เยว่ฉีอาศัยความทรงจำที่ได้จากการอ่านหนังสือเมื่อคืนมองหาไปเรื่อย ๆ พืชวิญญาณไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายหรือมีอยู่เกลื่อนกลาด เพราะฉะนั้นหลังผ่านมาสองเค่อแล้วเยว่ฉีจึงยังหาไม่พบแม้สักต้น
ทว่าในระหว่างที่นางกำลังจะเดินไปยังทิศทางอื่น พลันได้ยินเสียงผู้อาวุโสดังขึ้นในความคิด
‘ตรงไปด้านหน้าครึ่งเค่อฝั่งขวามือ’
“ผู้อาวุโสตรงนั้นมีอันใดหรือ” นางคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผู้อาวุโสเอ่ย
‘เดินไปตามที่ข้าบอกเจ้าจะพบสิ่งที่ต้องการ’ ดวงตางดงามเป็นประกาย จากคำพูดของผู้อาวุโสสามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นพืชวิญญาณวิญญาณอย่างแน่นอน
เยว่ฉีเดินไปตามทางที่ผู้อาวุโสบอกก่อนจะพบก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินวนรอบก้อนหินก็ไม่พบพืชวิญญาณแม้สักต้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากัน
คล้ายผู้อาวุโสอ่านความคิดนางออก จึงเปรยขึ้นมาว่า
‘วางมือลงบนก้อนหิน ข้าจะใช้เจ้าเป็นตัวกลางในการเปิดม่านพลัง’
เยว่ฉีทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานก็เห็นว่าก้อนหินซึ่งดูไม่มีอะไรเกิดช่องว่างขนาดเท่าคนขึ้นตรงหน้า
พลังพิเศษสุดยอดจริง ๆ
“ผู้อาวุโสหมิงท่านรู้ได้เช่นไรว่าตรงหน้ามีการร่ายคาถาอำพรางเอาไว้” แม้เยว่ฉีจะมีความรู้เกี่ยวกับโลกนี้น้อยมาก ทว่าเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา กำลังภายในก็พอจะรู้บ้างทั้งจากความรู้ของร่างนี้และความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือนิยายมาเยอะพอสมควร
นอกจากความประหลาดใจแล้วที่เหลือมีเพียงความตื่นเต้นเท่านั้น
ส่วนคนถูกถามทำเพียงส่งเสียง “ฮึ” ขึ้นจมูก คล้ายจะบอกว่า ข้าเป็นใครหากเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสหมิง
เมื่อผู้อาวุโสไม่ตอบเยว่ฉีก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในช่องว่างตรงหน้า ก่อนทางเข้าจะหายไปหลังจากผ่านไปไม่ถึงเฟิน (1 นาที)
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำเยว่ฉีเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
“นะ...นี่มัน”
ตรงหน้าเยว่ฉีคือสวนพืชวิญญาณขนาดหนึ่งหมู่ พืชวิญญาณทุกต้นต่างยืนต้นตระหง่านสมบูรณ์ท่ามกลางแปลงพืชวิญญาณที่มองดูแล้วราวกับว่าถูกดูแลมาอย่างดี พืชวิญญาณบางต้นเป็นประกายระยิบระดับดั่งดวงอาทิตย์ ในขณะที่บางต้นเปล่งประกายราวกับแสงจันทรายามค่ำคืน
แต่สิ่งที่แตกต่างไม่เข้ากับความตระการตาตรงหน้า คือ บริเวณโดยรอบสวนพืชวิญญาณกลับทรุดโทรมเหมือนว่าไม่ได้รับการดูแลมาเนิ่นนาน
‘อย่างที่เจ้าเข้าใจ ทั้งหมดคือพืชวิญญาณทั้งยังเป็นระดับสูง ตอนที่ข้าสัมผัสได้ยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดบนภูเขาลูกนี้ถึงได้มีจุดที่พลังวิญญาณเข้มข้นนัก พอได้พบที่ซ่อนสวนพืชวิญญาณข้าพลันเข้าใจขึ้นมาทันที และเจ้าต้องเก็บเข้ามาปลูกในมิติ เพราะพืชวิญญาณเหล่านี้ยังไม่มีประโยชน์ต่อพวกเจ้า’
พวกเจ้าที่อาวุโสหมิงหมายถึง คือครอบครัวของเยว่ฉี
“ผู้อาวุโสข้าขอสักสามสี่ต้นได้หรือไม่?” นางยังต้องการพืชวิญญาณไปขายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว
ผู้อาวุโสไม่ตอบตกลงในทันทีแต่เลือกที่จะถามกลับไปว่า
‘เจ้าบอกข้ามาทีว่า หากชาวบ้านธรรมดานำพืชวิญญาณระดับสูงไปขาย ทั้งยังไม่ใช่เพียงต้นเดียวจะเกิดอันใดขึ้น’
เยว่ฉีฉงนใจก่อนเอ่ย
