LOGINเวลาล่วงผ่านหนึ่งเดือน แม้ตอนนี้ในพุงหมาน้อยของหญิงสาวจะมีต้าวก้อนอยู่ในนั้นทว่าหากไม่สังเกตก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ ด้วยความที่เป็นคนร่างเพรียวบางอยู่แล้ว พอใส่เสื้อตัวหลวมปิดบังกลับไม่เห็นถึงความผิดปกตินั้นสักนิด
“วันนี้กินอะไรดีน้า เอาเป็นต้มจืดไก่ดีไหมลูก” หญิงสาวพึมพำคล้ายพูดคุยกับเจ้าก้อนในท้อง
ภริตาพูดคุยกับลูกในท้องหงุงหงิงอย่างมีความสุข ต่อให้ไม่รู้ว่าพ่อของลูกน้อยเป็นใครอยู่ที่ไหน แต่ทุกๆ วันภริตาจะคอยตามความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มที่เธอตามหา เงินที่รับจ้างไปเมื่อคราวก่อนช่วยให้ชีวิตเธออยู่ได้ไม่ฝืดเคืองนัก
ค่าจ้างสองล้านแลกกับครอบครัวไม่เป็นหนี้และยังมีเงินเหลือใช้จนถึงตอนนี้
นับว่าคุ้ม…เกินคุ้ม
อีกทั้งตอนนี้ชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวก็เหมือนถูกเติมด้วยหัวใจดวงน้อยที่เต้นตึกตักอยู่ในท้องของเธอ
วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปหญิงสาวตามหาชายหนุ่มที่เธอเห็นหน้าเพียงคืนเดียว แต่ก่อนไม่เคยคิดจะตามหา ทว่าพอได้ตามแล้วรู้สึกว่าช่างยากเย็นยิ่งนัก
ภริตาเกือบถอดใจแล้ว ถ้าไม่ติดว่าหน้าเฟสบุ๊กปรากฎใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในห้วงความคิดมาตลอด คิดอีกทีเฟซบุ๊กเหมือนรู้ใจเธอที่เพียงแค่นึกถึงสิ่งใด สิ่งนั้นก็มักจะเลื่อนมาอย่างถูกเวลาและจังหวะที่ต้องการเสมอ
“บริษัทไลท์พ้อยท์” ชื่อถูกพึมพำออกจากกลีบปากอิ่ม
ภริตาไม่เคยรู้ว่าชายหนุ่มที่ตนเองเคยถูกจ้างวานให้วางยาเป็นถึงเจ้าของบริษัทใหญ่ และมีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นร้อย
“โชคดีที่คุณยังไม่ตาย ฉันจะทำไงดีนะ?”
สมองน้อยๆ เริ่มคิดคำนวณหาวิธีที่จะเข้าหาเป้าหมาย นับเป็นการยากอยู่ที่คนแบบเธอจะเข้าหาเขา ภริตานิ่งคิดใคร่ครวญอยู่นาน จวบจนกระทั่งเห็นข้อความแปะรับสมัครงาน แผนในหัวจึงวิ่งมาราวกับถูกเตรียมการมาอย่างดี
ดวงตะวันเคลื่อนสู่ท้องฟ้า ภริตารีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านพร้อมแฟ้มใส่พอร์ตฟอลีโอของตัวเอง วันนี้เธอตั้งใจว่าจะไปสมัครงานแม่บ้านที่บริษัทไลท์พ้อยท์ ถึงตำแหน่งงานจะต่ำต้อย ทว่านั่นไม่ใช่เป้าหมาย เพราะแท้จริงแล้วการได้พบชายคนนั้นอีกครั้งต่างหากที่เป็นสิ่งปรารถนา ณ เวลานี้
แปดโมงเช้าต่อมา คนที่มาสมัครเป็นแม่บ้านก็มานั่งกรอกข้อมูลหน้าโต๊ะฝ่ายบุคคล หลังจากสอบสัมภาษณ์ราวสิบห้านาที เจ้าหน้าที่ก็เอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้มาทำงานได้เลยนะคะ”
“ค่ะพี่ ขอบคุณนะคะที่รับหนูเข้าทำงาน” ภริตาพูดพลางยกมือไหว้จรดกลางอก อีกฝ่ายยิ้มก่อนถามไถ่ต่อเหมือนหาเรื่องพูดคุยทั่วไป
“จบปริญญา แต่ทำไมถึงมาสมัครตำแหน่งแม่บ้านล่ะ”
“พอดีว่า อยากได้งานทำไวไวนะค่ะ เลยขอสมัครตำแหน่งที่ไม่ต้องรอนานดีกว่า” ภริตาให้เหตุผล
“งั้นก็แล้วแต่น้องนะ แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนใจทำตามสายที่เรียนก็มายื่นใบสมัครใหม่ได้นะ ที่นี่เปิดโอกาสให้เด็กใหม่เสมอ” อีกฝ่ายบอกมาอย่างหวังดี ยิ่งเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ส่งยิ้มยิงฟันมาก็พลอยเอ็นดู
