หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้
“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”
“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้
“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพันและความคับแค้นพระทัยอันสลับซับซ้อนของเสด็จพ่อดี ลูกก็เลยขอเป็นคนเลวช่วยจัดการกับพระนางให้เสด็จพ่อเอง”
คำพูดขององค์รัชทายาททำให้เฉินเจียวเจียวหันไปมองใบหน้าของเขาที่ในยามนี้เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ เจ็บปวดใจและสาแก่ใจปะปนกัน สีหน้าของเขาในยามนี้ทำให้นางพลันรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในช่องท้อง และคิดได้ว่านี่คือสีหน้าที่แท้จริงของเขา ในยามนี้หน้ากากเสแสร้งจอมปลอมที่เขามักสวมใส่กำลังถูกฉีกกระชากออกมาจนหมดสิ้นเสียแล้วนางจึงได้ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฝ่าบาท…”
“เจ้าไม่ต้องพูดหรอก ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาเพื่อไม่ให้นางช่วยพูดจาให้เขา พระองค์ทรงถอนพระปัสสาสะออกมาแล้วเสด็จไปประทับยังเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยสีพระพักตร์อันอึมครึม
“ข้าเลี้ยงเขาให้เป็นคนใจดำ เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก หากถามว่าข้าเสียใจไหมที่เขาเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอบอกตามตรงว่าข้าเสียใจ แต่หากจะถามว่าภูมิใจไหมข้าก็บอกได้ตามตรงเช่นกันว่าภูมิใจ เขากล้าทำในสิ่งที่ข้าไม่เคยกล้าทำนี่คือสิ่งที่ข้าภาคภูมิใจมากที่สุด แต่เจ้าดูสวามีของเจ้าผู้นี้สิ ยามนี้ยังกล้าลงมืออย่างไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ แล้ววันหน้าเล่า หากข้ายังปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจเช่นนี้ หากวันหน้ามีสกุลใหญ่สกุลใดพลาดพลั้งล่วงเกินเขาเข้า เขาจะไม่จัดการล้างบางสกุลนั้นจบราบคาบไปเลยหรือ และถ้าหากมีหลายสกุลที่ทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา วันหน้าเขาจะไม่กลายเป็นทรราชคนหนึ่งเลยหรือ”
คำพูดของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก้มหน้าลงในทันที แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอันใดหรือว่าเอ่ยถ้อยคำใดออกมาแต่เฉินเจียวเจียวที่นั่งอยู่ข้างกายของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงกระแสอารมณ์อันหดหู่ของเขาได้เป็นอย่างดี
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพคะ สวามีผู้นี้ของหม่อมฉันไม่มีทางเป็นทรราชหรอกเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ไม่ใช่แค่เพียงหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ที่ทอดพระเนตรมาที่ใบหน้าของนางแม้แต่คนข้างกายของนางก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองนางเช่นกัน
“ข้อดีขององค์รัชทายาทก็คือทรงมีน้ำพระทัยให้แก่คนรอบข้างและมิตรสหาย ขอแค่ไม่ได้เป็นศัตรู องค์รัชทายาทก็ล้วนมีน้ำพระทัยให้แก่ทุกคนอย่างจริงใจ ขนาดสกุลจ้าวคิดจะผลักดันโซ่วอ๋องให้มีจิตคิดแย่งชิง องค์รัชทายาทไม่เพียงไม่คิดระแวงแต่ยังทรงปกป้องโซ่วอ๋องอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะไม่ได้ตรัสสิ่งใดออกมาแต่การกระทำทุกอย่างกลับมุ่งเน้นไปที่การปกป้องคนของพระองค์ หากเป็นผู้อื่นยามนี้โซ่วอ๋องคงจะถูกหวาดระแวงและถูกกำจัดไปนานแล้ว” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงยิ้มออกมาได้ในที่สุด
