๕
สุดท้ายสิ่งที่หลิวหงเถาตั้งใจไว้ก็ไม่สำเร็จ นางไม่สามารถอยู่ร่วมงานจนจบได้ เข้าไปส่งภาพวาดกับสาวใช้เสร็จนางก็เอ่ยขอตัวกับจินเซียนเหม่ยตามมารยาท อ้างว่าเจ็บแผล อยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้ว จินเซียนเหม่ยจึงให้สาวใช้ออกมาส่งหลิวหงเถาที่หน้าจวน
“ส่งข้าแค่นี้พอ ไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ”
“แต่ว่าคุณหนู…”
สาวใช้เห็นว่ารถม้าประจำตระกูลหลิวยังมาไม่ถึง อีกทั้งหลิวหงเถาก็ไม่ได้พาสาวใช้ประจำตัวมาด้วย นางจึงไม่กล้าทิ้งคุณหนูตระกูลดังให้ยืนรอแต่เพียงผู้เดียว
“ไปเถอะ ข้ารอคนเดียวได้”
หลิวหงเถาเอ่ยเสียงเข้มฟังดูดุกว่าเดิมจนสาวใช้ต้องยอมล่าถอยออกไปทำงานของตนเองต่อ หลิวหงเถาจึงได้ยืนแกร่วอยู่คนเดียวที่หน้าประตูใหญ่นานพอควรถึงได้ตัดสินใจว่าจะเดินกลับจวนเอง
“ไม่น่าบอกให้รถม้ากลับไปก่อนเลย”
นางถอนหายใจยาวแล้วเดินออกมาจากจวนท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา หลิวหงเถาเป็นสตรีที่มีใบหน้าสะดุดตามาก กอปรกับวันนี้แต่งตัวจัดเต็มมาตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งเรียกสายตาใครหลาย ๆ คนให้มองไปยังนางได้ไม่ยาก
แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ กายหยาบอยู่นี่ก็จริงแต่วิญญาณลอยไปอยู่ที่เตียงนอนนานแล้ว ตอนนั่งรถม้าไปยังจวนเสนาบดีจินก็ว่าเพียงแค่ไม่นาน แต่พอได้มาเดินเท้าเล่นเอานางเหงื่อซึมไปทั้งตัว เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงร้านบะหมี่ท้องก็ร้องเพราะกลิ่นหอมที่โชยมา
นางกลืนน้ำลายดัง ‘อึก’ ยิ่งเห็นว่าหน้าตาของมันน่ารับประทานแค่ไหนก็ยิ่งเพิ่มความหิวได้เท่าตัว ที่จริงนางไม่ติดหากต้องนั่งทานบะหมี่ข้างทาง ขอแค่นั่งอยู่ในมุมลับหน่อย เพราะขืนมีคนรู้จักเห็นเข้าแล้วเรื่องถึงหูท่านพ่อท่านแม่ไม่แคล้วว่านางต้องโดนดุอีก แต่ปัญหาของนางในตอนนี้ก็คือ
ทำเช่นไรดีไม่มีเงิน
“พี่เถาเถ่า”
ในระหว่างที่หลิวหงเถากำลังเคว้งคว้างอยู่นั้น เสียงอันคุ้นเคยก็ร้องทักนางขึ้น ใบหน้างามหันมองซ้ายขวาก่อนที่จะเห็นเขาแอบนั่งหลบมุมอยู่ร้านต้นไม้ต้นหนึ่ง ท่าทางเหมือนคนที่กำลังซ่อนตัวจากใครอยู่
“หมินมิ่น”
หลิวหงเถาร้องเรียกเขา ร่างบางเดินเข้าไปหาพร้อมดึงแขนใหญ่กว่าให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สีหน้าหวาดกลัวของเขากับมือไม้สั่นน้อย ๆ ทำให้นางใจไม่ดี รีบถามออกมาโดยพลัน
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดมานั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้”
ชิงหมินหลบตาหลิวหงเถา ไม่กล้าบอกความจริงไปว่าเขาไปพบเจอเรื่องใดมา แต่แล้วตัวการที่ทำให้เขาต้องหลบก็วิ่งมาทางนี้พอดี
“ไอ้เด็กไม่มีพ่อแม่อยู่นี่เอง…เจ้าก็อยู่ด้วยหรือน้องหญิงเล็ก!”
หลิวหงเถาสูดหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝดของตนเรียกชิงหมินแบบนี้อีกแล้ว หากไม่ติดว่านางอยากรักษาหน้าเขาไว้บ้าง คงยื่นมือไปบิดหูเขาให้ร้อง ‘อ้าก’ ไปนานแล้ว
“หลิวหลี่เฟย เจ้าแกล้งอะไรน้องชายข้าอีก”
“หลิวหงเถาข้าต่างหากที่เป็นพี่ชายเจ้า ส่วนเจ้านี่ก็มิใช่น้องชายของเจ้า เหตุใดต้องมาเสนอหน้าปกป้องมันด้วย…ไปได้แล้ว กลับไปกับข้า”
พูดกับหลิวหงเถาเสร็จก็เอื้อมมือมาดึงแขนชิงหมินพร้อมกระชากอย่างแรงจนร่างกายเก้งก้างต้องเดินตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าหลิวหงเถาเองก็ไม่ปล่อยให้หลิวฟลี่เฟยพาชิงหมินไปง่าย ๆ แบบนี้
“จะพาเขาไปไหน หากไม่พูดกันให้รู้เรื่องข้าจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด”
หลิวหลี่เฟยถอนหายใจอย่างแรงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับแฝดน้องของตนตรง ๆ
“วันนี้ข้ามีนัดยิงธนูกับสหายแล้วเจ้านี่ต้องมาเป็นเป้าธนูให้พวกเรา…ไป! วันนี้เจ้าต้องเป็นสุนัขรับใช้ให้ข้า”
หลิวหงเถาโกรธมากกับสิ่งที่ได้ยิน นางไม่บิดหูเขาก็จริงแต่กลับยื่นมือไปบิดท้องเขาแทนจนเจ้าตัวร้อง ‘อ้าก’ อออกมาเสียงดัง มือใหญ่กว่าปล่อยมือออกจากชิงหมินแล้วเปลี่ยนมาดึงมือหลิวหงเถาออกจากท้องตัวเองแทน
“เจ้า เจ้ากล้าหักหน้าข้าต่อหน้ามันอีกแล้วนะ แล้วที่ลงไม้ลงมือกับข้าเช่นนี้เพราะคิดว่าข้าไม่กล้าทำกลับใช่หรือไม่”
“ถ้ากล้าทำตรงนี้ก็รอดูสิ ทีนี้เจ้าจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเสเพลครบสูตร คราวนี้ท่านแม่ได้ส่งเจ้าไปอยู่บ้านนอกกับพวกตระกูลสายรองจริง ๆ แน่”
หลิวหลี่เฟยไม่มีหัวทางด้านการเรียนรู้ วรยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กก็มีไว้แค่ใช้สู้กับหมาข้างถนนเท่านั้น
ไม่สิ! เอาไว้ข่มชิงหมินอีกคนหนึ่ง ต่อไปหากเขาเข้าวงการสุรานารีแล้ว หนึ่งใน ‘คุณชายเสเพล’ ประจำเมืองหลวงคงได้มีชื่อเขาเข้าสักวัน
“อย่ามาขู่ข้าเสียให้ยาก ส่งชิงหมินมาให้ข้าแต่โดยดี เพราะมันหนีมาอย่างนี้ไงเล่าข้าถึงไม่มีเป้าธนู มันทำข้าเสียหน้ามากขนาดนี้เจ้ายังเข้าข้างมันมากกว่าข้าอีกหรือน้องหญิงเล็ก ป่านนี้สหายของข้าได้หัวเราะเยาะข้ากันหมดแล้ว”
“เจ้ายังมี ‘หน้า’ เอาไว้ให้ ‘เสีย’ อีกงั้นหรือ”