“ค่ะพี่ ขอบคุณนะคะ”
“จ้า”
“งั้นหนูกลับเลยนะคะ”
หลังจากร่ำลาพี่พนักงานฝ่ายบุคคลเสร็จ ภริตาก็เดินมารอลิฟต์ แต่ไม่คิดฝันว่าจะเจอเข้ากับคนที่เธออยากพบพอดี ภริตาก้มหน้างุด ครั้นจะหลบให้พ้นก็ไม่ทันแล้วเพราะเขาเดินมาทางนี้พอดี
นานราวชั่วกัลป์ที่หญิงสาวก้มสายตาลงมองปลายเท้าตัวเองราวกับของแปลก กระทั่งกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าเปิดกว้างออก ร่างสูงก้าวเข้าไปด้านใน ภริตาเกิดความลังเลว่าจะเข้าลงไปพร้อมกับเขาหรือว่ารอให้เขาลงไปก่อน แต่แล้วน้ำเสียงดุก็ดังขึ้น
“ไม่ไปเหรอ”
ภริตาไม่ตอบ เก็บงำน้ำเสียงไว้ กลัวว่าเขาจะจำได้ รีบจ้ำอ้าวเข้าไปยืนสงบนิ่งยังอีกฝั่ง
ก่อนเจอเขา… เธอคิดไว้ตั้งมากมายว่าจะคุยอะไรบ้าง แต่พอเจอเขาเข้าจริง กลับไม่มีคำใดหลุดออกจากปากนอกจากเม็ดเหงื่อที่ซึมไปทั่วแผ่นหลัง
“ฟู่ว์”
ทันทีที่ร่างสูงก้าวออกไปดั่งมาดของราชสีห์ หนูน้อยเช่นเธอก็ค่อยผ่อนลมหายใจออกฟู่ โชคดีที่เอเมอร์ไม่ได้ใส่ใจมองคนต่ำต้อยแบบเธอเลย เพราะพอถึงชั้นหนึ่ง เขาก็พุ่งออกไปยังรถยนต์คันหรูที่สตาร์ทเครื่องรอทันที
‘เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ’
วันถัดมา...
“อื้อ…เมื่อย จะไหวมั้ย ภาพวาดเอ้ย เฮ้อ…” ปากเล็กเป็นกระจับของหญิงสาวที่สวมใส่ยูนีฟอร์มพนักงานทำความสะอาดเอ่ยบ่นกับตัวเองเสร็จก็เดินมานั่งพักขาที่เก้าอี้ หลังจากผ่านชั่วโมงการทำงานมาครึ่งค่อนวัน
การเป็นพนักงานที่ตั้งครรภ์อ่อนๆ ทำให้วันแรกของการทำงาน ภริตาสายตัวแทบขาด แม้จะมีรุ่นพี่คอยช่วยอยู่ไม่ห่างแต่การอยู่ในภาวะพิเศษนี้ช่างบอบบางนัก ถูพื้นนิดเดียวแต่กลับใช้พลังงานมากมายจนหญิงสาวแทบจะถอดใจทิ้ง
ทุกๆ วัน ภริตาได้แต่ทำความสะอาดเฉพาะพื้นที่ในส่วนของพนักงานเท่านั้น จนกระทั่งวันนี้ รุ่นพี่ที่รับผิดชอบชั้นผู้บริหารเกิดป่วยกะทันหัน เธอจึงได้โอกาสนี้มาโดยไม่ทันตั้งตัว
“ภาพวาด” เพื่อนร่วมงานที่ภริตารู้จักเพียงสามวันตะโกนบอกหลังจากเดินออกจากลิฟต์ด้วยกัน
“หือ” เธอครางรับผ่านหน้ากากอนามัยปิดหน้าจนเหลือเพียงดวงตาสองดวง
“วาดทำความสะอาดห้องรับรองลูกค้านะ ส่วนฉันจะไปห้องน้ำเอง เพราะดูท่าทางเธอแล้วไม่น่าไหว”
“ได้ เดี๋ยววาดจัดที่ห้องรับรองเอง ขอบใจนะที่ช่วย” ภริตาตอบกลับด้วยสีหน้าโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด
“จ้า ช่วยได้ก็ช่วยกันไป” พูดแล้วอีกฝ่ายก็แยกไปยังโซนห้องน้ำ
ภริตาเลยลากไม้ม็อบไปยังห้องรับรองลูกค้า ไปถึงเธอก็จัดการปัดขนไก่ไปตามโซฟาตัวหรูที่แค่สายตามองก็เห็นถึงความนิ่มสบายจนน่าเอนหลังนอน แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิด เพราะขืนเธอทำอย่างที่คิดจริง ไม่แคล้วโดนผู้จัดการฝ่ายไล่ออกตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นโปร มือเรียวปัดๆ ถูๆ เสร็จก็ย้ายไปยังโต๊ะที่วางเครื่องแก้วชามที่จัดไว้รับรองลูกค้าโดยเฉพาะ มีแก้วที่ผ่านการใช้งานแล้วสองสามใบวางไว้ใกล้ซิงค์ล้างจาน เพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานทำความสะอาดแบบเธอ ภริตาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปเก็บล้างแล้วเช็ดให้แห้ง แต่ครั้นหันกลับมาอีกครั้ง เธอแทบสะดุ้งตอนนี้มีสายตาคมดุสีน้ำตาลกำลังกวาดตามองเธออยู่นิ่งๆ
