พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคล
ปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกง
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้
เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียวอวิ๋นหยวนจึงเข้ารับราชการในเมืองหลวงแถมยังได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมือง นับได้ว่าเซียวอวิ๋นหยวนกลายเป็นผู้บัญชาการที่มีอายุน้อยมากที่สุดในบรรดาผู้บัญชาการของแต่ละกองทัพ ยามนี้เมืองหลวงปกติสุขเซียวอวิ๋นหยวนก็มีหน้าที่การงานที่มั่นคง เฉินเจียวเจียวจึงคาดว่าในชาตินี้หวังฮุ่ยหลิงไม่จำเป็นต้องไปปรนนิบัติพ่อแม่สามีที่เมืองเสียนโจวอีกแล้ว ต่อไปสหายน่าจะได้อยู่ในเมืองหลวงนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกยินดี
ส่วนการแต่งงานขององค์หญิงเก้านั้นยามนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุป ส่วนนางจะได้แต่งไปต่างแคว้นหรือไม่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ หากองค์หญิงเก้าไม่อยากแต่ง นางก็เชื่อว่าวันหน้านางน่าจะสามารถหาวิธีช่วยเหลือองค์หญิงเก้าได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องยังไม่เกิดนางก็ไม่คิดจะกังวลจนเกินเหตุกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง
“เจียวเจียว อีกไม่นานก็คงจะมีกำหนดพิธีมงคลลงมา ข้าอดตื่นเต้นแทนเจ้าไม่ได้จริงๆ ในหมู่พวกเราในที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้าที่จะได้แต่งงานก่อน” หวังฮุ่ยหลิงเอ่ยพลางเกาะกุมมืออันเรียวยาวของสหายเอาไว้
“ก็ไม่แน่ว่าจะได้แต่งก่อน ข้าได้ยินมาว่าทางผู้อาวุโสจวนสกุลเซียวเดินทางเข้าเมืองหลวงมาแล้วมิใช่หรือ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม หวังฮุ่ยหลิงพลันรีบหลบสายตาของนางด้วยความเขินอายในทันที องค์หญิงเก้าถึงกับหัวเราะออกมาพลางหันไปมองเฉินเจียวมี่และเฉินเจียวเหม่ยด้วยสีหน้าหยอกเย้า
“อย่าได้พูดถึงเรื่องคู่ครองกันอีกเลยคนไร้คู่อย่างข้าอดริษยาไม่ได้ ดูอย่างเด็กสาวอย่างเจียวมี่สิยังก้าวแซงหน้าคว้าคุณชายอันดับหนึ่งอย่างลู่เสวียนไปเป็นคู่หมายได้เสียแล้ว” คำพูดขององค์หญิงเก้าทำให้แม้แต่เฉินเจียวมี่ก็ยังเก็บอาการขัดเขินเอาไว้ไม่อยู่จนทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมา เฉินเจียวเจียวนั่งมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนรอบกายด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข ไม่ว่าวันหน้าชีวิตที่เหลือของนางจะดำเนินไปในทิศทางใดแต่สำหรับนางในตอนนี้กลับคิดว่าชีวิตนี้ของนางนับว่าได้รับการเติมเต็มแล้ว
