Masukเช้าแล้ว
เมื่อวานกว่าเยว่ฉีจะทำความสะอาดบ้านเสร็จเรียบร้อยพอให้นอนได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย พอเสร็จจากการทำความสะอาดสิ่งที่นางทำต่อจากนั้นคือการหุงหาอาหาร และสิ่งที่ตามมาคือความหนักใจ เยว่ฉีก่อไฟไม่เป็นร้อนให้หานลั่วอี้มาช่วยก่อ
เขาช่วยยังไงนะหรือ? ก็ใช้พลังปราณทำให้ฟืนลุกไหม้ยังไงละ ตอนเห็นใบหน้านิ่ง ๆ ใช้พลังวิเศษจุดไฟให้ เยว่ฉียอมรับเลยว่าไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่เมื่อความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าสุดท้ายก็ต้องพยายามทำใจยอมรับว่าโลกที่หลุดเข้ามาอยู่เป็นโลกของพลังวิเศษ
ว่าแต่นางมีพลังพิเศษหรือเปล่า ถ้ามีเหมือนคนในโลกนี้บ้างก็คงจะดี ทว่าจากความทรงจำของเจ้าของร่างดูเหมือนว่าเยว่ฉีจะไม่มีความสามารถดังกล่าว
แต่เยว่ฉีคนก่อนกับเยว่ฉีคนปัจจุบันก็หาใช่คนเดียวกันบางทีคนก่อนไม่มีนางอาจจะมีก็ได้
เยว่ฉีส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง เดินไปยังเพิงข้างบ้าน เริ่มต้นจัดการทำอาหารเช้า
ข้าวในบ้านคือข้าวที่ได้แวะซื้อก่อนจะมาถึงหมู่บ้านชวีซาน ซึ่งเพียงพอสำหรับครึ่งเดือน หลังจากนี้ต้องเข้าเมืองไปซื้อมาอีกรอบ เมื่อวานเยว่ฉีเห็นว่าในหมู่บ้านมีรถเทียมลาวิ่งเข้าออก คิดว่าน่าจะเป็นรถสำหรับรับคนเข้าไปในเมือง
วันนี้เยว่ฉีไม่มีปัญหาเรื่องก่อไฟเหมือนเมื่อวานเพราะนางจุดไฟเอาไว้ทั้งคืน เช้าวันนี้จึงมีไฟพอเป็นเชื้อเพลิงสำหรับทำอาหาร
เยว่ฉีเริ่มจากซาวข้าวหุงข้าวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นหันไปหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งในถังใบเล็กขึ้นมาวางบนเขียงใช้มีดสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ เตรียมทำผัดผักอย่างง่าย
พอเตรียมของสำหรับทำอาหารเรียบร้อยข้าวก็สุกพอดี เยว่ฉียกหม้อข้าวออกจากเตา แล้วเริ่มทำอาหาร ระหว่างที่ง่วนอยู่กับการทำอาหาร หานลั่วอี้ที่ตื่นแล้วไม่เห็นภรรยาอยู่ในห้อง แต่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอกจึงเข็นรถเข็นออกมาหา
แผ่นหลังบอบบางขยับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วไม่นานก็ได้กลิ่นหอมลอยโชยมาจากจุดที่นางยืนอยู่
หานลั่วอี้ไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าไปรบกวนทำเพียงมองอยู่ห่าง ๆ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะสัมผัสสายตาเขาได้ ดวงหน้างดงามติดซูบผอมถึงได้หันมายิ้มให้
“ท่านตื่นแล้ว?” หานลั่วอี้พยักหน้า ผลักรถเข็นเข้าไปใกล้
“ตื่นแล้ว”
“ดียิ่ง ท่านรอข้าไม่นานอาหารจะเสร็จแล้ว หรือท่านจะไปเตรียมโต๊ะรอ?”