“อุ๊ย” หญิงสาวเผลอหลุดอุทานอย่างเข่าอ่อน ดีที่ว่าแก้วถูกคว่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้นคงจะหลุดมือและแตกกระจายแน่
“ตกใจเหรอ” นั่นคือคำทักทายแรกจากคนตัวสูง
“ป เปล่าค่ะ” ภริตาตอบไปแล้วก็หลบสายตาคมเป็นพัลวัล โชคยังดีที่วันนี้เธอมีหน้ากากปิดหน้า มิเช่นนั้นเรื่องราวทุกอย่างคงถึงบางอ้อแล้ว
“ปฏิเสธ แต่ก้มหน้าหลบ เธอกับฉันเคยมีคดีกันรึไง”
“เอ่อ…” ภริตาเริ่มติดอ่าง ภาวนาว่าขอให้เขา…จำเธอไม่ได้ ถึงแม้นี่จะเป็นโอกาสดีที่เธอจะคุยกับเขา แต่ใจเธอมันยังไม่พร้อม
ความเงียบกระจายทั่วห้อง แอร์ที่เย็นเฉียบอยู่แล้วยิ่งเย็นมากขึ้นไปอีกเมื่อสายตาคมดุจเหยี่ยวคาดคั้นมา
“ตอบ”
“ตอบอะไรคะ”
“ก็ตอบที่ฉันถามไง นี่เธอโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่”
ภริตาเกือบจะกลอกตามองบนแล้ว แต่นึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าที่กำลังยืนคาดคั้นเธออยู่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เธอจะต่อเถียงได้
“ไม่มีค่ะ ขออนุญาตถูพื้นต่อนะคะ” เธอตอบตัดลำคาณไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วคว้าไม้ม็อบถูไปมา ราวกับว่าไม่ได้มีเขายืนอยู่ตรงนี้ กระทั่งปลายขนม็อบดันไปหยุดตรงรองเท้าแบรนด์นอกที่ถูกขัดเงาจนมันวาวเข้า ภริตาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของ
“คุณช่วยหลบหน่อยได้ไหมคะ”
“ทำไมผมต้องหลบด้วย มีปัญหาเหรอ” อีกฝ่ายย้อนมากวนๆ
ภริตาเผลอสะบัดหน้าใส่ แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาคือคนจ่ายค่าจ้างเลยจำใจถอยไปถูยังอีกฝั่งอย่างสงบเสงี่ยม ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ยืนดูเธอทำงานเงียบๆ ก่อนจะเดินหายไปในห้องทำงานใหญ่ที่มีป้ายชื่อติดหราว่า ‘ประธาน’
3เดือนต่อมาภริตากำลังนั่งถักหมวกเพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้สวมใส่ในช่วงหน้าหนาว หรือเวลาที่เอเมอร์พาเธอกับลูกไปเที่ยวที่ต่างประเทศในอนาคต ตอนนี้ลูกน้อยของภริตาได้มีอายุครบหกเดือนเต็มแล้ว แถมยังชอบส่งยิ้มให้ป๊ากับมี๊อีกด้วยเอเมอร์เมื่อเห็นลูกเริ่มเล่นได้ก็เห่อซื้อของขวัญชิ้นโตๆ ให้ลูกมาเป็นโขยง ทั้งที่ของทุกชิ้นลูกก็ยังเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ดูท่าคุณพ่อป้ายแดงคงจะเห่อลูกไปอีกนานปรี๊น!ปรี๊น!เสียงแตรรถบีบเรียกให้ภริตารีบออกไปต้อนรับการกลับมาของสามี ร่างบางวางเครื่องมือการถักผ้าลงก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาเอเมอร์ที่บริเวรหน้าประตูใหญ่ร่างสูงสวมชุดสูทราคาแพงขึ้นบันไดตรงเข้ามากอดภรรยาคนสวยพร้อมกับหอมอีกสองฟอดภริตาถึงกับต้องตีที่แขนเอเมอร์เป็นเชิงเอ็ดเพราะกลัวว่าคนใช้ในบ้านจะมาเห็นเข้า“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอกค่ะ”“อายทำไม ผัวเมียกอดหอมกันมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะวาด”“คุณก็!”“เรารีบเข้าบ้านเถอะ ฉันคิดถึงเธอกับลูกจะแย่แล้วรู้มั้ย”ร่างสูงโอบไหล่ภรรยาสาวและพ
หลังจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่ตกลงกันเสร็จสิ้นนัยนาก็รับหน้าที่ไปจัดการเรื่องการ์ดเชิญแขกที่จะมาร่วมงาน ส่วนภาพวาดและเอเมอร์จึงมานั่งคุยกันถึงเรื่องวันงาน“วาดขอจัดงานไม่ต้องใหญ่โตมากนะคะ เราเชิญเฉพาะแค่แขกที่สนิทจริงๆ ก็พอค่ะ”เสียงใสพูดกับสามีด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่เอเมอร์กลับเลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างตั้งคำถาม ฐานะของเขาก็ออกจะใหญ่โตขนาดนี้ทำไมภรรยาถึงอยากให้จัดงานแค่เพียงงานเล็กๆ“ทำไมล่ะ เธอไม่อยากจัดงานใหญ่ๆ ให้ตัวเองมีหน้ามีตาในสังคมงั้นเหรอ”“ไม่หรอกค่ะ วาดอยากจัดแบบอบอุ่นมีแค่คนกันเอง วาดว่ามันดูเรียบง่ายและไม่วุ่นวายดีค่ะ”“งั้นเหรอ”“ค่ะ แล้วอีกอย่างลูกเราก็ยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบเลย ไว้ให้ลูกครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่วาดอยากจะจัดงานอีกรอบ และอยากให้เราสองคนพาลูกเข้าประตูวิวาห์ด้วยค่ะ เพื่อเป็นพยานรักให้กับเราสองคน คุณว่าไงคะ?”ภาพวาดร่ายยาวถึงความตั้งใจของเธอที่อยากมีลูกมาร่วมพิธีด้วย ทำให้เอเมอร์มองหน้าสวยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“รู้ตัวมั้ยว่าเธอน่ารักมาก”มือห
“ทำไมต้องเป็นคุณด้วยนา”เสียงทุ้มเอ่ยถามอดีตคนรักเก่าอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสามีของภาพวาดจะเป็นลูกชายของเธอจริงๆ“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าหนูวาดเป็นลูกสาวของคุณ” นัยนาตอบชายหนุ่มไปด้วยความสัตย์จริง เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้“ผม…”เกริกถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลายปีมานี้เขาไม่เคยลืมเธอได้เลย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกทำให้สองคนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว เพราะเขาทั้งคู่ต่างคนก็ต่างเริ่มต้นใหม่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น!“ฉันดีใจนะคะที่คุณเลี้ยงลูกสาวเติบโตมาได้เป็นอย่างดีเลย หนูวาดน่ารักมากๆ ส่วนเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว”นัยนาส่งยิ้มจริงใจให้เกริกในขณะที่ลูกๆ กำลังพากันงงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่ทั้งภาพวาดและเอเมอร์ต่างก็หันมาสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร เพราะไม่อยากขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาทั้งสองฟังอยู่เงียบๆ และปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง“ลูกชายคุณก็หล่อ…น่าจะได้พ่อมาเยอะนะ”เก