ในขณะที่จวนผิงกั๋วกงกำลังเฝ้ารองานมงคลของคุณหนูใหญ่ ทางจวนอ๋องของโซ่วอ๋องเองก็ได้ตกลงเรื่องการหมั้นหมายกับจวนสกุลโม่เรียบร้อยแล้ว รอเพียงเสร็จสิ้นพิธีมงคลขององค์รัชทายาท พิธีมงคลของโซ่วอ๋องและคุณหนูใหญ่จวนสกุลโม่ก็จะสามารถกำหนดวันได้ เดิมทีโซ่วอ๋องที่ยังคงเสียใจกับการตายของหลินชิงเหมย แม้ว่าจะยังไม่ได้รักใคร่ผูกพันกันอย่างเช่นคนรัก แต่ช่วงหลายปีมานี้เขามีความสนิทสนมกับเด็กสาวอย่างหลินชิงเหมยมากเป็นพิเศษ อีกทั้งก่อนที่นางจะตายนางก็เคยถูกกำหนดให้เป็นสตรีของเขา
จากเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ที่เคยทำให้เขายิ้มและหัวเราะได้อย่างปลอดโปร่งใจ เด็กสาวที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยาในความคิดของเขาคนนั้นแต่สุดท้ายกลับทำให้เขาต้องตื่นตระหนกกับการกระทำหลายอย่างของนาง ตั้งแต่การจงใจเข้ามาตีสนิทกับเขาอย่างมีแผนการ การวางแผนให้ร้ายอดีตคู่หมายของเขาอย่างเฉินเจียวเจียว และการพยายามจะชักจูงเขาให้มีใจออกห่างจากองค์รัชทายาท รวมทั้งภาพที่นางเสพสังวาสมั่วโลกีย์กับคุณชายหวังยังคงติดตาม แม้จะพยายามจะบอกกับตนเองว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นการเข้าใจผิด แต่ตัวเขากลับรู้ดีว่าที่จริงแล้วเป็นเขาเองที่มองคนผิดไปและไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนใกล้ตัวเลยสักนิด
เพราะเข็ดขยาดกับสตรีแบบหลินชิงเหมย โซ่วอ๋องจึงมีความตั้งใจเอาไว้ว่าจะยังไม่แต่งสตรีคนใดเข้าจวนในช่วงนี้ แต่เป็นเพราะความฝันในช่วงนี้ของเขาทำให้เขาคิดว่าการแต่งงานกับสตรีจากจวนสกุลโม่น่าจะเป็นการแต่งงานที่เหมาะสมกับเขาแล้ว อย่างน้อยหากในความฝันของเขานั้นเป็นเรื่องจริง การที่เขายินยอมเชื่อฟังและทำตามคำเตือนของผู้อาวุโสอย่างพระมารดา ชีวิตในความฝันก็คงจะไม่โหดร้าย น่ารังเกียจและน่าอับอายเช่นนั้น
“ท่านอ๋องเพคะ พระชายาทรงแย่แล้วท่านอ๋องได้โปรดส่งหมอหลวงไปดูอาการของพระชายาก่อนเถิดเพคะ” สาวใช้ของพระชายาในความฝันของเขาเอ่ยพลางร้องไห้ออกมา แต่เพราะเขากำลังเป็นห่วงหลินชิงเหมยที่พึ่งจะสูญเสียลูกไปเขาจึงไม่ได้สนใจ จวบจนสาวใช้วิ่งเข้ามาอีกครั้งแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาดังลั่น แล้วพูดจาซ้ำๆ เหมือนคนเสียสติ เขาจึงทิ้งหลินชิงเหมยเอาไว้แล้ววิ่งไปที่เรือนใหญ่ที่พระชายาของเขาพำนักอยู่ในทันที
“พระชายาสิ้นแล้ว พระชายาสิ้นแล้วเพคะ” เสียงนี้ดังวนเวียนอยู่ในหัวของเขาภาพที่เขาเห็นก็คือมีสตรีคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง ใบหน้าอันซีดเซียวของนางเหมือนกับเฉินเจียวเจียวอดีตคู่หมั้นของเขาไม่มีผิด นางตายแล้ว! นางและลูกในท้องต้องตายก็เพราะเขา ภาพการตายของนางคอยหลอกหลอนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้จะเป็นแค่ในความฝันแต่ก็ทำให้เขาทั้งเศร้าโศกทั้งเสียใจและที่สำคัญก็คือรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
จากนั้นภาพความฝันก็พลันเลือนราง กลายเป็นภาพที่เขากำลังถูกพระบิดาตำหนิติเตียนอยู่ในตำหนักใหญ่ของอุทยานหลวง เสด็จพี่ของเขาองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่สวมใส่ชุดคลุมมังกรเดินเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน แล้วเดินมาถีบเข้าที่กลางอกของเขาแล้วตวาดออกมา