“แค่พืชวิญญาณระดับสูงไม่กี่ต้นจะเกิดเรื่องอันใดได้หรือ ถึงแม้ข้าจะพอเข้าใจว่าพืชวิญญาณระดับสูงหายาก...” พูดมาถึงตรงนี้เยว่ฉีคล้ายเข้าใจความนัยในคำถามขึ้นมาแล้ว
นางกล่าวเสียงอ่อย “ข้าเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสต้องการบอกกล่าวแล้ว”
‘เช่นนั้นเจ้าก็เก็บสมุนไพรสองต้นฝั่งขวาซึ่งอยู่รอบนอกสุด เพียงสองต้นไป สองต้นนั้นแม้จะไม่ใช่สมุนไพรระดับสูง ทว่าก็มีความสำคัญสามารถขายได้ราคาดี’
เยว่ฉียิ้มออกแล้ว รีบเดินเข้าไปเก็บพืชวิญญาณขึ้นมา นางได้อ่านวิธีเก็บมาแล้วจึงค่อย ๆ ใช้มือกวาดดินรอบ ๆ รากออกก่อนจากนั้นค่อย ๆ ขุดพืชวิญญาณออกมาทั้งต้นพยายามไม่ให้ส่วนใดของพืชวิญญาณเสียหาย
หลังใช้ความพยายามไปถึงสองเค่อในที่สุดก็สามารถขุดพืชวิญญาณออกมาได้หนึ่งต้น
รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามติดซูบซีด
เงิน เงิน ต้นไม้ต้นนี้คือเงิน
พืชวิญญาณที่เยว่ฉีขุดขึ้นมามีหนึ่งลำต้น และใบเพียงสองใบกับดอกตูมสีขาวสะอาดตา พืชวิญญาณชนิดนี้เรียกว่า ดอกแต้มสีชาดคู่ จุดสังเกตของพืชวิญญาณชนิดนี้คือ มีแต้มวงกลมสีแดงสองจุดอยู่ใต้กลีบดอกสีขาวสะอาด พืชวิญญาณชนิดนี้ไม่เคยเบ่งบานตลอดชั่วชีวิตของมัน
หลังขุดพืชวิญญาณขึ้นมาได้แล้วเยว่ฉีก็บรรจงวางในตะกร้าแผ่วเบาก่อนจะหันไปขุดอีกต้น ในตะกร้าได้มีการวางใบหญ้านุ่ม ๆ เอาไว้ก่อนแล้ว พอขุดพืชวิญญาณทั้งสองต้นขึ้นมาแล้ว ที่เหลือก็คืองานใหญ่
พืชวิญญาณขนาดหนึ่งหมู่ตรงหน้า นางต้องใช้เวลาเท่าใดจึงจะสามารถขุดขึ้นมาได้หมด
เพียงแค่คิดว่าต้องใช้เวลานานจนมิอาจคาดเดาได้ เยว่ฉีก็ถอนหายใจออกมาก่อนแล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”
หลังรถเทียมลาจอดเทียบบนลานจอด คนทั้งหมดต่างทยอยลงจากรถ ครอบครัวเฟิงและเยว่ฉีก้าวลงมาหลังใครเขา รถจนคนก่อนหน้าออกไปหมดแล้วถึงได้ก้าวลงมาสองข้างถนนของเมืองโม่ฉียังคงครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากไม่กี่วันก่อนหน้า ทว่าช่างแปลกตาในความคิดนางคงคุ้นเคยกับธรรมชาติในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเข้าเสียแล้ว“อยากไปที่ใดก่อนหรือไม่?” หลัวหรูเอ่ยถาม ตอนที่เห็นสายตาเป็นประกายตื่นเต้นของเด็กสาวเยว่ฉีหันหน้าไปหายิ้มบางพลางตอบ“พี่หลัวข้าต้องการไปขายพืชวิญญาณก่อน จากนั้นจะไปซื้อของเข้าบ้าน บ้านข้าตอนนี้ก็อย่างที่พวกท่านทราบ” เยว่ฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ครอบครัวเฟิงเผยสีหน้าซับซ้อนครอบครัวสามีเยว่ฉีชั่งใจร้ายเสียจริง ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบาง ทว่าการปล่อยให้สตรีร่างกายซูบผอมอยู่กินกับบุรุษขาพิการเพียงลำพัง แค่คิดก็พาให้รู้สึกขมเฝื่อนขึ้นมาในใจ“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เยว่ฉีมองหลัวหรู กะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าที่นางเอ่ยออกมาหมายถึงอะไร แต่ก็พยักหน้าตกลงยิ้ม ๆ“ไปกันพี่หลัวข้าอยากจะเห็นร้านรับซื้อพืชวิญญาณแล้ว” และคนทั้งสามก็เดินทางไปยังร้านขายและรับซื้อพืชวิญญาณระ
