อาเสอถาม “แล้วมันใช่ปีศาจจิ้งจอกออกอาละวาดหรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าไม่ได้กลิ่นยั่วยวนฉุน ๆ ในอากาศหรือ? ครั้งนี้สกุลหลงไม่ได้โกหก มีปีศาจจิ้งจอกเข้าจวนจริง ๆ” จ่านเหยียนเอ่ย“เช่นนั้นท่านยังไม่กำจัดปีศาจอีก?” อาเสอรีบพูด“เจ้าก็ปีศาจเหมือนกัน ถ้าจะกำจัดก็กำจัดเจ้าก่อนเลย ข้าบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ปีศาจแบ่งออกเป็นปีศาจดีและปีศาจไม่ดี” จ่านเหยียนท่าทางหนักใจ“แต่ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ฆ่าคนแล้วนะเจ้าคะ ครอบครัวหญิงม่ายแซ่เซวตายด้วยน้ำมือนางมิใช่หรือ? ข้าไม่เคยฆ่าคนสักหน่อย” กล่าวอย่างมีคุณธรรมเต็มเปี่ยมจ่านเหยียนยื่นมือเขกหัวของนางทีหนึ่ง “เจ้านี่นะ คนอื่นพูดอะไรก็เชื่อหมดหรือ? เจ้าไม่ตรวจสอบดูบ้างหรือไง? ปีศาจจิ้งจอกฆ่าคนจะควักหัวใจ? หรือเจ้าเห็นว่านางกินคน?”อาเสอคิดครู่หนึ่ง “ก็จริงแฮะ อย่างมากปีศาจจิ้งจอกก็แค่ดูดพลังชีวิต หัวใจไม่มีประโยชน์จริง ๆ แต่ถ้าครอบครัวของหญิงม่ายแซ่เซวไม่ได้ถูกปีศาจจิ้งจอกฆ่า เช่นนั้นใครกันที่เป็นคนลงมือ? โหดเหี้ยมขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ?”“สรรพสัตว์บนโลกใบนี้ เผ่าพันธุ์ใดโหดเหี้ยมที่สุด?” จ่านเหยียนถามนางอาเสอตอบ “เผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดคือเสือกระมังเ
ที่เรียกว่าประตูมิตินั้น ความจริงมิใช่ประตู มันอาจมี ทว่าประตูบานนี้ไร้ลักษณ์ และไม่เปิด มันก็เหมือนกับอากาศ มีแต่ตอนที่เปิดจึงจะเห็นแสงเส้นหนึ่ง และแสงนี้จะหายไปในพริบตา ปกติความเร็วของมนุษย์จะเข้าไปไม่ได้สกุลหลงมีความสามารถในการข้ามมิติเวลา ดังนั้นนางจึงสร้างบ้านไว้ตรงหน้าประตูของมิติ จากนั้นก็ร่ายมนตร์ให้บ้านของทั้งสองยุคเชื่อมต่อกัน บ้านจะมีประตูอยู่สองบาน บานหนึ่งเป็นประตูของยุคปัจจุบัน ส่วนอีกบานหนึ่งคือประตูของแคว้นต้าโจวนอกจากนางก็ไม่มีผู้ใดเดินทางทั้งสองฝั่งได้ แม้แต่อาเสอยังต้องให้นางมอบพลังในการทะลุมิติจึงจะเดินทางข้ามฝั่งช่วงหน้าบ้านเป็นการก่อสร้างสมัยใหม่ซึ่งมีกลิ่นอายโบราณ ทว่าจากตรงกลางกลับเป็นการก่อสร้างและการตกแต่งของสมัยใหม่ แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องก็เป็นของสมัยใหม่ด้วยในยุคปัจจุบัน ที่เห็นจะเป็นแค่บ้านหลังเดี่ยวตามปกติหลังหนึ่ง ต่อให้มีคนเข้าไปก็เข้าด้านในไม่ได้ ส่วนการก่อสร้างของยุคโบราณจะถูกซ่อนอยู่ที่นี่“ท่านดีแต่มาเสพสุข” อาเสอตัดสินจ่านเหยียนอดสูดปากไม่ได้ “คนเวลามีพลัง ใครบ้างไม่อยากเสพสุข? อีกอย่าง เจ้าไม่คิดถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือ? อยู่ในย