“นั่นเป็นเพราะว่าเขารู้ดี ว่าน้องชายของเขาผู้นี้ไม่สามารถสั่นคลอนอำนาจของเขาได้ต่างหาก” แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงตรัสเช่นนี้แต่เฉินเจียวเจียวกลับรู้ดีว่าแท้ที่จริงแล้วก็ทรงมีพระดำริไปในทางเดียวกันกับนาง
เฉินเจียวเจียวหลุบตาลงพลางคิดถึงชาติที่แล้ว แม้ว่าจะจัดการศัตรูของตนเองอย่างเหี้ยมโหดแต่กลับคนของตนเองนั้นเขากลับทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ชาติที่แล้วที่โซ่วอ๋องกล้าลุ่มหลงหลินชิงเหมยจนละเลยนาง หากไม่เป็นเพราะได้รับการปกป้องจากพระเชษฐาที่เป็นฮ่องเต้แล้วโซ่วอ๋องจะกล้าทำตัวไม่รู้หนักรู้เบาเช่นนั้นได้อย่างไร
องค์หญิงเก้าไม่จำเป็นต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับต่างแคว้นแต่นางยังวิ่งโร่ขอแต่งออกไปได้สำเร็จ เก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นเพราะพระเชษฐาทรงตามใจนางนั่นเอง ในกาลก่อนเฉินเจียวเจียวยังคิดได้ไม่ถี่ถ้วนแต่ยามนี้นางกลับมองเห็นเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“เฮอะ! เจ้าพึ่งแต่งกับเขาได้ไม่กี่วันก็ย่อมเข้าข้างเขาเป็นธรรมดา ช่วงแต่งงานใหม่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้เขาทำสิ่งใดก็ล้วนดูดีไปทั้งหมดในสายตาของเจ้า” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาพร้อมกับทอดถอนใจด้วยความเสียดาย เมื่อคิดถึงผิงกั๋วกงที่หวงบุตรสาวดุจไข่ในหิน แม้แต่เขาที่เป็นฮ่องเต้ยังต้องคบคิดแผนการช่วยเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ด้วยข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างเช่นการเดินหมาก เพื่อเปิดทางให้โอรสองค์โตป่ายปีนกำแพงจวนเขาได้สมใจ แต่ยามนี้เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของผู้อื่นปันใจให้โอรสของพระองค์เช่นนี้แล้วก็อดรู้สึกผิดต่อผิงกั๋วกงผู้นั้นไม่ได้
“ช่างเถิด ล้วนเป็นเพราะข้าที่เลี้ยงดูเขามาเช่นนี้” เมื่อตรัสจบก็ทรงลุกขึ้นสะบัดชายแขนเสื้อด้วยโทสะแล้วเสด็จจากไปในทันที
องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงรีบขยับกายลุกขึ้นแล้วมาช่วยประคองนางให้ลุกขึ้นแล้วก็เอ่ยกับนางเสียงเบา
“ต่อไปเวลาที่เสด็จพ่อทรงมีโทสะ เจ้าไม่ต้องช่วยพูดแทนข้า” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน ในเนื้อเสียงมีความรู้สึกผิดปนความซาบซึ้งใจทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้
“หากไม่ช่วยพูดให้พระองค์หม่อมฉันก็ยังคงต้องทนนั่งคุกเข่าอยู่อีกนาน ทรงดูสิเพคะเข่าของหม่อมฉันน่าจะแดงมากแล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางชี้มาที่หัวเขาที่อยู่ภายใต้ชายกระโปรง เขาทำท่าว่าจะเปิดชายกระโปรงของนางขึ้นนางก็รีบเหนี่ยวรั้งไว้ในทันที
“ไม่ต้องดูหรอกเพคะไม่ได้เป็นอันใดมาก หม่อมฉันก็แค่เพียงล้อพระองค์เล่นเพียงเท่านั้น” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางรีบจับมือของเขาเอาไว้ เขาจึงได้ส่งยิ้มให้นาง
“เจ้ารับไปพักผ่อนเถิด โทสะของเสด็จพ่อยังไม่มอดดับ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเสด็จมาระเบิดโทสะใส่ข้าอีกหรือไม่ ถึงยามนั้นเจ้าก็คอยหลบอยู่แต่ด้านในของตำหนักก็แล้วกันไม่ต้องออกมารับหน้าเสด็จพ่อกับข้าหรอก” เขาเอ่ยพลางประคองนางเข้าไปด้านในแต่เฉินเจียวเจียวกลับแค่เพียงส่งยิ้มให้เขาเพียงเท่านั้นไม่ได้ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ
นางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรระหว่างหลี่เซียวหลงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทมีความแน่นแฟ้นมากกว่าที่นางเห็น หากนางไม่ช่วยออกหน้าพูดแทนองค์รัชทายาทแล้วหลี่เซียวหลงฮ่องเต้จะยินยอมรับนางเป็นพระสุณิสาจากพระทัยที่แท้จริงได้อย่างไร นางเองก็ต้องการความมั่นคงให้แก่ชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน เป็นเพราะชีวิตในชาติก่อนของตนเองนางดำเนินชีวิตอย่างประมาทและขาดความระมัดระวัง ชีวิตของนางก็เลยพังทลายลงอย่างรวดเร็วเช่นนั้น ได้รับความโปรดปรานจากพระนางเต๋อเฟยผู้เป็นแม่สามีก็ไม่รู้จักใช้ ยามนี้เมื่อมองกลับไปก็อดเวทนาตนเองในชาติก่อนไม่ได้
ช่วงนี้เพราะอยู่ในวังแล้วนางจึงมักออกจากตำหนักบูรพาแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเฉียวกุ้ยเฟยและพระนางเต๋อเฟยถึงตำหนักของพระนางอยู่บ่อยครั้ง เรื่องราวความฝันอันแปลกประหลาดของโซ่วอ๋องย่อมจะต้องเข้าหูนางผ่านทางพระนางเต๋อเฟย เมื่อพระนางทรงถามว่าเฉินเจียวเจียวคิดเห็นอย่างไรกับความฝันนี้ของโซ่วอ๋องนางก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมา พลางแนะนำไปว่าคงเป็นเพราะโซ่วอ๋องผิดหวังที่ถูกสตรีหลอกจนเก็บเอาไปฝัน ขอเพียงเข้าวัดทำบุญอย่างสม่ำเสมอจิตใจก็จะสงบแล้วก็คงจะหายจากอาการฝันร้ายนี้ไปเอง
สาเหตุที่นางเอ่ยออกไปเช่นนี้เป็นเพราะว่ายามนี้นางหมดสิ้นความแค้นเคืองใจไปนานแล้ว เรื่องทั้งหมดในชาติที่แล้วส่วนหนึ่งตัวนางเองก็มีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่อง ก่อนแต่งก็รู้อยู่แล้วว่าเขาชอบพออยู่กับสตรีอื่น แต่เพราะมั่นใจในตนเองมากจนเกินไปจึงได้ฝืนแต่งให้เขา ตอนที่เขาจะรับหลินชิงเหมยเข้าจวน นางมีวิธีการตั้งมากมายที่จะปฏิเสธแต่กลับยินยอมให้หลินชิงเหมยแต่งเข้ามาเพราะคิดว่าหลินชิงเหมยเป็นสตรีไร้พิษสง ยามนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้วก็ได้แต่เวทนาในความโง่เขลาของตนเอง ส่วนความแค้นนั้นน่าจะจางหายไปตั้งแต่ตอนที่หลินชิงเหมยถูกโบยจนตายแล้ว จุดจบของหลินชิงเหมยในความฝันของโซ่วอ๋องนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นางก็ไม่ได้สนใจอีกแล้ว ชาตินี้แค่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตักตวงความสุขในชีวิตให้มากเข้าไว้ก็คุ้มค่าแล้วที่ได้ย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่
“บัดซบ! เสด็จพ่อทรงทำเช่นนี้กับลูกได้อย่างไร อันใดคือลูกยึดอำนาจ อันใดคือลูกแต่งตั้งพระองค์เป็นไท่ซ่างหวง” เสียงโวยวายขององค์รัชทายาทดังก้องตำหนักบูรพา เฉินเจียวเจียวได้แต่ยืนมองดูความวุ่นวายอยู่ด้านในของตำหนักโดยไม่คิดจะออกไปเผชิญกับความวุ่นวายด้านนอกเลยสักนิด มีหลายเรื่องที่นางเปลี่ยนแปลงได้ แต่บางเรื่องก็ไม่ได้เปลี่ยนไปขอเพียงเป็นเรื่องดีนางก็ไม่คิดจะทำให้ตนเองต้องยุ่งยากใจ เฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงอยู่ไกลๆ ในฐานะผู้ชมที่ดีก็พอ..เมล็ดแตงสักนิดไหม อ้อ! คงจะไม่เหมาะกระมัง แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าและท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่งก็คงจะเพียงพอแล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