หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย
“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา
“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงหน้าจะไม่ทรงสนพระทัยสักนิดบ้างเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็เพราะเคยหวั่นไหวกับความงามของสตรีมาก่อนอย่างไรเล่า ชีวิตของข้าก็เลยอยู่ภายใต้การควบคุมของคนงามเช่นนี้ เฮ้อ! เจ้าเชื่อข้าเถอะคนงามก็เหมือนดอกไม้ ยิ่งงามหนามก็ยิ่งแหลม ยิ่งลุ่มหลงก็ยิ่งยากจะถอนตัว” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้องค์รัชทายาทและองค์ชายรองที่ฟังอยู่รีบกระแอมไอออกมาพร้อมกันในทันที
“เสด็จพ่อ! หากเสด็จแม่ทรงได้ยินประโยคนี้ คืนนี้พระองค์ก็คงจะต้องทรงปีนเข้าตำหนักอันหนิงทางหน้าต่างอีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำนี้ขององค์รัชทายาททำให้ทั้งหลี่ไท่หลงฮ่องเต้และโซ่วอ๋องต่างนิ่งงันไปในทันที คนหนึ่งเกรงอกเกรงใจภรรยาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ส่วนอีกคนเกรงอกเกรงใจพี่สะใภ้เพียงเพราะความฝันเพียงหนึ่งตื่นของตนเอง สองพี่น้องสกุลหลี่สบตากันครู่หนึ่งแล้วก็ต่างทอดถอนใจออกมาพร้อมกัน
“เจ้ารีบลุกแล้วก็รีบกลับจวนเถิด ส่วนข้าต้องรีบไปดูลาดเลาที่ตำหนักอันหนิงของฮองเฮาก่อน” เมื่อได้ยินประโยคนี้ โซ่วอ๋องก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยถ้อยคำอำลาในทันที ส่วนองค์ฮ่องเต้หลี่ไท่หลงรีบสอดส่ายสายพระเนตรเพื่อประเมินว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของพระองค์ไปถึงตำหนักอันหนิงแล้วหรือยัง ส่วนองค์รัชทายาทและองค์ชายรองนั้นสบตากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำอำลาแล้วเดินออกจากประตูตำหนักของพระบิดาด้วยรอยยิ้ม
“เสด็จพี่ทรงคิดว่าวันนี้เสด็จพ่อทรงจะต้องปีนเข้าทางฝั่งไหน” คำถามขององค์ชายรองดังแว่วเข้ามาเข้าหูทำให้หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงรีบก้าวพระบาทเร่งความเร็วเพื่อรีบเสด็จไปที่ตำหนักอันหนิงในทันที
ประตูตำหนักยังคงเปิดอยู่แต่ข้ารับใช้ต่างเร้นกายหายไปกันหมดเสียแล้ว หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ลอบตื่นตระหนกอยู่ในพระทัย แต่เมื่อเห็นว่าฮองเฮาของพระองค์กำลังเสวยน้ำจัณฑ์ชื่นชมโคมไฟที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าบนแท่นประทับที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง จึงได้ลอบถอนพระปัสสาสะออกมาแล้วก้าวพระบาทตรงไปหาพระนางในทันที
“ยังไม่นอนอีกหรือ” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสถามออกมาพลางทอดพระเนตรมองคนงามตรงหน้าด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“พระองค์ยังไม่เสด็จมาแล้วหม่อมฉันจะนอนก่อนได้อย่างไรเล่าเพคะ” เฉินฮองเฮาเอ่ยพลางรินน้ำจัณฑ์ถวาย หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงรับขึ้นมาเสวยไปคำหนึ่งแล้วจึงได้ประทับลงเคียงข้างพระนาง ทั้งสองต่างชื่นชมโคมไฟร่วมกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วเฉินฮองเฮาจึงได้ตรัสถามออกมาด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา
“ในตอนนั้นเหตุใดฝ่าบาท จึงได้ทรงลงไปช่วยหม่อมฉันขึ้นจากแม่น้ำเหอเล่าเพคะ” คำถามนี้ไร้ซึ่งคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้ยินพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความขัดเขินและความจำยอมตอบกลับมา