“ข้าไปจัดโต๊ะรอ” เยว่ฉีพยักหน้าขึ้นลงปล่อยให้หานลั่วอี้กลับเข้าบ้านไป
นางไม่ได้ปฏิบัติกับอีกฝ่ายเช่นผู้ป่วยคนหนึ่งแต่ปฏิบัติกับเขาเหมือนคนปกติผู้หนึ่งแทน ถึงยังไงหานลั่วอี้ก็คงต้องการเช่นนี้มากกว่า
ดูจากท่าทางแล้วบุรุษผู้นี้ไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นมองตนเช่นคนพิการ
คนไปแล้วเยว่ฉีก็หันมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ก่อนอื่นนำกระเทียมลงไปเจียวกับน้ำมันให้เหลืองส่งกลิ่นหอม พอกระเทียมได้แล้วก็ใส่หมูลงไปผัด ใช้ตะหลิวคนในกระทะจนหมูเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อยจึงปรุงรสด้วยเกลือ เพราะไม่มีเงินพอซื้อเครื่องปรุงรสอื่น ๆ นางจึงต้องใช้เกลืออย่างเดียวไปก่อน
ผัดหมูกับเครื่องปรุงเข้าด้วยกันจากนั้นใส่ผักลงไปผัดจนผักสุกกำลังพอดีก็ตักใส่จาน
อาหารมีไม่มากเพราะสภาพการเงินไม่ดี ตระกูลหานให้เงินหานลั่วอี้มาเพียงหนึ่งตำลึง ถึงนางจะไม่รู้ว่าหนึ่งตำลึงมากน้อยแค่ไหนในโลกนี้ เพราะความทรงจำของร่างเดิมแทบจะไม่ได้หยิบจับสิ่งที่เรียกว่าเงินเลยสักครั้ง จึงต้องประหยัดเอาไว้ก่อนจะหาเงินเข้าบ้านได้
เยว่ฉีทำผัดผักอย่างเดียวก็ถือเป็นอันเสร็จ ชาติก่อนใช้ชีวิตอยู่หอช่วงเรียนมหาลัยจึงทำอาหารเป็นหลายอย่าง แม้จะไม่ถึงกับเลิศรสเทียบเชฟระดับภัตตาคาร แต่ก็ถือได้ว่าอร่อย
หานลั่วอี้มองอาหารหน้าตาหน้าทานตรงหน้าก็ยิ่งสงสัยในตัวภรรยา เพราะเขารู้ว่าแม่ใหญ่ไม่มีทางหาภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยนิสัยและเรื่องในบ้านให้มาแต่งกับเขาเป็นแน่ ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าในระหว่างที่นางหลับไม่ได้สติและฟื้นขึ้นมานั้นเกิดเรื่องอันใดหรือไม่
“ท่านทานสิ” หานลั่วอี้พยักหน้า เริ่มทานอาหาร
เขาไม่รังเกียจที่อาหารมีเพียงอย่างเดียว เพราะอาหารจานเดียวตรงหน้ารสชาติอร่อยยิ่งกว่าอาหารมากมายที่เคยทานมาตั้งแต่อดีต อีกทั้งอาหารที่ไม่ได้มีความพิเศษมากมายจานนี้ ก็มาจากภรรยาผู้หนักแน่นที่ยอมมาใช้ชีวิตลำบากไปด้วยกันด้วยความเต็มใจ
เขาไม่คิดว่าเยว่ฉีกำลังเล่นละครตบตา เพราะไม่ว่าจะเป็นคนปั้นหน้าเก่งมากมาจากที่ใด ยามต้องมาใช้ชีวิตเช่นนี้ก็ต้องแสดงสีหน้าออกมาบ้าง ทว่านางกลับมีเพียงรอยยิ้มประดับมุมปากอยู่เสมอ
รสชาติอาหารยังคงอร่อยเหมือนเช่นเมื่อวาน ทั้งสองคนพูดคุยกันพร้อมกับขยับตะเกียบคีบข้าวเข้าปากบรรยากาศกลมเกลียว อบอุ่น
ไม่นานอาหารจานนี้ก็หมดเกลี้ยงทั้งสองคนทานอาหารอิ่มพอดี
หลังทานข้าวทั้งสองก็แยกย้ายกันไป หานลั่วอี้เข้ามาในห้องน้องชายต่างมารดา เด็กชายตัวน้อยยังคงหลับไม่ได้สติทั้งยังไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เมื่อวานเขาได้ลองตรวจอาการดูแล้วแต่ไม่พบความผิดปกติ มีเพียงความทรงจำบางส่วนที่มีใครบางคนร่ายคาถาเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปดูความทรงจำของเด็กน้อย อีกทั้งยังเป็นคาถาที่ทำให้หานลั่วซานนอนหลับสนิทไม่ยอมฟื้น
คิดมาถึงตรงนี้ดวงตาคมเข้มพลันมีประกาย เคียดแค้นวาบผ่าน มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น
