รถม้าแล่นไปตามทาง สองข้างถนนจากเดิมได้ยินเสียงพูดคุยจอแจของผู้คนหลังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามความวุ่นวายของบ้านเมืองก็ค่อย ๆ จางหายเหลือไว้เพียงความเงียบสงบและท่วงทำนองจากธรรมชาติ
เยว่ฉีเลิกผ้าม่านกั้นหน้าต่างขึ้นมองออกไปยังทิวทัศน์ซึ่งประดับประดาไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ป่าไม้เขียวชอุ่ม มองดูธรรมชาติที่ห่างไกลจากความเจริญ
ปลายทางของรถม้าคือหมู่บ้านชวีซาน หมู่บ้านชนบทตั้งห่างออกไปจากเมืองโม่ฉีหนึ่งชั่วยาม ซึ่งแต่เดิมคือที่ตั้งของจวนตระกูลหาน
“ธรรมชาติก็ไม่เลว มีคำกล่าวว่าธรรมชาติช่วยบำบัดผู้ป่วย”
“บำบัด?” คำพูดไม่คุ้นหูชวนให้บุรุษตรงหน้าสงสัย จึงเอ่ยถาม
“บำบัด คือ การรักษา ว่ากันว่าธรรมชาติช่วยรักษาผู้คนได้” เยว่ฉีไม่คิดปิดบังคำพูดไม่คุ้นชิน เอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น รอยยิ้มประดับดวงหน้า น้ำเสียงอ่อนโยน
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
“ในความทรงจำของข้าล้วนมีเรื่องเช่นนี้ ถึงจะไม่สามารถรักษาได้ทุกอาการเจ็บป่วย แต่สภาพจิตใจกลับสามารถ” ยามเอ่ยประโยคนี้นัยน์ตาเยว่ฉีมีประกายความคิดถึงเคลื่อนผ่านบางเบา ทำให้หานลั่วฉีไม่อาจสัมผัสถึง
ด้านหลังรถม้าของทั้งคู่มีรถม้าแล่นตามมาด้วยสองคัน หนึ่งคันคือรถม้าของหานลั่วซาน อีกคันคือรถม้าขนสัมภาระซึ่งมีเพียงน้อยนิดของผู้เคยเป็นถึงคุณชายใหญ่
ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วยามกับอีกสองเค่อทั้งสามคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชวีซาน เพราะต้องคอยระวังไม่ให้กระทบกระเทือนร่างกายผู้ป่วยรถม้าจึงเดินทางช้ากว่าปกติเล็กน้อย
โลกที่เยว่ฉีคนใหม่มาอยู่เรียกว่า ทวีปหลงเหริน แบ่งออกเป็นสามดินแดนใหญ่ คือดินแดนระดับล่างเฟยฮ่าว ดินแดนระดับกลางเทียนหลง และสุดท้ายดินแดนระดับสูงหลินหลง
จวนตระกูลหานที่เยว่ฉีเคยอยู่ตั้งอยู่บนดินแดนระดับล่างเฟยฮ่าว เมืองโม่ฉี ซึ่งห่างจากหมู่บ้านชวีซานหนึ่งชั่วยาม
ยิ่งระดับการอยู่อาศัยสูงเท่าใด ระดับการฝึกปราณจะยิ่งสูงมากเท่านั้น ทั้งจำนวนผู้ฝึกปราณก็จะมีมากขึ้น ด้วยทรัพยากรที่มีมากกว่าทั้งยังมีระดับสูงกว่า
ดินแดนระดับต่ำมักจะหาทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกปราณได้อย่างจำกัด อีกทั้งของระดับสูงยังหายากในดินแดนระดับล่าง สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ฝึกปราณก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ยาก ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่จึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะขึ้นไปยังดินแดนที่สูงกว่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นดินแดนระดับใดก็ล้วนแล้วแต่มีการแข่งขันสูงไม่ต่างกัน
นอกจากพรสวรรค์ความสามารถแล้วสิ่งที่ผู้คนที่นี่คิดว่าควรจะมีมากที่สุดคือ โชค โชควาสนาในการพบพานเครื่องมือซึ่งช่วยในการฝึกปราณ รวมไปถึงทรัพย์สินพอให้ใช้จ่ายออกไปได้อย่างไม่จำกัด
รถม้าหยุดแล้ว เยว่ฉีมองกำแพงเก่าโทรมตรงหน้าพลันขมวดคิ้ว
คงไม่ใช่บ้านหลังนี้ใช่ไหม?
