ตอนนี้ไท่จื่อเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน เพียงแค่เขาเผลอมองใครนานเกินไป จุดที่เขามองอยู่ก็จะเป็นที่สนใจตามไปด้้วย
“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย มีอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีจินเห็นว่าไท่จื่อมองไปยังหลิวหงเถานานจนเกินไปจึงได้ทักขึ้นเสียงเบา ในใจรู้สึกไม่ดีด้วยสตรีที่ไท่จื่อเผลอมองเป็นบุตรสาวของคนที่ตนไม่ใคร่ชอบหน้า
“อ้อ” ไท่จื่อไม่อยากให้ตัวเองดูเสียอาการมากไปกว่านี้จึงได้บอกเหตุผลออกมาตามตรง “เปิ่นไท่จื่อเห็นคุณหนูผู้นั้นก้มหน้าอยู่ จึงสงสัยว่านางเป็นอะไรไปหรือไม่”
เสนาบดีจินส่งสายตาให้บุตรสาวจัดการต่อ จินเซียนเหม่ยจึงเดินเข้าไปจับมือหลิวหงเถา ในตอนนั้นเองคนที่ตกเป็นเป็นเป้าความสนใจถึงได้สติขึ้นมาซ้ำยังสะดุ้ง ‘เฮือก’ จนคนที่อยู่ใกล้พลอยตกใจตามไปด้วย
“มีเรื่องอันใดหรือ”
หลิวหงเถาทำหน้าเหรอหรา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาถึงเห็นว่าทุกคนล้วนจ้องมองมาที่ตนเป็นตาเดียวกัน
นี่ข้าสติหลุดไปถึงไหนแล้วเนี่ย!
คนที่มองด้วยใจริษยาก็จะคิดว่านางแสร้งดึงดูดความสนใจจากไท่จื่อ แต่ตัวไท่จื่อเองนั้นกลับมองหลิวหงเถาด้วยสายตาเอ็นดู
“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเห็นเจ้าก้มหน้าบีบมือตนเองอยู่นาน…ตายจริง เลือด!”
จินเซียนเหม่ยยกมือเรียวบางขึ้นปิดปากเมื่อเห็นว่ามีเลือดซึมออกมาจากมือของหลิวหงเถา ไท่จื่อรุดเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ก่อนที่จะขอให้เสนาบดีจินไปตามหมอมาทำแผลให้นาง
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรมากเพคะ ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านเสนาบดี แผลไม่ได้ลึกมาก”
“ลึกหรือไม่ลึกเลือดก็ไหลออกมาแล้ว เป็นเด็กดีนั่งรอหมออยู่นิ่ง ๆ เถิดคุณหนู”
แค่เห็นไท่จื่อดูกระวนกระวายกับอาการบาดเจ็บของหลิวหงเถา ทุกคนก็ตะลึงมากพออยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ได้ยินคำว่า ‘เด็กดี’ หลุดออกจากปากเขาอีกก็ยิ่งอึ้งเป็นการใหญ่
คำถามมากมายผุดขึ้นในใจใครหลายคน เช่น ‘พวกเขาสนิทกันหรือ’ ‘รู้จักกันตอนไหน’ ‘สนิทกันได้อย่างไร’ และอีกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด
เมืองหลวงแคว้นชิงชิวเล็กนิดเดียว บุรุษบ้านไหนหมั้นหมายกับสาวบ้านใดไม่ใช่เรื่องที่สามารถปิดไว้ได้มิด แล้วยิ่งชินอ๋องอภิเษกกับหลิวตันตันเพราะสมรสพระราชทาน การแต่งงานการเมืองที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวหาได้รักใคร่กันมาก่อน ยิ่งตัดประเด็นที่ทั้งสองจะรู้จักกันผ่านชินอ๋อง
“ท่านหมอ เชิญทางนี้ขอรับ”
พ่อบ้านประจำตระกูลจินเชิญหมอหนุ่มดูอายุไล่เลี่ยกันกับไท่จื่อเข้ามาในห้องโถง เขาแวะทำความเคารพผู้เป็นใหญ่ที่สุดอย่างไท่จื่อกับทักทายเสนาบดีจินเพียงชั่วครู่แล้วค่อยเดินมาทางหลิวหงเถา