หนึ่งเดือนผ่านมาบิดาของภริตาก็ลงมาเยี่ยมหลาน ภริตาดีใจมากที่ได้เจอหน้าพ่อเป็นครั้งแรกในรอบปี ตอนแรกเธอคิดว่าจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แต่เอเมอร์กลับเห็นว่าไหนๆ พ่อตาก็ลงมาเจอหน้าหลานทั้งที จึงคิดใช้โอกาสนี้ให้สองครอบครัวมาทำความรู้จักกัน เพราะส่วนหนึ่งเขาก็อยากคุยเรื่องแต่งงานด้วยและแล้วงานเซอร์ไพรส์ก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง จากที่จะเลี้ยงกันเล็กๆ ภายในครอบครัวก็กลายเป็นงานเลี้ยงแบบมีพิธีการย่อมๆ“คุณ” ภริตาสะกิดเรียกสามี เมื่อเห็นอาการของสองพ่อที่มาเจอกันในงาน“หือ”“คุณว่าเขาจะคุยกันยังไงคะ” ภริตาพูดแล้วพลางขยิบตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะ หากทว่าต่างคนต่างนิ่งเงียบ“ภาษาใบ้ไง” เอเมอร์ตอบกลับ“คุณก็”“ไปเถอะ ปล่อยให้พ่อพ่อเขาคุยกันเถอะ เจ้าอินดี้หิวแล้วล่ะ” เอเมอร์ชวนก่อนจะเดินนำเธอไปหาลูกน้อย ปล่อยให้ชายวัยใกล้หกสิบทั้งสองคนที่เหมือนจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจ้องหน้ากันเงียบๆคนหนึ่งเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อีกคนเป็นคนต่างชาติที่แม้จะมาอยู่ปร
กลางดึกของวันที่อากาสเย็นเยียบ ภริตาตื่นมาก็สัมผัสกับความเปียกชื้นตรงกลางหว่างขา เธอรีบปลุกร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆ กัน“ที่รัก”“…”เงียบไร้เสียงตอบรับ ภริตาจึงเอื้อมมือมาเขย่าแขนกำยำพร้อมกับปลุกเรียกอีกครั้ง“ที่รักตื่นสิ ฉันปวดท้อง”“หืม?”คำว่าปวดท้องทำให้อดีตมาเฟียหนุ่มกระพือตาเปิด ขยี้เปลือกตาไปมาสักพักเพื่อปรับแสง ก่อนลุกนั่งแล้ววิ่งวุ่นจัดการทุกอย่างให้พร้อมสรรพภริตาเริ่มหน้ายับย่น ความปวดเริ่มกระจายวงกว้าง“ที่รัก...ฉันเจ็บท้อง” เธอร้องบอกสามี“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว”ใบหน้าสวยพยักหน้ารับ ฝืนใจข่มความเจ็บก่อนส่งมือให้ช่วยพยุงพากันลงด้านล่างของเพ้นท์เฮ้าส์ เพราะเป็นเวลาดึกถนนโล่ง เพียงไม่ถึงยี่สิบนาที เอเมอร์ก็พาภริตามาถึงโรงพยาบาล และทันทีที่มาถึงร่างของว่าที่คุณแม่ก็ถูกเข็นเข้าไปด้านในเอเมอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปลอดโรคตามคุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ กระทั่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง&l
หลังผ่านความวุ่นวายทุกอย่าง เอเมอร์ตัดสินใจพาภริตามารู้จักครอบครัว ด้วยเขาคิดอยากจะสร้างอนาคตร่วมกันและวางแผนสำหรับชีวิตที่กำลังจะมีไอ้ต้าวก้อนออกมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าภายในรถคันหรู เอเมอร์มีท่าทีสบายๆ แต่ภริตากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดจนชายหนุ่มต้องเอ่ยถามขึ้น“เป็นอะไร นั่งนิ่งเชียว”“กลัวค่ะ”“กลัวอะไร”“กลัวคุณแม่คุณ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาติดกังวล แต่คนฟังอย่างเอเมอร์ปล่อยขำออกมาเสียงดัง“ฮ่า ฮ่า ฮ่า กลัวอะไร แม่ฉันไม่ได้มีเขี้ยวงอกออกมาซะหน่อย” มาเฟียหนุ่มเอ่ยขำๆ แต่ภริตาเริ่มเขม่นตามาแบบขวางๆ“คุณก็หัวเราะได้ซิ ไม่รู้หรือไงว่าศึกระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ทำผัวเมียพังมานักต่อนักแล้ว วาดไม่ไปได้มั้ย ขอลงตรงนี้เลย” พูดจบมือเล็กก็เตรียมพร้อมปลดล็อกประตูรถ“ขี้ขลาด!”หญิงสาวที่กำลังจะหนีสะดุ้ง“เรื่องอะไรมาด่าวาดด้วยเล่า”“ไม่ให้ด่าได้ไง เรื่องมันยังไม่ทันเกิด แต่เธอก็กลัวจนหัวหดเสียแล้ว ไม่สมกับเป็นเมียฉ