ไม่ต้องให้นางรอคำตอบนานเกินไป เมื่อคนขับรถม้าพูดขึ้นมาว่าถึงบ้านพวกเขาแล้ว
เยว่ฉีพลันขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนตระกูลหานแสนประเสริฐอวดอ้างว่าตนเป็นผู้ฝึกปราณมีคุณธรรม หวาดกลัวชื่อเสียงจะเป็นที่กล่าวถึง ดูการกระทำแต่ละอย่าง สมควรโดนด่าสามวันแปดวัน
เยว่ฉีถอนหายใจยาว หันไปมองสามี
คนผู้นี้ต่างหากที่ควรจะรู้สึกมากกว่านาง ทว่าพอได้สบสายตาหนักแน่นตรงหน้า ความหงุดหงิดในใจพลันสลายลงไปมาก เอ่ยเสียงอบอุ่นเป็นกันเอง
“ก็ดีกว่าบ้านหลังนั้น ถึงจะทรุดโทรมไปบ้างแต่ยังดีที่มีที่ซุกหัวนอน” ยามกล่าวประโยคนี้ใบหน้าเยว่ฉีประดับรอยยิ้มเล็กน้อยอยู่ตลอด
หานลั่วอี้พยักหน้าเห็นด้วย ธรรมชาติของชนบทก็ไม่แย่อย่างที่คิด ทั้งเงียบสงบและเป็นส่วนตัว อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าตระกูลใหญ่ที่อยู่อาศัยมาตลอดยี่สิบปี แต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่าความกดดันเหล่านั้นหลายเท่า
ทั้งคู่ลงมาจากรถม้าแล้ว แม้หานลั่วอี้จะถูกผู้คนกำหนดให้ไม่สามารถฝึกปราณได้ แต่ก็ยังเป็นถึงผู้ฝึกปราณขั้นสาม ในหมู่บ้านนี้ถือได้ว่าอยู่ระดับสูงสุด ก่อนจะป่วยหานลั่วอี้เป็นถึงผู้ฝึกปราณขั้นหก ซึ่งถือได้ว่ามีความสามารถโดดเด่นแต่หลังจากต้องพิษจนเส้นลมปราณเสียหายไปจนถึงขาทั้งสองข้างความสามารถก็ลดลงอย่างมาก และการที่เส้นลมปราณเสียหายยากจะรักษา หมอมีชื่อมากมายจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อาจรักษาได้
เยว่ฉีผลักรถเข็นชายหนุ่มผ่านประตูกำแพงบ้านที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่งเข้าไป นางเข็นรถเข็นไปหยุดไว้ใต้ต้นไม้ข้างกำแพง ก่อนจะพาร่างเดินไปสำรวจดูว่าบ้านพอจะอยู่อาศัยได้หรือไม่
ทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไปฝุ่นมากมายก็กระโดดออกมาต้อนรับจนต้องหลบหน้าหนี สำลักไอออกมาอยู่นาน เยว่ฉีเหลือบสายตาเข้าไปสำรวจด้านในอีกครั้ง ไม่มีแสงลอดผ่านลงมาจากหลังคา พยักหน้าพึงพอใจ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าหลังคาไม่รั่ว ก่อนจะเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างออกเป็นอย่างแรก
บ้านหลังน้อยนี้มีห้องอยู่ทั้งหมดสองห้องเพียงพอสำหรับพวกเขาสามคน ถึงจะยังตะขิดตะขวงใจที่ต้องนอนร่วมห้องกับหานลั่วอี้ แต่ยังไงก็ได้ชื่อว่า เป็นสามีภรรยา นอนห้องเดียวกันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่สมควร
สำรวจบ้านคร่าว ๆ แล้ว เยว่ฉีก็เดินออกมาด้านนอก ข้างบ้านหลังน้อยมีเพิงสำหรับหุงหาอาหารตั้งอยู่ มีเตาสำหรับใช้ทำอาหารและฟืนซึ่งโดนแมลงกัดเจาะจนเป็นรูไปหมดแล้ว ข้างเพิงหญ้ามีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง มีฝาไม้ผุ ๆ ปิดเอาไว้ พอเปิดดูน้ำในบ่อยังมีพอให้ใช้ ไม่ต้องลำบากออกไปตักน้ำที่ไหนไกล
ในลานบ้านขนาดเล็กเต็มไปด้วยเถาวัลย์ หญ้า และต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องมีคนบอกแค่ดูก็รู้แล้วว่าบ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน
“ยังดีที่หลังคาไม่เป็นอะไร ทำความสะอาดสักหน่อยก็นอนได้แล้ว มีห้องอยู่สองห้องพอดี พอให้หานลั่วซานได้นอนอย่างสบาย ๆ” ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนและคำพูดสบาย ๆ ของเยว่ฉี ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยคลายความอยุติธรรมในใจหานลั่วอี้ได้หลายส่วน
เขามองหน้าภรรยานิ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเนิบช้าหนักแน่น
“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นบ้านที่ดีของเรา” ไม่รู้ว่าเพราะสายตาที่มองมา หรือประโยคคำว่า บ้านของเรากันแน่ ถึงทำให้หัวใจเยว่ฉีอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ระหว่างที่เยว่ฉีเดินสำรวจบ้าน คนขับรถม้าของตระกูลก็ขนสัมภาระมาไว้ข้างตัวหานลั่วอี้หมดแล้ว มองหีบของที่มีเพียงไม่กี่ใบเยว่ฉีอดทอดถอนใจไม่ได้
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่รถม้ามาจอดหน้ากำแพงบ้านเกือบท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านโดยรอบผ่านไปผ่านมาต่างมองมาด้วยความสงสัยใคร่อยู่ ถึงกับมีบางคนเดินเข้ามาใกล้สอบถามกับคนขับรถม้า ยังดีที่บ่าวเหล่านั้นไม่ได้ปากมาก พูดเพียงว่ามาส่งคนเท่านั้น
ชาวบ้านหลายคนต่างอยากรู้อยากเห็น เพราะพวกเขาบางคนทันได้เห็นว่าในบรรดาคนที่ลงจากรถม้ามา มีคนนั่งรถเข็นคนหนึ่ง และเด็กนอนหลับไม่ได้สติคนหนึ่ง แถมทั้งคู่ยังเป็นบุรุษ ส่วนสตรีที่มีสติดีกับร่างกายผอมแห้ง
พวกเขาไม่กลัวคนเข้ามาใหม่แต่กลัวคนมาสร้างความลำบากให้มากกว่า ชาวบ้านที่บ้านใกล้เคียงบางคนถึงขั้นออกมานั่งหน้าประตูบ้านเพื่อมองสำรวจอย่างจริงจัง
“คุณชายใหญ่ พวกข้าขนของเสร็จแล้วเช่นนั้นขอตัวลา” หานลั่วอี้มองท่าทีเชิงเคารพระคนดูแคลนก็ไม่พูดอะไรพยักหน้าน้อย ๆ ให้คนทั้งสาม
เมื่อคนไปแล้วตอนนี้ก็เหลือเพียงหานลั่วอี้ เยว่ฉี และหานลั่วซานนอนหลับอยู่บนฝูกข้างกายพี่ชาย บุรุษหนุ่มหันหน้าไปมองน้องชายต่างมารดาด้วยสีหน้าหลากหลาย ทว่าในความหมายของสายตากับไม่มีความเคียดแค้นชิงชังปรากฏอยู่
เยว่ฉีสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เห็นได้ชัดว่า มารดาเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อหานลั่วอี้แต่ทำไมเขาถึงได้ดูเป็นห่วงเด็กน้อยคนนี้เสียเหลือเกิน
คนก็ไปแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวสงสัยความสัมพันธ์คนทั้งคู่ ยังมีเวลาอีกมากให้นางได้ถามไถ่เรื่องราวหลายอย่าง ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรก คือการทำความสะอาดบ้านหลังน้อยนี้ให้พอซุกหัวนอนได้
เยว่ฉีบอกกับหานลั่วอี้ว่าจะไปทำความสะอาดบ้าน ชายหนุ่มต้องการช่วยเหลือ ถึงขาจะใช้การไม่ได้แต่ส่วนอื่น ๆ ยังสามารถใช้งานได้ปกติ แต่เยว่ฉีปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า หานลั่วซานต้องมีคนคอยดูแล
พอคิดถึงความปลอดภัยของน้องชาย หานลั่วอี้จึงไม่ดึงดันช่วยเหลืออีก ยอมกลับไปอยู่ข้าง ๆ น้องชายแต่โดยดี ส่วนเยว่ฉีก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป
หานลั่วอี้ได้แต่มองตามแผ่นหลังภรรยาหายลับเข้าไปในบ้าน นัยน์ตาชายหนุ่มพลันปรากฏคลื่นอารมณ์
หลังรถเทียมลาจอดเทียบบนลานจอด คนทั้งหมดต่างทยอยลงจากรถ ครอบครัวเฟิงและเยว่ฉีก้าวลงมาหลังใครเขา รถจนคนก่อนหน้าออกไปหมดแล้วถึงได้ก้าวลงมาสองข้างถนนของเมืองโม่ฉียังคงครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากไม่กี่วันก่อนหน้า ทว่าช่างแปลกตาในความคิดนางคงคุ้นเคยกับธรรมชาติในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเข้าเสียแล้ว“อยากไปที่ใดก่อนหรือไม่?” หลัวหรูเอ่ยถาม ตอนที่เห็นสายตาเป็นประกายตื่นเต้นของเด็กสาวเยว่ฉีหันหน้าไปหายิ้มบางพลางตอบ“พี่หลัวข้าต้องการไปขายพืชวิญญาณก่อน จากนั้นจะไปซื้อของเข้าบ้าน บ้านข้าตอนนี้ก็อย่างที่พวกท่านทราบ” เยว่ฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ครอบครัวเฟิงเผยสีหน้าซับซ้อนครอบครัวสามีเยว่ฉีชั่งใจร้ายเสียจริง ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบาง ทว่าการปล่อยให้สตรีร่างกายซูบผอมอยู่กินกับบุรุษขาพิการเพียงลำพัง แค่คิดก็พาให้รู้สึกขมเฝื่อนขึ้นมาในใจ“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เยว่ฉีมองหลัวหรู กะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าที่นางเอ่ยออกมาหมายถึงอะไร แต่ก็พยักหน้าตกลงยิ้ม ๆ“ไปกันพี่หลัวข้าอยากจะเห็นร้านรับซื้อพืชวิญญาณแล้ว” และคนทั้งสามก็เดินทางไปยังร้านขายและรับซื้อพืชวิญญาณระ
หานลั่วอี้บอกเยว่ฉีนำหยกวิญญาณไปขาย ทั้งยังแนะนำร้านที่ไว้ใจได้ให้ด้วยวันนี้เยว่ฉีมีแผนจะเดินทางไปขายพืชวิญญาณในเมืองพร้อมกับเพื่อนบ้านทั้งสอง นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเตรียมอาหารรวมไปถึงยาสำหรับหานลั่วซานเช่นเดียวกับเมื่อวานก่อนจะออกจากบ้านนางเตรียมน้ำแห่งชีวิตให้หานลั่วอี้หนึ่งขวด ดูจากที่อีกฝ่ายมีทีท่าคล้ายรอคอย ยามขวดหยกปรากฏตรงหน้าก็สามารถคาดเดาได้ว่า น้ำแห่งชีวิตมีประโยชน์ต่อสามีจริงเท่านี้ก็ยืนยันคำพูดของผู้อาวุโสได้แล้วผู้อาวุโสหมิงยังบอกกับนางอีกว่าหลังผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนให้เพิ่มปริมาณน้ำแห่งชีวิตในตอนที่เจือจาง จากเดิมหนึ่งหยดต่อหนึ่งถ้วยก็เพิ่มเป็นสองหยดต่อหนึ่งถ้วย ทำเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายหานลั่วอี้ปรับตัวเข้ากับความพิเศษของน้ำแห่งชีวิตอย่างช้า ๆเยว่ฉีย้ำกับสามีเรื่องลั่วซานอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากประตูบ้าน อีกฝ่ายเข็นรถมาส่งจนถึงหน้าประตูมองส่งนางขึ้นรถเทียมลาของหมู่บ้านจนลับตาถึงได้ถอนสายตากลับ ปิดประตูลงเข็นรถกลับเข้าบ้านทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของใครบางคน คนคนนั้นแอบมองจนเป้าหมายลับสายตาถึงได้ถอยออกมาทำไมพืชวิญญาณที่เก็บได้เมื่อวานจึงต้องมาขายในวันต่