“ล่วงเกินคุณหนูแล้ว”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยอย่างสุภาพพร้อมยิ้มให้คนไข้อย่างใจดี แต่กลายเป็นว่าสตรีในห้องโถงกลับมามีท่าทีเขินอายให้กับรอยยิ้มของหมอหนุ่มแทนหลิวหงเถาเสียงั้น
“รบกวนท่านหมอด้วยเจ้าค่ะ”
หลิวหงเถาผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อยแล้วยื่นมือบางวางทับมือใหญ่ของท่านหมอที่มีผ้าสีขาวสะอาดทับไว้อีกทีเพื่อกันการสัมผัสกันโดยตรง
“ไปโดนอันใดมาหรือคุณหนู”
คำถามของหมอหนุ่มคือสิ่งที่ทุกคนต่างสงสัยไม่แพ้กัน หลิวหงเถาอึกอัก ใครจะกล้าบอกว่าตัวเองโมโหคนอื่นมาแล้วมาลงกับตัวเอง จึงได้ปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่
“เล็บของข้ายาวมาก คงเผลอไปโดนจนบาดเข้า”
แผลที่หมอหนุ่มเห็นดูอย่างไรก็เป็นการกดทับย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ จนเลือดไหลออกมา ไม่ใช่เกิดจากการบาดแน่นอน ตอนแรกเขาแค่อยากรู้ว่าหลิวหงเถาจะตอบว่าอย่างไร แต่ในเมื่อนางเลือกที่จะโกหก เขาจึงได้ยอมไหลไปตามน้ำ ไท่จื่อที่ยืนมองการทำแผลอยู่ด้านหลังก็เห็นตรงกันกับหมอหนุ่ม
แสดงว่าก่อนที่ข้าจะเดินเข้ามานางคงโดนกดดันจากเรื่องอะไรอยู่สินะ หากเสด็จอาเห็นคงปวดใจแย่เลย
“เสร็จแล้ว ช่วงนี้งดการสัมผัสน้ำไปก่อนสักสามวัน หรือไม่ก็จนกว่าปากแผลจะปิด”
ใช้เวลาไม่นานมากหมอหนุ่มก็ทำการรักษาหลิวหงเถาเสร็จ นางลุกขึ้นย่อกายขอบคุณเขาก่อนที่จะได้รอยยิ้มทรงเสน่ห์ของหมอกลับมาเป็นของแถม สตรีที่มารุมล้อมอยู่ในตอนแรกจึงพากันกลับไปนั่งที่เดิม เสนาบดีหลิวเห็นทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้วจึงได้เอ่ยขึ้น
“หากคุณหนูหลิวไม่ไหวจะกลับก่อนข้าก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด ว่าแต่ไหวหรือไม่”
ใจของหลิวหงเถานั้นอยากกลับตั้งแต่ฟังเรื่องของพี่สาวนางแล้ว แต่เมื่อรับปากมารดาว่าจะอยู่ให้จบงาน นางก็จะทำวันนี้ของนางให้ดีที่สุด
“เพียงเท่านี้ยังไกลหัวใจเจ้าค่ะ เชิญทุกคนสนุกกันต่อได้เลยนะเจ้าคะ ต้องขออภัยทุกคนด้วย โดนข้าทำเสียบรรยากาศหมดเลย”
เมื่อหลิวหงเถายืนยันว่านาง ‘ยังไหว’ เสนาบดีจินจึงได้นำเสด็จไท่จื่อไปยังที่นั่งฝั่งบุรุษ ก่อนไปก็กำชับบุตรีให้ดูแลแขกดี ๆ ด้วย ลำดับต่อไปของงานจึงเริ่มขึ้น นั่นคือการแข่งขันวาดภาพนั่นเอง
จินเซียนเหม่ยประกาศกติกาการวาดภาพว่าต้องเป็นบุปผา มีการแต่งกลอนลงในภาพและจะต้องเสร็จให้ทันก่อนงานจะเลิกหนึ่งชั่วยาม ผู้ตัดสินภาพวาดคือบุรุษทุกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
สาวใช้นำอุปกรณ์วาดภาพมาแจกจ่ายแก่คุณหนูทุกคน แต่พอมาถึงโต๊ะของหลิวหงเถาก็หยุกชะงัก มองหน้าจินเซียนเหม่ยอย่างขอความเห็น
“หงเถา อยากวาดภาพหรือไม่”
“นั่นสิหงเถา ไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มวาดก็ไม่ได้เสียศักดิ์ศรีอะไรมากหรอก”
ประโยคแรกเป็นของจินเซียนเหม่ย ประโยคหลังคือจูจิ่วลี่ หลิวหงเถาได้ฟังแบบนี้ก็มีคำตอบให้กับใจตัวเองแล้ว
วันนี้คนที่เล่นงานข้ามากที่สุดไม่ใช่จินเซียนเหม่ยแต่เป็นจูจิ่วลี่!