“เจ้าน้องชั่ว! แค่ดูแลคนในจวนให้ดียังทำไม่ได้เลย แล้วข้าจะไว้ใจให้เจ้ามาช่วยข้าบริหารบ้านเมืองได้อย่างไร สตรีสกุลหลินผู้นั้นนางหลอกลวงเจ้านางไม่ได้ตั้งครรภ์เสียด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับเชื่อนางโบยตีชายาของตนเองจนต้องตายเพราะแท้งบุตร เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าชายาของเจ้าคือผู้ใดแล้วข้าจะบอกเรื่องนี้กับผิงกั๋วกงอย่างไรดี” คำพูดของเสด็จพี่ทำให้เขาทั้งหวาดกลัวทั้งเสียใจ ส่วนพระมารดาของเขาก็ร่ำไห้ออกมา
“แม่บอกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่าสตรีสกุลหลินคนนั้นเจ้าอย่าได้เก็บนางเอาไว้ข้างกายแต่เจ้ากลับไม่เชื่อแม่ หลงเชื่อนางจนทำร้ายทั้งลูกและชายาของตนเอง แล้วทีนี้จะทำเช่นไรกันดี”
“ในเมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ” พระบิดาทรงตรัสด้วยสีหน้าไร้เยื่อใย
“ใครก็ได้มาถอดเสื้อของเขาออกโบยตีหกสิบไม้แล้วให้เขาแบกหนามไปขออภัยที่จวนผิงกั๋วกง ส่วนสตรีสกุลหลินผู้นั้นก็ตัดแขนตัดขานางเสียแล้วส่งนางไปเป็นนางโลมกองทัพที่ชายแดน อ้อ ส่งเข้ากองทัพสกุลเฉินไปก็แล้วกัน ความแค้นนี้พวกเขาก็คงจะสานต่อกันเอาเอง”
“ไม่ได้นะเพคะ ไท่ซ่างหวงทรงทำเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ หากถูกโบยตีหกสิบไม้ลูกของพวกเราจะต้องทนไม่ไหวเป็นแน่ ฝ่าบาท! ฝ่าบาทเพคะเขาเป็นพระอนุชาของฝ่าบาทนะเพคะจะทรงยอมให้ไท่ซ่างหวงทำกับเขาเช่นนี้จริงๆ หรือเพคะ” พระมารดาของเขาคุกเข่าพลางร่ำไห้ออกมา
“น้องรองทำผิดก็ต้องยอมรับผิด น้องรองขอเพียงเจ้าแสดงความจริงใจต่อจวนผิงกั๋วกง โทสะที่พวกเขามีก็น่าจะพอสลายลงไปได้บ้าง” เมื่อเสด็จพี่เอ่ยเช่นนี้เขาจึงได้เห็นตนเองแบกหนามเดินเท้าเปล่าไปที่จวนผิงกั๋วกงท่ามกลางสายตาของชาวบ้านและผู้ที่มามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เท่านั้นยังไม่พอเขายังถูกโบยตีโดยผิงกั๋วกงต่อหน้าธารกำนัลอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่ได้รับ ความหวาดหวั่นที่ต้องเผชิญรวมทั้งสายตารังเกียจของคนรอบกายทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาในทันทีแม้จะรู้ว่าเป็นเพียงความฝัน แต่ความเจ็บปวดเช่นนั้นกลับชัดเจนในความทรงจำประดุจว่าเคยถูกโบยตีเช่นนั้นมาก่อน เมื่อสามารถตื่นขึ้นมาจากความฝันได้สิ่งแรกที่ทำก็คือรีบส่งคนเข้าวังไปหาพระมารดาในทันที
“ใครก็ได้ รีบเข้าวังไปบอกเสด็จแม่ที ข้าจะยอมทำตามที่พระนางต้องการทุกอย่าง รีบไปโดยเร็ว” หลังจากวันนั้นมาโซ่วอ๋องก็ล้มป่วยไปหลายวัน แถมยังมีอาการนอนไม่หลับเพราะเกรงว่าฝันร้ายจะตามมาหลอกหลอน จวบจนพระนางเต๋อเฟยมีรับสั่งให้เขาไปทำบุญบริจาคธูปเทียนที่วัดด้วยตนเองอาการฝันร้ายจึงได้บรรเทาลง…
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