Home / รักโบราณ / ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว / บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

Share

บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-23 21:38:47

พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข

“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น

“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้

ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น หลังจากที่ดื่มสุรามงคลร่วมกันแล้วคนทั้งคู่ก็ต่างมีท่าทีขัดเขินจนบรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกเราเข้านอนกันเถอะ!” อยู่องค์รัชทายาทก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ทำเอาทั้งนางและเขาต่างพากันขัดเขินจนหน้าแดงก่ำ

“ข้าชวนเจ้าไปนอนก็คือไปนอน นี่เจ้าคิดไปไกลจนถึงไหนแล้ว” เขาเอ่ยพลางรีบเดินตรงไปที่เตียง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกถอดรองเท้าแล้วก็จ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางยังไม่ติดตามมาเสียทีก็ทิ้งกายลงไปบนเตียงอันนุ่มนิ่มแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย

“เจ้ารู้หรือไม่วันนี้ข้าเดินเกือบทั้งวัน ยามเช้าต้องไปบอกกล่าวบรรพบุรุษที่ศาลบรรพชนว่าจะแต่งงาน ยามสายก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปรับเจ้าขึ้นเกี้ยว พอพาเจ้าเข้าวังมาได้ก็ถูกราชพิธีต่างๆ เคี่ยวกรำอีกมากมาย เนื้อตัวของข้าในยามนี้สิ้นไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะยกไม่ขึ้นแล้ว” เขาเอ่ยพร่ำบ่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พลันนิ่งงันไปเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างนุ่มนิ่มและหอมกรุ่นพึ่งจะทิ้งกายลงมานอนเคียงข้างเขา ทำให้เขารีบพลิกกายไปมองใบหน้าของคนงามข้างกายของตนเองในทันที

“แล้วเจ้าเล่า วันนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นข้าหรือไม่”

“ย่อมเหนื่อยมากเพคะ หม่อมฉันต้องตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำแช่ผิวกายแล้วก็พูดพาไปแต่งหน้าและทำผม ได้กินขนมเพียงนิดเดียว พอฟ้าเริ่มสางก็ต้องต้อนรับแขกสตรีที่มีความสนิทสนมกันที่เรือน พอใกล้ได้เวลาก็ต้องรีบแต่งกาย องค์รัชทายาทคงจะไม่รู้ว่าเครื่องแต่งกายของเจ้าสาวที่จะแต่งเข้าราชวงศ์มีความซับซ้อนมากถึงเพียงใด กว่าจะแต่งกายเสร็จเกี้ยวเจ้าสาวก็มาถึงที่หน้าประตูจวนแล้ว แล้วหลังจากนั้นหม่อมฉันก็ถูกพระราชพิธีต่างๆ เคี่ยวกรำไม่ต่างจากพระองค์เลยเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มพลางมองคนข้างกายด้วยความสนิทชิดเชื้อ ทำให้คนที่ได้รับสายตาเช่นนี้ของนางอดทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกมิได้

‘ไม่เสียทีที่ลักลอบปีนกำแพงมาหลายครั้ง จ้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ค่อยยังชั่วหน่อย’ แน่นอนว่านี่เป็นแค่เพียงความคิดในใจของเขา แต่สิ่งที่เขาเอ่ยออกมากลับทำให้เฉินเจียวเจียวอดขยับกายหนีเขาไม่ได้

“เครื่องแต่งกายซับซ้อนมากเลยหรือ ไหนให้ข้าดูสิว่าซับซ้อนมากเพียงใด” เขาเอ่ยพลางยื่นมือมาตะปบลงบนสาบเสื้อตรงหน้าอกของนางพอดี แม้ว่าจะขยับหนีแล้วแต่ก็ไม่อาจจะเทียบเคียงกับความว่องไวขององค์รัชทายาทผู้นี้ได้

“ให้ข้าดูหน่อย” เขาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าออดอ้อนทำให้เฉินเจียวเจียวอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้ายินยอมแล้วคนที่เคยพูดมาก่อนหน้านี้ว่าตนเองสิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้วก็เริ่มสำแดงความซุกซนของตนเองออกมาในทันที

เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งออกไปจนหมดสิ้น เนื้อตัวก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ร่างกายของตนเองอีกต่อไป คนที่เคยพูดมากอยู่เป็นนิจแต่ยามนี้กลับไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาเลยสักนิด มีเพียงเสียงหอบหายใจและการกระทำตามอำเภอใจเพียงเท่านั้น

“อื้อ” เสียงครางเบาๆ อย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ของนางทำให้คนบนกายยังพอจะมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้างแต่ก็แค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น สีหน้าที่เต็มไปด้วยทั้งความพึงพอใจและความลุ่มหลงของคนตรงหน้าทำให้เฉินเจียวเจียวไม่คิดจะขัดใจเขา แต่หลังจากที่โรมรันพันตูกันไปแล้วรอบหนึ่งและเมื่อเขามีทีท่าว่าจะเริ่มต้นรอบที่สองนางก็อดเอ่ยวาจาคัดค้านเขาออกมาไม่ได้

