราวกับหยกเนื้อดีตบเบา ๆ บนหลังมือหยาบกร้านแดดของไท่จื่อผู้ฝึกยุทธ์อย่างหนักหน่วงมาทั้งชีวิต
และใช่! ไท่จื่อก็คือต้นแบบของชายหนุ่มนักรบที่สาว ๆ ทั่วทั้งแคว้นต่างหมายปองนั่นเอง
“เพื่อแคว้นของเรา หากไม่ทำเช่นนี้เสนาบดีหลิวคงไม่แคล้วหาทางแปรพักตร์ไปฝั่งกบฏ เขามีอำนาจมากแค่ไหนในแถบทางใต้ พระองค์ก็ทรงรู้”
“เฮ้อ พรุ่งนี้ก็คงถึงตราข้าบ้างแล้วสินะ แต่ช่างเถิด ให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ เล่าเรื่องวันนี้ของเสด็จอาให้ข้าฟังดีกว่า เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อถามด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม ทั้งสองคนคุยกันทุกเรื่องจริง ๆ รวมถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“วันนี้ไปช้ากว่ากำหนดเพราะพระชายามัวแต่แต่งองค์ทรงเครื่องอยู่…นางคงร้อนมากสินะ หน้าแดงก่ำเหมือนผลท้อเลย”
ชินอ๋องคงไม่รู้ว่าตนเองในยามนี้แววตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนจริงใจมากแค่ไหน ทำเอาคนที่มองดูอยู่ถึงกับยิ้มตามไปด้วย
“แล้วไหนจะแอบซุบซิบกันว่ากระหม่อมเป็นพ่อพระอีก กลั้นขำกันจนมือที่จับตะเกียบแดงก่ำไปหมดแล้ว”
ไท่จื่อไม่ได้สนใจว่าการเล่าเรื่องของชินอ๋องนั้นจะปะติดปะต่อกันหรือไม่ เพราะสิ่งที่เขาสนใจในยามนี้ก็คือ นางผู้นั้นทำให้เสด็จอาของเขายิ้มออกมาด้วยความจริงใจได้
ชักอยากทำความรู้จักกับนางเสียแล้วสิ