สตรีร้ายกาจผู้นั้นเพื่อผลประโยชน์แล้วถึงกับกล้ากระทำเรื่องบางอย่างกับบุตรตัวเอง เขาเชื่อว่าสาเหตุอาการป่วยของหานลั่วซานมาจากมู่ฉิงเย่
คาถาที่ใช้กับหานลั่วซานแข็งแกร่งกว่าพลังที่เขามีทำให้ไม่สามารถใช้พลังคลายคาถาได้ หากเขาไม่กลายเป็นเช่นนี้คงช่วยน้องชายตัวน้อยผู้น่าสงสารได้แล้ว
หานลั่วอี้มองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของน้องชาย มือแกร่งยกขึ้นลูบผมเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะถอดถอนใจออกมา
“ลั่วซานเจ้าช่างเป็นเด็กที่เกิดผิดที่ผิดทางเสียจริง”
ในระหว่างที่หานลั่วอี้กำลังนั่งมองและคอยดูแลน้องชายอยู่ทางด้านเยว่ฉีก็กำลังทำความสะอาดเครื่องครัวและถังเก็บน้ำ เมื่อวานมีเวลาไม่พอ หลังทำความสะอาดบ้านนางก็เหนื่อยเกินกว่าจะออกมาทำความสะอาดเพิงทำอาหาร จึงทำความสะอาดเพียงคร่าว ๆ มาวันนี้จึงต้องลงมือทำอย่างจริงจัง
เริ่มจากจัดการเพื่อนบ้านผู้ชอบชักใยไปทั่วบ้านคนอื่นออกไปทั้งหมด จากนั้นตักน้ำในบ่อขึ้นมาสาด สาดเข้าไปและขัด ๆ จนสะอาดที่สุดในความคิด
หลังทำความสะอาดส่วนอื่น ๆ ของเพิงเรียบร้อยแล้วก็มาถึงคิวถังน้ำซึ่งมีน้ำขังอยู่ในถังจนมีพืชสีเขียวขึ้นเต็มด้านในไปหมด
มองถังเต็มไปด้วยตะไคร้น้ำสีหน้างดงามพลันบิดเบี้ยว คิดว่าจะเก็บไว้หรือทิ้งไปดี
ถ้าเก็บก็ต้องขัดทำความสะอาดนานแต่หากทิ้งไปก็อาจจะต้องเสียเวลาทำขึ้นมาใหม่ จะจ้างคนหรือซื้อก็อาจจะแพงเกินไปสำหรับตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะขอให้หานลั่วอี้ทำขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่
พอคิดทบทวนเรียบร้อยแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะทิ้ง!!! ถังเป็นอย่างนี้แล้วคงไม่เหมาะจะนำมาใส่น้ำ หานลั่วซานมีพลังพิเศษที่สามารถจุดไฟได้ อาจจะสามารถขุดถังให้นางสักถังได้
เยว่ฉีตัดสินใจได้แล้วก็ล้มถังเทน้ำทิ้ง พอน้ำไหลออกไปจนหมดก็ดึงถังกลับขั้นมาตั้งเหมือนเดิม ในจังหวะที่ดึงถังขึ้นมาแสงแดดได้สาดส่องลงไปถึงก้นถัง หลังจากนั้นก็มีประกายแสงสีเงินสะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนนางต้องหยีตาลง เกิดความสงสัยขึ้นในหัวเยว่ฉี ก่อนหน้านี้ในถังมีน้ำเต็มไปหมดทำให้แสงแดดส่องลงไปก้นถังได้ยาก มาตอนนี้น้ำไม่มีเหลือแล้วผลึกสีเงินรูปสามเหลี่ยมดูแหลมคมจึงได้สะท้อนประกายงดงามเข้าสู่ดวงตา
เยว่ฉียื่นมือลงไปหวังจะหยิบขึ้นมาดู ทว่าถูกยอดแหลมของสิ่งที่อยู่ในถังแทงทะลุนิ้วมือ
“โอ๊ย!!” นางดึงมือขึ้นมาโดยเร็วสะบัด ๆ มือหลายครั้งเพื่อคลายความเจ็บก่อนจะนำนิ้วเข้าปากดูดห้ามเลือด
เลือดหยดหนึ่งอาบชโลมผลึกสีเงินก้นถัง ตัวผลึกจากที่เคยเงียบสงบก็คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา ใจกลางของสิ่งของรูปสามเหลี่ยมสีเงินทอแสงสีเงินออกมาก่อนจะหายไป คล้ายกับอาการหัวใจเต้น จากนั้นร่างกายของเยว่ฉีก็หายไป
หานลั่วอี้พลันขมวดคิ้วขึ้นมา แม้จะเป็นเพียงผู้ฝึกปราณขึ้นสามทว่าก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ ตอนนี้กลิ่นอายภรรยาหายไปแล้วทั้งยังเป็นการหายไปทันที เขาจึงอดสงสัยไม่ได้