ข่าวลือเรื่องปีศาจจิ้งจอกหนักมากขึ้นทุกวัน สกุลหลงต่างรู้สึกถึงอันตราย หากไม่จำเป็น แม้แต่คนรับใช้ก็ไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอกวันต่อมา หลงฉางเทียนสั่งให้พ่อบ้านเชิญพระอาจารย์มาพ่อบ้านเพิ่งเปิดประตูจวนก็เห็นนักพรตท่านหนึ่งพร้อมนักพรตน้อยคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูดูท่าทางแล้วนักพรตอายุไม่มาก แต่เส้นผมหนวดเคราขาว ใบหน้าแดงฝาด ท่าทางเหมือนคนอายุสามสี่สิบ ในมือถือกระบี่เหรียญทองแดง ตรงด้ามกระบี่ยังมีเชือกสีแดงเส้นหนึ่งมัดอยู่นักพรตน้อยอยู่ในชุดสีเทาปลอด อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด หน้าตาหล่อเหลา ริมฝีปากแดงฟันขาว มีลักษณะของเซียนน้อยบางส่วนพ่อบ้านสอบถาม “มิทราบว่าท่านนักพรตมาหาผู้ใดหรือ?”นักพรตยิ้มบางและตอบ “ข้าฟางจี้จื่อ รบกวนท่านพาข้าไปพบท่านแม่ทัพหลงหน่อย”“ฟางจี้จื่อ?” พ่อบ้านชะงักไปเล็กน้อย สำรวจนักพรตตรงหน้าจากบนถึงล่าง เขาย่อมเคยได้ยินนามยิ่งใหญ่ของฟางจี้จื่อเป็นธรรมดา อีกฝ่ายคือผู้สูงส่งที่ฝึกบำเพ็ญอยู่บนภูเขาชุ่ยเวย ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกน้อยนัก แต่ทุกครั้งที่มา ล้วนมาเพื่อปัดเป่าให้มวลมนุษย์“ข้าเอง” ฟางจี้จื่อลูบเคราพลางเอ่ยพ่อบ้านจึงรีบเชิญ “ท่านนักพรตรีบเชิญเข้ามาเถอะขอรับ”
“เช่นนั้นขอถามท่านแม่ทัพสักหน่อย ในจวนมีคนที่แปลกไปหรือไม่? อย่างเช่นนิสัยเปลี่ยนไปมาก หรืออย่างเช่นเปลี่ยนไปจนโหดเหี้ยมอำมหิต?” ฟางจี้จื่อถามหลงฉางเทียนแค่อยากไล่เขาไป แต่พอได้ยินเขาถามมาอย่างนี้ หัวใจพลันหยุดเต้น จากนั้นจึงนึกถึงตั้งแต่หลงจ่านเหยียนต้องเข้าวังฝังศพสังเวยชีวิต นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปมากจริง ๆ สิบหกปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นคนเชื่อฟังทุกอย่าง แต่นับจากก่อนเข้าวังสองสามวัน จู่ ๆ ก็ใจกล้าบ้าบิ่น แม้แต่เขากับฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังกล้าข่มขู่ตำหนิ“ความหมายของท่านนักพรตคือ ถ้ามีคนนิสัยเปลี่ยนกะทันหัน ก็คือมารร้ายเข้าสิงหรือ?” ทีแรกเขายังไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้พอพินิจอย่างละเอียดแล้ว ไม่แน่ว่าการเปลี่ยนแปลงของหลงจ่านเหยียนอาจจะมีสาเหตุก็เป็นได้“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นแน่นอน” ฟางจี้จื่อเอ่ยยามนี้เย่เต๋อโหรวเดินออกมาพอดี ครั้งได้ยินถ้อยคำของฟางจี้จื่อที่หน้าประตูก็เดินพรวดพราดเข้ามาทันที ก่อนจะเอ่ย “ท่านนักพรต มีอยู่เรื่องหนึ่ง ท่านโปรดไขข้อสงสัยให้ด้วย”หลังจากตระหนักว่าตัวเองเสียมารยาทมาก นางจึงรีบสำรวมกิริยา “ข้านางเย่ คารวะท่านนักพรต”“ฮูหยินมิต้องมากพิธี!” ฟางจี้จ
เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “ท่านนักพรตโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปทูลก่อน”ฟางจี้จื่อตอบ “ได้” เขาลุกขึ้นยืน จากนั้นยื่นยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งให้หลงฉางเทียน “ท่านแม่ทัพนำสิ่งนี้ไปด้วย ต่อให้นางรู้วัตถุประสงค์ของท่านก็หนีไปไม่รอด”“ได้!” หลงฉางเทียนมือสั่นระริก เขาตื่นเต้นมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาถูกขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักตำหนิว่าขายบุตรสาวเพื่อความรุ่งเรือง แต่ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าจ่านเหยียนคือปีศาจ เช่นนั้นเขาก็คือขุนนางผู้มีคุณูปการที่สังหารญาติเพื่อผดุงความเป็นธรรมเย่เต๋อโหรวเห็นหลงฉางเทียนเดินไปแล้ว จึงเอ่ยกับฟางจี้จื่อ “ท่านนักพรต ท่านแม่ชื่นชมชื่อเสียงของท่านมานาน ไม่ทราบว่าท่านจะให้เกียรติพบกับนางสักหน่อยหรือไม่?”“ฮูหยินเกรงใจแล้ว รบกวนนำทางด้วย” ฟางจี้จื่อได้ยินมานานว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลงอยู่ในศีลในธรรม จึงอยากพบนานแล้ว“ท่านนักพรต เชิญ!” เย่เต๋อโหรวค้อมตัวกล่าวเย่เต๋อโหรวสั่งให้คนไปรายงาน เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าฟางจี้จื่อมาก็ตื่นเต้นมาก รีบสั่งให้คนช่วยแต่งตัวแต่งผมแล้วออกมาต้อนรับนางยืนอยู่หน้าห้อง มองผู้มีนรลักษณ์แห่งเซียนเดินเข้ามาจากประตูหน้า จึงยิ้มบาง “ท่านนักพรต พวกเรา
“ก็จริง สกุลหลงข้าภักดีทุกยุคทุกสมัย จะถูกปีศาจใช้งานได้อย่างไร? ท่านนักพรต เรื่องนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว หากพิสูจน์ได้ว่าหลานสาวคนนั้นของข้าถูกปีศาจเข้าสิงจริง ๆ...” ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อเจือน้ำเสียงสะอื้น “ท่านนักพรตก็โปรดมอบศพที่สมบูรณ์ให้นางด้วย เฮ้อ...” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าปวดใจเช่นนี้ นักพรตก็อดปลอบใจไม่ได้ “วางใจเถอะ ข้าต้องพยายามอย่างสุดความสามารถแน่”เมื่อนั้นคนของหลงฉางเทียนก็มาเชิญฟางจี้จื่อ “ท่านนักพรต ไทเฮาเชิญขอรับ”ฟางจี้จื่อลุกขึ้นยืนและหันไปบอกกับนักพรตน้อยเสวี้ยนจื่อด้านข้างด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าตามข้ามา”“ขอรับ ท่านอาจารย์!” เสวี้ยนจื่อขานรับด้วนสีหน้าไร้คลื่นอารมณ์คนรับใช้พาฟางจี้จื่อและเสวี้ยนจื่อเดินออกไปข้างนอก ครั้นเดินไปสองสามก้าว ฟางจี้จื่อก็หันกลับมา เมื่อนั้นก็ได้เห็นจิตสังหารที่แวบเข้ามาในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าพอดิบพอดี เขาชะงักเล็กน้อย ครั้นมองอีกทีนางกลับมามีดวงหน้าอ่อนโยนเปี่ยมด้วยเมตตาดังเดิมแล้วเขาสับสนอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็ปล่อย ๆ กับปีศาจยังจะเมตตาอันใดอีก?เขาเอ่ย “รอให้ข้าปราบปีศาจได้แล้ว จะมาสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าอีกที”“ไ