พูดมาถึงตรงนี้หลิวหงเถาก็ถอนหายใจยาว จะว่าไปนางกับเขาก็อยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน นั่นคือไม่มีสหายที่จริงใจต่อกันเลยสักคนเดียว นั่นคงเพราะแบบนี้นางถึงได้รักชิงหมินประหนึ่งเป็นน้องชายคลอดตามกันมา เพราะเขานะจริงใจต่อนางที่สุดแล้ว และนางก็จริงใจต่อเขาโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ
“แรงไปแล้วนะ ยังไงก็จะไม่ยอมให้ใช่หรือไม่”
“ใช่ เลือกเอาว่าจะไปเลิกคบกับกลุ่มคุณชายเสเพลพวกนั้นหรือเลือกที่จะกลับจวนกับข้า”
หลิวหงเชิดหน้าขึ้น ใบหน้าจริงจังจนคนมองดูออกว่านางสุดจะทนแล้วจริง ๆ เขาถึงได้ยอมแพ้ไม่พาชิงหมินกลับไป แต่ไม่วายระบายอารมณ์โดยการสะบัดมือออกจากแขนชิงหมินอย่างแรง
“แต่ตอนนี้ข้าหิวมาก ขอแวะกินบะหมี่ก่อนจะกลับจวนได้หรือไม่”
หลิวหงเถาชะงัก พูดถึงเรื่องของกินขึ้นมาท้องนางก็พากันส่งเสียงร้องจนชิงหมินยังได้ยิน
แอบอมยิ้มแบบนี้แสดงว่าเสียงดังฟังชัดเลยสินะ
“เอาสิ ชิงหมินก็คงหิวเช่นกัน ข้าขอเลือกนั่งโต๊ะนั้น”
นิ้วเรียวชี้ไปยังตำแหน่งที่นางจะนั่งก่อนที่จะดึงมือชิงหมินให้ไปนั่งตามกันด้วย หลิงหงเถากับชิงหมินนั่งทานอาหารโต๊ะเดียวกันบ่อยครั้ง แต่กับหลิวหลี่เฟยแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาจึงได้แผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ข้าไม่นั่งร่วมโต๊ะกับมันแน่ เจ้าไปนั่งที่อื่น”
“ขอรับคุณชาย”
ชิงหมินพยักหน้ารับแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันที ทว่าหลิวหงเถากลับรั้งแขนเขาเอาไว้ให้นั่งที่เดิมจนหลิวหลี่เฟยชักจะอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“เจ้าอย่าบอกว่านะว่าจะให้พี่ชายของเจ้าไปนั่งโต๊ะอื่นแล้วให้ไอ้เด็กข้างทางนี่นั่งกินกับเจ้าแทน แบบนี้พี่ไม่ยอมนะ”
“ขอโทษด้วยแล้วกัน แต่วันนี้เจ้าน่ารังเกียจมากจนข้าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะด้วย เชิญเจ้าไปนั่งที่อื่น ข้าจะกินกับหมินมิ่นอย่างเงียบ ๆ”
“หลิวหงเถา!”
หากสามารถเห็นควันลอยออกจากหูได้ หลิวหงเถาคงเห็นมันออกมาจากหูของหลิวหลี่เฟยไปนานแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากขยับไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งแล้วสั่งบะหมี่มากินคนเดียวสามชาม จากนั้นก็หันไปแลบลิ้นล้อเลียนหลิวหงเถาฆ่าเวลา
“หมินมิ่นหมินมิ่น เถาเถ่าเถาเถ่า แบร่”
ปัญญาอ่อน!
หลิวหงเถาคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หันไปสั่งบะหมี่กับเถ้าแก่ร้านสามชามเช่นกัน หนึ่งชามให้ตัวเองอีกสองชามให้ชิงหมิน