ฝ่ามือแกร่งนำพารถเข็นออกมายังส่วนหน้าบ้าน แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ในใจบุรุษหนุ่มพลันปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ กังวลใจถึงสาเหตุที่นางหายตัวไป ภายใต้ความกังวลนี้ยังมีความเคลือบแคลงใจและความเชื่อใจขัดแย้งกันอยู่
เขาไม่อยากพบว่าสุดท้ายแล้ว เยว่ฉีก็ไม่ต่างจากคนบ้านนั้นที่ไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนพิการไม่มีอนาคตเช่นเขา เช่นเดียวกับที่เชื่อว่านางไม่เหมือนคนบ้านเดิม เป็นสตรีที่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดกาล อีกทั้งสาเหตุการหายตัวไปยังน่าสงสัย ไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้บริเวณบ้านแล้วเหตุใดนางถึงได้หายตัวไป
ทั้งยังเป็นการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าถูกลบออกไปทันที
หานลั่วอี้เป็นกังวลใจกับการหายตัวไปของภรรยา ส่วนคนที่เป็นสาเหตุของความกังวลใจกับกำลังตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจในสิ่งที่เห็น
“สุดยอดนี่มันอะไรกันเนี้ย!!!
หญิงสาวตรงหน้ายังคงแย้มยิ้ม ทว่าบรรยากาศกดดันกลับทำให้คนทั้งสามไม่กล้าแม้จะขยับตัว พลังจิตแผ่กระจายออกไป ปกคลุมทั่วทั้งร่าง ก่อนจะควบคุมให้เข้าไปโจมตีจิตของอีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้กว่าหนึ่งจั้ง คนทั้งสามก็หมดสติล้มลงไปนอนบนพื้นเสียแล้วรอยยิ้มงดงามหดหาย ใบหน้าเผยความรู้สึกเสียดาย หลุบตาลงมองคนทั้งสาม พร้อมเอ่ยออกมาว่า“จบแล้วหรือ?”น้ำเสียงเสียดายถูกเอ่ยออกมา หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนจะหันหลังเดินห่างออกมาตัดสินผู้ชนะบนลานประลอง พร้อมม่านพลังที่จางหายไปทั้งที่เป็นคำพูดและน้ำเสียงเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกดดัน แต่กลับสามารถกระตุ้นความรู้สึกของคนที่มองอยู่ด้านบนได้เป็นอย่างดี“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน จัดการได้ยอดเยี่ยมมาก รอยยิ้มของนางทำเอาข้าขนลุกซู่ไปทั้งตัว” อู๋หนิงอันที่มองการแข่งขันอยู่ถึงกับตาแข็งค้าง ไม่คิดว่าสตรีที่ดูไม่มีพิษภัย พอเผยยิ้มร้ายจะทำให้คนตัวแข็งค้าง“ข้าชอบนาง ข้าจะเลือกนางมาเป็นคนของตระกูลข้า !!” อู๋หนิงอันเอ่ยเสียงหนักแน่น ไม่ได้พบเจอสตรีที่มีท่าทีถูกใจนางเช่นนี้มานานแล้ว นางตื่นเต้นจนอยากจะลงไปทักทายเสียตอนนี้“เหอะ คนเช่นนี้ต้องมาที่ตระกูลไท่เท่า
เวลาหนึ่งวันไม่ถือว่านาน แต่สำหรับคนที่เข้าร่วมศึกจัดอันดับนั้น เวลาหนึ่งวันคือช่วงเวลาบีบเคล้นพวกเขาให้หายใจลำบากเมื่อการทดสอบรอบแรกสิ้นสุดลง ในที่สุดพวกเขาก็โห่ร้องออกมาได้เสียที ไม่ใช่โห่ร้องออกมาจากความดีใจเพียงอย่างเดียว แต่โห่ร้องออกมาเพราะความโล่งใจ ที่ในที่สุดก็ผ่านรอบแรกมาได้การแข่งขันรอบสองจะถูกจัดขึ้นวันพรุ่งนี้ ยังพอมีเวลาให้เตรียมตัวศิษย์ทั้งหลายเดินทางออกจากลานประลองแล้ว ศิษย์หลายคนมีสีน่าเศร้าสร้อยเพราะไม่ผ่านการแข่งขันรอบแรก หลายคนเอ่ยปลอบเพื่อนที่รู้จักกันพร้อมบอกว่ายังมีการแข่งขันอีกครั้ง สามารถเข้าร่วมได้เสมอ หรือไม่หากมั่นใจในความสามารถตนเองก็สามารถขอท้าสู้คนที่อยู่ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งได้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เยว่ฉีเพิ่งได้รู้ตั้งแต่เข้ามาในสำนัก