ฟางจี้จื่อเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เขายิ่งเดินเข้าไปข้างใน ไอปีศาจก็ยิ่งแรง ถึงขนาดว่ากลิ่นอายยั่วยวนอัดแน่นอยู่เต็มห้องเขายิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ดูท่าปีศาจจิ้งจอกตัวนี้จะสิงร่างไทเฮาอย่างที่คิดจริง ๆเขาเดินเข้าไป ครั้นเงยหน้ามองจ่านเหยียนก็ชะงักชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนว่าไอปีศาจจะไม่ได้แผ่ออกมาจากตัวของนาง แต่... กลิ่นอายยั่วยวนนั้นมาจากตัวนางจริง ๆดูท่าเขาจะประเมินพลังของปีศาจตนนี้ต่ำไปแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นที่สามารถปกปิดแก่นวิญญาณของตัวเองได้ทุกเมื่อแต่ไม่ว่าจะปกปิดอย่างไร กลิ่นอายยั่วยวนของจิ้งจอกก็ยังอยู่“ข้าผู้เป็นนักพรตฟางจี้จื่อถวายพระพรไทเฮา!” ฟางจี้จื่อประสานมือคำนับจ่านเหยียนเอ่ย “ท่านนักพรตมิต้องมากพิธี เชิญนั่ง!”“ขอบพระทัยไทเฮา!” ฟางจี้จื่อก็ไม่เกรงใจ นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือด้านล่างของห้องโถงกระบี่เหรียญทองแดงในอกของเขาส่งเสียงสั่นดังวู้ ๆ เหมือนเสียงลม เขาจึงเอามือกดทับเอาไว้ และเข้าใจว่าปีศาจตรงหน้าไม่ธรรมดา“ท่านนักพรต!” หลงฉางเทียนนั่งอยู่ด้านข้างเอื้อมมือมาดึงแขนเสื้อของฟางจี้จื่อทีหนึ่งเสวี้ยนจื่อเอ่ยเรียบ “ท่านแม่ทัพอย่าได้ใจร้อน”
จ่านเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เคราะห์ดีที่ท่านนักพรตยังรู้จักพูดว่า ‘ปกติ’ มิใช่ ‘ทั้งหมด’ ไม่ว่าเรื่องใดมักมีข้อยกเว้นเสมอ ข้าขอเตือนท่านนักพรตสักคำ จะเป็นมนุษย์ก็ดี กำจัดปีศาจก็ช่าง ก็ต้องมองให้ทะลุปรุโปร่ง อย่าได้ลำเอียงดื้อรั้น มิเช่นนั้นจะต้องเสียใจที่มิอาจแก้ไข”“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงชี้แนะ เพียงแต่กระหม่อมรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอันใดอยู่ ชาตินี้กระหม่อมกำจัดปีศาจนับไม่ถ้วน ปีศาจที่ตายด้วยน้ำมือของกระหม่อม มิมีตนใดถูกปรักปรำ”เขาลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือ “ดูท่ากระหม่อมจะทำให้ไทเฮากริ้วแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สนทนาต่อไปก็มิอาจไปในทิศทางเดียวกันได้ กระหม่อมทูลลา!”“เชิญ!” จ่านเหยียนโบกมือพร้อมเอ่ยอย่างเกลียดชังประมาณหนึ่งฟางจี้จื่อจ้องนางนิ่ง ๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ทูลลา!”เสวี้ยนจื่อตามเขาเดินออกไปด้วยใบหน้าปราศจากริ้วคลื่นอารมณ์ทีแรกจิ้นหรูยังเลื่อมใสฟางจี้จื่ออยู่มาก แต่บัดนี้เห็นเขาไม่เคารพจ่านเหยียน จึงอดขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้ “เหตุใดเขาจึงเป็นคนเช่นนี้?”จ่านเหยียนเอ่ยเรียบ “นึกว่าตัวเองแน่”“เขาเข้าใจอะไรคุณหนูใหญ่ผิดไปหรือไม่เพคะ? หรือว่าคนสกุลหลงพูดอะไร? บ่าวได้ยิน