“ข้าชื่นชอบสตรีอยู่ผู้หนึ่ง นางทั้งงดงามทั้งซุกซน และที่สำคัญนางเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก คนงามที่ทำให้อัครเสนาบดีจ้าวฉีผู้เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของข้าถึงกับมีสีหน้าเขียวคล้ำกำลังจะต้องตกไปเป็นของผู้อื่นแค่คิดข้าก็ยอมไม่ได้แล้ว” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้พระนางนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อถูกตั้งคำถามกลับบ้างเช่นกัน
“เหตุใดจึงได้ยินยอมรับราชโองการแต่โดยดีเล่า หากผิงกั๋วกงกลับมาแล้วช่วยออกหน้าปฏิเสธให้เจ้าก็ย่อมสามารถทำได้”
“เพราะความทะเยอทะยานกระมังเพคะ” คำตอบนี้ทำให้คนทั้งคู่ต่างเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“แต่ข้าคิดว่าไม่ใช่ เจ้าไม่ใช่คนทะเยอทะยานเช่นนั้น” คำพูดประโยคนี้ทำให้เฉินฮองเฮาทรงพระสรวลออกมา
“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสแล้ว แต่กลับได้คู่ครองที่ทั้งขลาดเขลาและเบาปัญญามาผู้หนึ่ง ก็เลยลองทำตามใจตนเองดูบ้างเพียงเท่านั้น ฝ่าบาททั้งหล่อเหลาและปัญญาดีน่าจะเป็นคู่ครองที่เหมาะสม ในใจก็คิดว่าหากวันหน้าตัดสินใจผิดหม่อมฉันก็แค่เพียงรีบถอนตัวถอนใจ ถึงอย่างไรในตำหนักเย็นก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผู้อื่นคิด ออกจะเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวมากเสียด้วยซ้ำ” คำพูดประโยคนี้ทำให้หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทอดถอนพระปัสสาสะออกมา
“เจ้าตัดสินใจไม่ผิดหรอกข้าขอยืนยัน คนเช่นข้าไม่ใช่คนที่ชื่นชอบหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตนเอง แม้ว่าคำพูดของข้าอาจจะดูเกินเลยไปบ้างเจ้าก็อย่าได้ถือสา ให้ดูที่การกระทำของข้าก็พอแล้ว” ถ้อยคำประโยคนี้ล้วนตรัสออกมาจากข้างในพระทัยอย่างแท้จริง หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองคนงามตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมา
“หม่อมฉันรู้ ช่วงนี้ถึงไม่ทำร้ายพระวรกายฝ่าบาทด้วยการปล่อยให้ทรงป่ายปีหน้าต่างของตำหนักแล้วอย่างไรเล่าเพคะ” ถ้อยคำประโยคนี้ทำให้หลี่ไท่หลงทรงแย้มพระโอษฐ์ออกมาและค้างอยู่ในท่านั้นเนิ่นนาน ด้วยทรงหาประโยคมาเอื้อนเอ่ยตอบกลับไม่ได้ นี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่ทรงโต้เถียงไม่ชนะฮองเฮาของพระองค์…
หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงครองราชย์ยาวนานถึงยี่สิบปี สุดท้ายก็ทรงสละราชบัลลังก์ให้องค์รัชทายาทหลี่เทียนหลง ส่วนจวนผิงกั๋วกงก็อยู่รับใช้ตลอดรัชกาลของพระองค์ ในรัชกาลต่อมาเฉินเจียวหลินบุตรชายคนสุดท้องของผิงกั๋วกงที่ถือกำเนิดจากสตรีสกุลเฉียวยังแยกจวนออกมาอีกสาขาแล้วได้รับบรรดาศักดิ์เป็นผิงอันโหวคอยควบคุมดูแลกองกำลังของสกุลเฉินในเมืองหลวง สกุลเฉินยังคงรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทอยู่เรื่อยมาแล้วจะได้ชื่อว่าเป็นสกุลของไทเฮาแต่ก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีต่อราชวงศ์
ช่วงบั้นปลายชีวิตไท่ซ่างหวงหลี่ไท่หลงใช้ชีวิตอย่างสงบร่วมกับเฉินไทเฮาในตำหนักใหญ่ของอุทยานหลวง ครองคู่จนชราโอรสธิดาอยู่พร้อมหน้า กล่าวกันว่าพระนางเฉินไทเฮาคือสตรีที่มีโชคที่สุดในแคว้นต้าเยียน มีเพียงพระนางที่รู้ดีว่าโชคดีของพระนางนั้นคือการได้ย้อนกลับมาเพื่อแก้ไขชีวิตของพระนางได้อีกครั้ง
จบบริบูรณ์
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