นางไม่เคยได้ใช้เวลาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในสำนักเลย หากไม่เข้าไปฝึกฝนในมิติ ก็เข้าไปฝึกฝนในหุบเขา ขนาดสวนสมุนไพร หรือห้องแรงโน้มถ่วงก็ยังไม่เคยเข้าไปเหยียบเลยสักครั้งหอสมุดยิ่งแล้วใหญ่ อาจารย์บอกว่าในมิติมีหนังสือเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องไปเสียแต้มกับของแบบนั้นนางผู้ได้ชื่อว่าศิษย์ผู้เชื่อฟังจึงไม่เคยเข้าไปในหอสมุดวันที่สอ
ฝั่งหวานเว่ยก็มีสภาพไม่ต่างกัน นางกระโดดมายืนข้างเสินเทียน ทั้งสองคนหันหลังเข้าหากัน สายตาแน่วแน่ไม่คิดยอมแพ้ ทั้งที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเยว่ฉีผู้นั่งมองเหตุการณ์ยกยิ้มยื่นมือเข้าช่วยเล็กน้อยคงไม่เป็นไรกระมัง ว่าแล้วก็ขยายพลังจิตลงไปด้านล่าง โอบล้อมคนทั้งสิบเอาไว้ อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายกำลังได้ใจ โจมตีเข้าไปในจิตให้เสียหลักสองคนที่เหลือมองเห็นความผิดปกติเล็กน้อย อาศัยโอกาสที่เยว่ฉีสร้างให้ โจมตีอีกฝ่ายจนหมดสติ จากนั้นก้มลงเก็บป้ายหยกออกมา“สนุกพอแล้วก็ออกมา” เป็นเสินเทียนที่เอ่ยขึ้น การโจมตีเมื่อสักครู่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเยว่ฉี เพราะคงไม่มีคนใจดีที่ไหนยื่นมือเข้าช่วยคนที่ตนไม่รู้จักเขากวาดตามองบริเวณโดยรอบ ก่อนจะมองเห็นเยว่ฉีนั่งแกว่งขาไปมาท่าทางสบายใจอยู่บนกิ่งไม้ ข้างกายนางมีหานลั่วอี้ยืนมองอยู่“สนุกมากไหม? ที่เห็นพวกข้ากำลังเสียเปรียบ”“สนุกมาก ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้าข้ายิ่งมีความสุข” นางเอ่ยยิ้ม ๆ กระโดดลงมาจากต้นไม้ แต่ก่อนร่างกายจะถึงพื้นลมสายหนึ่งก็มารองใต้เท้านางรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จึงหันไปเอ่ยขอบคุณเสินเทียนมองทั้งสองคนที่สภาพยังดีอยู่ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พว
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปศิษย์หลายคนถูกคัดออกในเวลาไม่นาน ในขณะที่ศิษย์อีกหลายคนสามารถสะสมแต้มได้ครบ และผ่านเข้ารอบถัดไปสองสามีภรรยาเยว่หานผู้โชคดีได้พบศิษย์เข้ามามอบแต้มให้ถึงมือ ไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากนั้นมาทั้งสองคนจะไม่พบใครอีกเลย“ลั่วอี้พวกเราดวงซวยเกินไปหรือไม่?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยผ่านมาสองชั่วยามแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในป่า นอกจากสัตว์อสูรที่เข้ามาหาเรื่องเป็นครั้งคราวแล้ว พวกเขาก็ไม่พบศิษย์คนใดอีกเลย ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในหุบเขาแห่งนี้แล้วบุรุษถูกถามผินหน้ามองภรรยา มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย“ภรรยายังมีเวลาอีกมาก”“ข้ารู้ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ? ผ่านมาสองชั่วยามแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา นอกจากสองคู่แรกที่เข้ามาหาเรื่องเอง พวกเรายังไม่พบใครอีกเลย”“บางทีจุดที่พวกเราปรากฏตัวอาจจะห่างไกลจากศิษย์คนอื่น”เยว่ฉีคิดตามแล้วพยักหน้า ถึงอย่างนั้นนางก็ยังสงสัยศิษย์เข้ามาในหุบเขาตั้งมากมาย เหตุใดถึงหาไม่เจอ!!นางอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าเวลาการแข่งขันจะสิ้นสุดลง ไม่แน่บางทีเดินหน้าต่อไปอีกไม่กี่ก้าวพวกเขาอาจจะพบศิษย์คนอื่น ๆคิดได้ด