หานลั่วอี้บอกเยว่ฉีนำหยกวิญญาณไปขาย ทั้งยังแนะนำร้านที่ไว้ใจได้ให้ด้วยวันนี้เยว่ฉีมีแผนจะเดินทางไปขายพืชวิญญาณในเมืองพร้อมกับเพื่อนบ้านทั้งสอง นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเตรียมอาหารรวมไปถึงยาสำหรับหานลั่วซานเช่นเดียวกับเมื่อวานก่อนจะออกจากบ้านนางเตรียมน้ำแห่งชีวิตให้หานลั่วอี้หนึ่งขวด ดูจากที่อีกฝ่ายมีทีท่าคล้ายรอคอย ยามขวดหยกปรากฏตรงหน้าก็สามารถคาดเดาได้ว่า น้ำแห่งชีวิตมีประโยชน์ต่อสามีจริงเท่านี้ก็ยืนยันคำพูดของผู้อาวุโสได้แล้วผู้อาวุโสหมิงยังบอกกับนางอีกว่าหลังผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนให้เพิ่มปริมาณน้ำแห่งชีวิตในตอนที่เจือจาง จากเดิมหนึ่งหยดต่อหนึ่งถ้วยก็เพิ่มเป็นสองหยดต่อหนึ่งถ้วย ทำเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายหานลั่วอี้ปรับตัวเข้ากับความพิเศษของน้ำแห่งชีวิตอย่างช้า ๆเยว่ฉีย้ำกับสามีเรื่องลั่วซานอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากประตูบ้าน อีกฝ่ายเข็นรถมาส่งจนถึงหน้าประตูมองส่งนางขึ้นรถเทียมลาของหมู่บ้านจนลับตาถึงได้ถอนสายตากลับ ปิดประตูลงเข็นรถกลับเข้าบ้านทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของใครบางคน คนคนนั้นแอบมองจนเป้าหมายลับสายตาถึงได้ถอยออกมาทำไมพืชวิญญาณที่เก็บได้เมื่อวานจึงต้องมาขายในวันต่
บ่ายวันเดียวกันเยว่ฉีกำลังง่วนอยู่กับก้อนหินที่ได้รับมา นางกำลังใช้ความคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะผ่าหินออกเป็นสองส่วนได้ เยว่ฉีรู้สึกว่าต้องมีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้แล้วเหตุใดนางถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหมิง? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่บนเขา หลังผู้อาวุโสใช้พลังจิตขุดพืชวิญญาณออกมาทั้งหมดและช่วยเปิดประตูให้เยว่ฉีออกมาจากถ้ำ เขาก็หลับไปไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะไปได้บอกกับนางว่าจะไม่อยู่สองสามวันเพราะใช้พลังไปมากรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยสรุปคือ ใช้พลังเกินขีดจำกัดจนหลับไปเยว่ฉีวางก้อนหินขนาดประมาณหัวเด็กลงบนพื้น ก่อนจะมองหาของที่พอจะใช้ทุบก้อนหินให้แตกได้ ในระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยปลายสายตาพลันเหลือบไปเห็นปังตอขึ้นสนิมด้ามหนึ่งวางพิงอยู่ข้างเตาเย่วฉีลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิ ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงเป้าหมายก้มลงหยิบปังตอที่ว่าขึ้นมา เดินกลับมานั่งที่เดิม“ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้!!” หญิงสาวบ่นพึมพำใช้สองมือประคองปังตอเดินกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหินสองมือจับปลายด้ามจับของปังตอเอาไว้แน่น ยกขึ้นเหนือศีรษะใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปกับการฟันในครั้งนี้เพล้ง!!!ปั
ดินแดนเฟยฮ่าว มีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจที่สุดอยู่ที่ฝึกปราณขั้นเก้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการพัฒนาตนเองให้เก่งกาจไปมากกว่านี้ ทว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ความเร็วในการฝึกปราณช้าลงยิ่งระดับสูงความต้องการในทรัพยากรจะยิ่งมากขึ้นและยังหมายถึงเงินที่ต้องใช้จ่ายออกไปหากต้องการไปให้สูงกว่าต้องเดินทางไปยังดินแดนที่สูงกว่า ทว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของคนคนนั้นที่เยว่ฉีไม่ทราบเพราะในหนังสือที่ผู้อาวุโสให้มามีเพียงภาพและคำอธิบายลักษณะ รวมไปถึงระดับของพืชวิญญาณ ไม่ได้กล่าวถึงการนำไปใช้สองสามีภรรยามึนงงอยู่บ้างว่าเหตุใดเยว่ฉีถึงได้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชวิญญาณมากถึงเพียงนี้ แต่ไม่นานก็สลัดความคิดนั้นไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นักบางทีคนบางคนก็ใช่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง“พี่หลัวพืชวิญญาณต้นนี้ขายได้เท่าใด”“ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองตำลึงสูงสุดที่สี่ตำลึงขึ้นอยู่กับคุณภาพว่าสูงหรือต่ำ”สี่ตำลึง !!!