บ่ายวันเดียวกันเยว่ฉีกำลังง่วนอยู่กับก้อนหินที่ได้รับมา นางกำลังใช้ความคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะผ่าหินออกเป็นสองส่วนได้ เยว่ฉีรู้สึกว่าต้องมีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้แล้วเหตุใดนางถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหมิง? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่บนเขา หลังผู้อาวุโสใช้พลังจิตขุดพืชวิญญาณออกมาทั้งหมดและช่วยเปิดประตูให้เยว่ฉีออกมาจากถ้ำ เขาก็หลับไปไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะไปได้บอกกับนางว่าจะไม่อยู่สองสามวันเพราะใช้พลังไปมากรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยสรุปคือ ใช้พลังเกินขีดจำกัดจนหลับไปเยว่ฉีวางก้อนหินขนาดประมาณหัวเด็กลงบนพื้น ก่อนจะมองหาของที่พอจะใช้ทุบก้อนหินให้แตกได้ ในระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยปลายสายตาพลันเหลือบไปเห็นปังตอขึ้นสนิมด้ามหนึ่งวางพิงอยู่ข้างเตาเย่วฉีลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิ ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงเป้าหมายก้มลงหยิบปังตอที่ว่าขึ้นมา เดินกลับมานั่งที่เดิม“ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้!!” หญิงสาวบ่นพึมพำใช้สองมือประคองปังตอเดินกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหินสองมือจับปลายด้ามจับของปังตอเอาไว้แน่น ยกขึ้นเหนือศีรษะใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปกับการฟันในครั้งนี้เพล้ง!!!ปั
ดินแดนเฟยฮ่าว มีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจที่สุดอยู่ที่ฝึกปราณขั้นเก้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการพัฒนาตนเองให้เก่งกาจไปมากกว่านี้ ทว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ความเร็วในการฝึกปราณช้าลงยิ่งระดับสูงความต้องการในทรัพยากรจะยิ่งมากขึ้นและยังหมายถึงเงินที่ต้องใช้จ่ายออกไปหากต้องการไปให้สูงกว่าต้องเดินทางไปยังดินแดนที่สูงกว่า ทว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของคนคนนั้นที่เยว่ฉีไม่ทราบเพราะในหนังสือที่ผู้อาวุโสให้มามีเพียงภาพและคำอธิบายลักษณะ รวมไปถึงระดับของพืชวิญญาณ ไม่ได้กล่าวถึงการนำไปใช้สองสามีภรรยามึนงงอยู่บ้างว่าเหตุใดเยว่ฉีถึงได้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชวิญญาณมากถึงเพียงนี้ แต่ไม่นานก็สลัดความคิดนั้นไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นักบางทีคนบางคนก็ใช่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง“พี่หลัวพืชวิญญาณต้นนี้ขายได้เท่าใด”“ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองตำลึงสูงสุดที่สี่ตำลึงขึ้นอยู่กับคุณภาพว่าสูงหรือต่ำ”สี่ตำลึง !!!นางสามารถหาเงินได้ถึงสี่ตำลึงในเวลาเพียงสองเค่อไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว“พี่หลัวพวกท่านหาพืชวิญญาณได้หรือไม่” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า“โชคร้ายที่ข้ากับพี่เฟิงไม่พบพืชวิ
“ผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”‘…’“ผู้อาวุโส?”‘…’ ยังคงไม่ตอบผู้อาวุโสหมิงคงไม่ได้หมายความว่าให้นางขุดพืชวิญญาณทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเองใช่ไหม? ดูจากพืชวิญญาณสองต้นก่อนหน้านางยังใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม !! หากต้องใช้มือขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมา มิใช่ว่าต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยหรือ? นางมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกันผู้อาวุโสหมิงคงไม่ใจร้ายกับนางมากเกินใช่ไหม?‘บ่นข้าพอหรือยัง?’รู้ได้ยังไงว่านางกำลังบ่นให้ จะเฉียบแหลมเกินไปแล้ว !!ถึงในใจเยว่ฉีจะบ่นไปร้อยแปดพันเก้า ทว่ายามเอ่ยออกมากับมีนัยประจบอยู่หลายส่วน “ผู้อาวุโสข้าหาได้คิดเช่นนั้น ท่านอย่าเข้าใจข้าผิด”ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยประจบประแจงของเยว่ฉีทำผู้อาวุโส หมิงหมั่นไส้ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืมร่างหญิงสาวเป็นสื่อกลางอีกครั้งมือเรียวสวยยกขึ้นตรงหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่พืชวิญญาณทั้งหมดบนพื้นที่กว่าหนึ่งหมู่มีประกายแสงสีทองห้อมล้อมเอาไว้ทั้งต้นผู้อาวุโสหมิงใช้พลังจิตของตนในการโอบอุ้มและขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมาในครั้งเดียว พืชวิญญาณที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังจิตปรากฏขึ้นบนอากาศไม่มีส่วนใดเสียหาย กระทั่งดินซึ่งติดอยู่ตามรากยั
เยว่ฉีอาศัยความทรงจำที่ได้จากการอ่านหนังสือเมื่อคืนมองหาไปเรื่อย ๆ พืชวิญญาณไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายหรือมีอยู่เกลื่อนกลาด เพราะฉะนั้นหลังผ่านมาสองเค่อแล้วเยว่ฉีจึงยังหาไม่พบแม้สักต้นทว่าในระหว่างที่นางกำลังจะเดินไปยังทิศทางอื่น พลันได้ยินเสียงผู้อาวุโสดังขึ้นในความคิด‘ตรงไปด้านหน้าครึ่งเค่อฝั่งขวามือ’“ผู้อาวุโสตรงนั้นมีอันใดหรือ” นางคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผู้อาวุโสเอ่ย‘เดินไปตามที่ข้าบอกเจ้าจะพบสิ่งที่ต้องการ’ ดวงตางดงามเป็นประกาย จากคำพูดของผู้อาวุโสสามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นพืชวิญญาณวิญญาณอย่างแน่นอนเยว่ฉีเดินไปตามทางที่ผู้อาวุโสบอกก่อนจะพบก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินวนรอบก้อนหินก็ไม่พบพืชวิญญาณแม้สักต้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันคล้ายผู้อาวุโสอ่านความคิดนางออก จึงเปรยขึ้นมาว่า‘วางมือลงบนก้อนหิน ข้าจะใช้เจ้าเป็นตัวกลางในการเปิดม่านพลัง’เยว่ฉีทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานก็เห็นว่าก้อนหินซึ่งดูไม่มีอะไรเกิดช่องว่างขนาดเท่าคนขึ้นตรงหน้าพลังพิเศษสุดยอดจริง ๆ“ผู้อาวุโสหมิงท่านรู้ได้เช่นไรว่าตรงหน้ามีการร่ายคาถาอำพรางเอาไว้” แม้เยว่