“ลั่วอี้พวกเราเรียกได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่?” เยว่ฉียืนนิ่งอยู่ด้านหลังหานลั่วอี้ ใช้พลังจิตตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ชายหนุ่มสกัดการโจมตีที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง สีหน้าเรียบเฉย“ภรรยาพวกเขาคงหมายตาเจ้ากระมัง”“ระหว่างการแข่งขันเนี่ยนะ?! เสียสติไปแล้วหรือ” หญิงสาวส่ายหัว เอ่ยเสียงเรียบ“ท่านจัดการได้หรือไม่? ข้ายังไม่อยากเผยความสามารถเท่าใดนัก”“ภรรยาเจ้าสามารถยืนนิ่งปล่อยให้สามีปกป้อง” เยว่ฉีถึงกับหลุดขำให้ประโยคหวานพูดออกมาด้วยหน้านิ่ง ๆ ได้ยังไงกันนะ เป็นบุรุษที่มีความสามารถเสียจริง“เชิญสามีปกป้องข้า” ว่าจบก็หย่อนตัวลงนั่งบนโขดหินที่ยืนเมื่อสักครู่ คนมาล้อมจู่โจมถึงกับงงงวย ทว่าไม่นานพวกเขาก็เข้าใจแม้จะบอกว่านั่งนิ่งให้ปกป้อง แต่ความจริงแล้วเยว่ฉีกำลังนั่งตรวจสอบว่าพวกเขาทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ที่ใด จากนั้นส่งที่อยู่ทั้งหมดเข้าไปในหัวหานลั่วอี้เพื่อยืนยันว่าจุดที่ชายหนุ่มสัมผัสได้กับจุดที่นางเห็นตรงกันจากนั้นลมสายหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมคนทั้งสี่จนหมดสติในการโจมตีเดียว“ง่ายกว่าที่คิดเสียอีก” หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ปัด ๆ เศษดินออกจากมือ ยื่นมือออกไปรับป้ายหยกที่หานลั่วอี้ใช้พลังยึดมาทั้งสองคนแ
หลังผ่านการฝึกฝนอย่างหนักใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาหลังสำนักมานานในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยก็มาถึงศึกจัดอันดับเพื่อกลายเป็นหนึ่งในร้อยอันดับผู้แข็งแกร่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วบนลานกว้างเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมศึกจัดอันดับ ชายหนุ่ม หญิงสาวเลือดร้อนที่ต้องการเข้าชิงหนึ่งในที่นั่งร้อยอันดับแรก ต่างรวมตัวกันอยู่บนลานประลองเหนือพวกเขาขึ้นไปด้านบน อาจารย์อาวุโสพร้อมอาจารย์ท่านอื่น ๆ ต่างยืนเรียงรายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มบนที่นั่งพิเศษเช่นเดียวกับตอนแรกนอกจากนั้นยังมีคนจากดินแดนระดับสูงที่กำลังกวาดตามองพวกเขาอยู่สายตาเสาะหาและพิจารณาเหล่านั้นกำลังจับจ้องทุกคนบนลานประลอง“สวัสดีเหล่าเด็กผู้กระหายความแข็งแกร่งในที่สุดศึกจัดอันดับระหว่างศิษย์ด้วยกันเองก็มาถึงแล้ว ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะมีศิษย์เข้าร่วมจำนวนมากจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเล็กน้อย”อาจารย์อาวุโสลอยออกมากลางลานประลองเหนือศิษย์ทั้งหลาย เขาวาดมือบนอากาศครั้งหนึ่ง ป้ายหยกขนาดเท่ากับป้ายชื่อก็ลอยมาตรงหน้าพวกเขา“สิ่งนี้เรียกว่าป้ายหยกประจำตัว บนนั้นจะมีแต้มอยู่สองแต้ม สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือเปลี่ยนแต้มบ