นางสามารถหาเงินได้ถึงสี่ตำลึงในเวลาเพียงสองเค่อไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว“พี่หลัวพวกท่านหาพืชวิญญาณได้หรือไม่” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า“โชคร้ายที่ข้ากับพี่เฟิงไม่พบพืชวิ
“ผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”‘…’“ผู้อาวุโส?”‘…’ ยังคงไม่ตอบผู้อาวุโสหมิงคงไม่ได้หมายความว่าให้นางขุดพืชวิญญาณทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเองใช่ไหม? ดูจากพืชวิญญาณสองต้นก่อนหน้านางยังใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม !! หากต้องใช้มือขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมา มิใช่ว่าต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยหรือ? นางมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกันผู้อาวุโสหมิงคงไม่ใจร้ายกับนางมากเกินใช่ไหม?‘บ่นข้าพอหรือยัง?’รู้ได้ยังไงว่านางกำลังบ่นให้ จะเฉียบแหลมเกินไปแล้ว !!ถึงในใจเยว่ฉีจะบ่นไปร้อยแปดพันเก้า ทว่ายามเอ่ยออกมากับมีนัยประจบอยู่หลายส่วน “ผู้อาวุโสข้าหาได้คิดเช่นนั้น ท่านอย่าเข้าใจข้าผิด”ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยประจบประแจงของเยว่ฉีทำผู้อาวุโส หมิงหมั่นไส้ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืมร่างหญิงสาวเป็นสื่อกลางอีกครั้งมือเรียวสวยยกขึ้นตรงหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่พืชวิญญาณทั้งหมดบนพื้นที่กว่าหนึ่งหมู่มีประกายแสงสีทองห้อมล้อมเอาไว้ทั้งต้นผู้อาวุโสหมิงใช้พลังจิตของตนในการโอบอุ้มและขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมาในครั้งเดียว พืชวิญญาณที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังจิตปรากฏขึ้นบนอากาศไม่มีส่วนใดเสียหาย กระทั่งดินซึ่งติดอยู่ตามรากยั
เยว่ฉีอาศัยความทรงจำที่ได้จากการอ่านหนังสือเมื่อคืนมองหาไปเรื่อย ๆ พืชวิญญาณไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายหรือมีอยู่เกลื่อนกลาด เพราะฉะนั้นหลังผ่านมาสองเค่อแล้วเยว่ฉีจึงยังหาไม่พบแม้สักต้นทว่าในระหว่างที่นางกำลังจะเดินไปยังทิศทางอื่น พลันได้ยินเสียงผู้อาวุโสดังขึ้นในความคิด‘ตรงไปด้านหน้าครึ่งเค่อฝั่งขวามือ’“ผู้อาวุโสตรงนั้นมีอันใดหรือ” นางคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผู้อาวุโสเอ่ย‘เดินไปตามที่ข้าบอกเจ้าจะพบสิ่งที่ต้องการ’ ดวงตางดงามเป็นประกาย จากคำพูดของผู้อาวุโสสามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นพืชวิญญาณวิญญาณอย่างแน่นอนเยว่ฉีเดินไปตามทางที่ผู้อาวุโสบอกก่อนจะพบก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินวนรอบก้อนหินก็ไม่พบพืชวิญญาณแม้สักต้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันคล้ายผู้อาวุโสอ่านความคิดนางออก จึงเปรยขึ้นมาว่า‘วางมือลงบนก้อนหิน ข้าจะใช้เจ้าเป็นตัวกลางในการเปิดม่านพลัง’เยว่ฉีทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานก็เห็นว่าก้อนหินซึ่งดูไม่มีอะไรเกิดช่องว่างขนาดเท่าคนขึ้นตรงหน้าพลังพิเศษสุดยอดจริง ๆ“ผู้อาวุโสหมิงท่านรู้ได้เช่นไรว่าตรงหน้ามีการร่ายคาถาอำพรางเอาไว้” แม้เยว่