“ไม่เป็นไร ข้าถนัดทั้งสองมืออยู่แล้ว โชคดีที่เป็นคนชอบทำให้ตัวเองเป็นคนมีความสามารถอยู่เสมอ”
ประโยคนี้หลิวหงเถาตั้งใจแซะจูจิ่วลี่ตรง ๆ ใครก็รู้ว่าจูจิ่วลี่ไม่ได้มีความสามารถในการวาดภาพถึงขั้นทำให้เป็นที่จดจำขนาดนั้น ต่างจากหลิวหงเถาที่ฝีมือฟ้าประทานมาก ชื่อเสียงด้านศาสตร์ชั้นสูงของสตรีในห้องหอจะต้องมีชื่อของนางติดอยู่ในลำดับต้น ๆ อยู่เสมอ
และที่นางสามารถใช้สองมือในการวาดภาพเขียนอักษรได้ดี นั่นก็มาจากการที่นางอิจฉาผู้อื่นจนเอากลับมาพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิมนั่นเอง
“เอาล่ะ ๆ”
จินเซียนเหม่ยปรามจูจิ่วลี่อีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าให้สาวใช้แจกอุปกรณ์วาดภาพให้หลิงหงเถา
การแข่งวาดภาพในวันนี้ไม่ได้มีกฎว่าจะต้องนั่งวาดอยู่สถานที่จัดงานเท่านั้น ทุกคนสามารถเดินออกไปชมสวน ชมบุปผาที่ไหนของจวนเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจก็ได้ เพียงแต่ว่าต้องส่งงานให้ตรงตามเวลา
และหลิวหงเถาก็เลือกจะออกมาเดินสูดอากาศด้านนอกแทนการวาดในห้องโถงกว้าง หนึ่งเลยคือนางอยากหลบหน้าจูจิ่วลี่ สองนางต้องการสมาธิในการวาดภาพ
แต่ไม่คิดว่าคนที่นางอยากหนีจะเดินตามออกมาด้วย!
“นี่ใช่วิธีเรียกร้องความสนใจหรือไม่”
หลิวหงเถาเลือกนั่งอยู่ข้างลำธารเล็กมุมหนึ่งของสวน อยู่ ๆ จูจิ่วลี่ก็เดินเข้ามานั่งบนโขดหินตรงข้ามนางพร้อมกอดอกถามอย่างเสียกิริยา
“เรียกร้องความสนใจจากใครหรือ”
หลิวหงเถาขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แม้เรื่องที่เกิดในวันนี้จะดูได้รับความสนใจจากทุกคนก็จริง แต่นางก็ไม่ได้คิดว่าตนเองจะเป็นจุดสนใจเพราะเรื่องนี้
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการเรียกร้องความสนใจจากไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย ขอแสดงความยินดีด้วยนะ พระองค์ทรงสนใจเจ้ามากกว่าว่าที่คู่หมั้นอย่างจินเซียนเหม่ยแล้ว”
“พูดอะไรระวังปากหน่อยนะจิ่วลี่ ใครเขามาได้ยินเข้าจะหาเจ้าเป็นสตรีขี้อิจฉาได้”
จูจิ่วลี่เชิดหน้าขึ้น “ทำไม เจ้าเองก็ขี้อิจฉาเหมือนกันมิใช่หรือ ทำมาเป็นสั่งสอนข้าไปได้”
หลิวหงเถาเถียงไม่ออก เพราะยอมรับว่าตนเองขี้อิจฉาจริง ๆ นางสะบัดหน้าหนีจูจิ่วลี่แล้วขะมักเขม้นวาดภาพดอกบัวตรงหน้า ใช้เวลาไม่นาน ภาพก็ออกมาสมบูรณ์ทุกอย่าง นอกจากดอกบัวที่ตรงกับหัวข้อแล้ว นางยังเพิ่มกบตัวน้อย ๆ แล่บลิ้นออกมาเพื่อหวังจับแมลงตัวเล็กด้วย
“หัวข้อบุปผา แต่เจ้าวาดกบเสียดูเด่นเชียวนะ”
จูจิ่วลี่ตั้งท่ากอดอกเถียงกับหลิวหงเถาในตอนแรกอยู่ก็จริง แต่นางก็เลือกนั่งแหมะลงวาดภาพข้าง ๆ หลิวหงเถาด้วยเช่นกัน
ทำอย่างไรได้ ในเมื่อนางเองก็ไม่มีสหายอื่นให้คบแล้วเหมือนกัน!
“แรงบันดาลใจของภาพนี้คือเจ้าเชียวนะ”
จูจิ่วลี่ยิ้ม คิดว่าตัวเองต้องเป็นดอกบัวแน่
“เพราะว่ากำไลที่ข้าใส่ดูขาวบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าอยากได้กำไลของข้าจริงๆ เดี๋ยวจะส่งไปให้เย็นวันนี้แหละ”
“เหอะ! ใครอยากได้ของของเจ้ามิทราบ เชิญนั่งกินแมลงอยู่ตรงนี้คนเดียวเถอะ”
จูจิ่วลี่นิ่งไปพักหนึ่งจนกระทั่งหลิวหงเถาเดินจากไปแล้วจึงคิดได้ว่าตัวกินแมลงที่นางว่าหมายถึงใคร
“กรี๊ด! ข้าไม่ใช่กบนะหลิวหงเถา เจ้ากลับมาคุยกับข้าให้รู้เรื่องก่อน”