“ไหนว่าสิ้นไร้เรี่ยวแรงไปแล้วมิใช่หรือเพคะ” คนงามในอ้อมแขนเอ่ยวาจาคัดค้านเช่นนี้เขาก็ก้มหน้าลงมาหอมแก้มคนงามไปอีกฟอดหนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมาเสียงเบา

“เรื่องอื่นอาจจะไม่มีแรง แต่เรื่องนี้เรี่ยวแรงข้ามีอยู่เต็มเปี่ยม”

“...” เมื่อเขาเอ่ยมาถึงขั้นนี้แล้วนางก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน เรื่องอื่นนางอาจจะพอเทียบเคียงเขาได้แต่เรื่องการโต้เถียงนั้นนางคงต้องขอยอมแพ้

แม้ว่าจะถูกเคี่ยวกรำมาทั้งคืนแต่หน้าที่ก็ไม่อาจจะละทิ้ง เช้าวันรุ่งขึ้นเฉินเจียวเจียวก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวไปคารวะสตรีอาวุโสในวัง ฮองเฮาผู้เป็นแม่สามีของนางเสียไปนานแล้ว ไทเฮาก็ถูกขังลืมอยู่ในตำหนักเย็น ผู้มีอำนาจสูงสุดในวังหลวงแห่งนี้ก็คือเฉียวกุ้ยเฟย

ในฐานะที่นางเป็นบุตรเลี้ยงของสตรีสกุลเฉียวความสัมพันธ์ของกับเฉียวกุ้ยเฟยจึงนับว่าแน่นแฟ้นมากทีเดียว กับพระสนมเต๋อเฟยก็ยิ่งมีความเป็นกันเองเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีนางก็เข้าออกวังหลวงในฐานะว่าที่พระสุณิสาของพระนางเต๋อเฟยอยู่แล้ว แต่ยามนี้แม้ว่าจะขยับฐานะขึ้นมาแต่นางก็ยังนับว่าเป็นพระสุณิสาในนามของพระนางอยู่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางจึงยังคงแนบแน่นเช่นเคยแม้ว่าจะเคยมีเรื่องราวการถอนหมั้นกับโอรสของพระนางมาก่อนก็ตามที ส่วนพระสนมคนอื่นๆ ก็ล้วนมีความคุ้นเคยกันดี ชีวิตในเช้าวันแรกหลังจากแต่งงานจึงไม่ได้ย่ำแย่

“ขอบพระทัยพระสนมทั้งหลายที่มอบความเมตตาให้เพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางย่อกายคารวะพระสนมทั้งหลายอีกครั้ง ก่อนที่จะอำลาบรรดาพระสนมกลับตำหนักบูรพา

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” องค์รัชทายาทรีบเดินเข้ามาจูงมือนางเดินเข้าไปในโถงกลางของตำหนักในทันทีที่นางกลับมาถึง

“พวกนางสร้างความลำบากใจให้เจ้าหรือไม่”

“ไม่มีเพคะ ทุกพระนางล้วนมีเมตตากับหม่อมฉัน” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พยักหน้า เฉินเจียวเจียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายจึงได้ตัดสินใจเอ่ยถามออกมา

“ทางจ้าวไทเฮาทรงยังไม่รู้เรื่องของจวนสกุลจ้าวกระมัง” เมื่อนางถามเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พยักหน้า

“ข้าตัดการรับรู้ข่าวสารจากภายนอกทั้งหมด ยามนี้พระนางจึงยังไม่รู้ว่าสกุลของนางล่มสลายไปแล้ว แต่ประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกพระนางเสียหน่อยก็แล้วกันในฐานะที่ข้าเป็นหลานชายที่ดีของพระนาง” คำพูดของเขาทำให้เฉินเจียวเจียวขมวดคิ้วในทันที

“เหตุใดจึงพึ่งจะบอกตอนนี้เล่าเพคะ”

“ไม่บอกตอนนี้แล้วจะให้บอกตอนไหน ก่อนหน้านี้หากนางรู้ว่าสกุลจ้าวต้องโทษประหารแล้วคงจะใช้ความตายมาขู่เสด็จพ่อเป็นแน่ ข่มขู่ไม่สำเร็จก็อาจจะตายจริง ถึงยามนั้นข้าก็คงจะต้องไว้ทุกข์ให้นางไปอีก ไม่ได้แต่งกับเจ้าเสียที หากรอมากไปกว่านี้กำแพงจวนผิงกั๋วกงของเจ้าก็คงจะคุ้นชินกับการปีนป่ายของข้าไปเสียแล้ว” คำพูดประโยคนี้ขององค์รัชทายาททำให้เฉินเจียวเจียวกลับเอ่ยอันใดออกมาไม่ได้ ในฐานะที่นางเป็นพระชายาของเขา นิสัยเช่นนี้ขององค์รัชทายาทก็คงเป็นอีกเรื่องที่นางควรจะต้องพยายามทำตัวให้คุ้นชิน 

"..."

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status