ไม่นานเรื่องที่จ่านเหยียนพังตำหนักชิงหนิงก็ดังกระฉ่อนไปทั่ววังหลวงจงเสี้ยนไทฮองไทเฮากริ้วหนัก แต่นางไม่ได้ทำอะไร การที่หลงจ่านเหยียนกล้าพังตำหนักชิงหนิง เป็นการพิสูจน์แล้วว่าวันนี้มิอาจเทียบวันวานนึกถึงตอนที่นางเข้าวังใหม่ ๆ แล้วมาคารวะ ใจเสาะขี้กลัวปานนั้น แม้แต่คุกเข่าก็ยังถลาลงไปกับพื้น ชวนให้คนตลกขบขันใครจะคิด วันนี้นางกลับกล้าพังตำหนักชิงหนิง?ดูท่านางคงบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว มิเช่นนั้น ด้วยเบื้องหลังของฐานะนาง นางจะไม่กล้าทำเช่นนี้เด็ดขาดหากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นที่พังตำหนักชิงหนิงในวันนี้ก็คงเป็นแผนการของเซ่อเจิ้งอ๋องเหมือนกันเขาจะทำอะไร?ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ถงจื่อหยาเกิดเรื่อง โจมตีสกุลถงต่อ?“หย่าจู้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?” ไทฮองไทเฮาถามหมัวมัวด้านข้างหย่าจู้คิดแล้วจึงเอ่ย “หลงจ่านเหยียนผู้นี้เหนือความคาดหมายอยู่บ้างจริง ๆ ก่อนหน้านี้แทรกแซงเรื่องของหยวนผินยังพอพูดได้ว่าอยากได้หน้า แต่การพังตำหนักชิงหนิงนี้ เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องที่สตรีผู้หนึ่งจะทำได้ โดยเฉพาะนางที่เป็นสตรีเช่นนี้เพคะ”“พูดอีกอย่างหนึ่ง เจ้าคิดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องคือผู้บงการหรือ?”“ยาก
นางทิ้งมือทั้งสองลง จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาอาเสอตกใจ ยื่นมือออกไปทดสอบลมหายใจของนางฉับพลัน จากนั้นก็เงยหน้ามองจ่านเหยียนอย่างตกตะลึงจ่านเหยียนเอ่ยเสียงหนัก “ปกป้องหัวใจของนางก่อน”ถงไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตามีความกระหยิ่มยิ้มย่องและสาแก่ใจ “นางตายแน่”อาเสออุ้มจิ้นหรูเข้าไปในตำหนัก แต่ช้าไป นางมิอาจช่วยไว้ได้จ่านเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับอาหู “รอพวกเราออกไปแล้วก็พังตำหนักชิงหนิงเสีย”อาหูฉายรอยยิ้มหนาวเหน็บ “เพคะ!”“หลงจ่านเหยียน เจ้าน่าจะรู้นะ ภัยเกิดจากปาก ต่อให้วันนี้เจ้าพังตำหนักชิงหนิงของข้าไม่ได้ ข้าก็บันทึกแค้นนี้เอาไว้แล้ว” ถงไทเฮาเอ่ยข่มขู่จ่านเหยียนยิ้มระรื่น “วางใจ ไม่ว่าเรื่องใดที่ลงมือได้ ข้าจะไม่เปลืองน้ำลายเด็ดขาด”ผ่านไปพักหนึ่ง อาเสออุ้มจิ้นหรูออกมาแล้วพยักหน้ากับจ่านเหยียน “กลับไปเถอะ!”จ่านเหยียนเดินตามอาเสอออกไป จากนั้นก็หันมาสั่งกับอาหู “พังตำหนักชิงหนิงแล้วไปพาอาถงกับอาเถี่ยออกมาจากห้องมืดเถอะ”“รับบัญชา!” อาหูขานรับอย่างเริงร่าสวรรค์รู้ นางเห็นจิ้นหรูมีเลือดเต็มตัวแล้วอยากฆ่านางอัปลักษณ์ผู้นี้แค่ไหน หากติดตามนายที่เอาแต่พูดเรื่องคุณธรรมจริยธ
จ่านเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยท่าทางผ่อนคลาย นั่นคือตำแหน่งที่ถงไทเฮานั่งยามมีนางสนมมาเข้าเฝ้านางเอ่ยกับอาเสอและอาหู “ค้นตำหนักชิงหนิงให้ทั่ว ข้าต้องพบจิ้นหรู”“ช้าก่อน!” ถงไทเฮามองจ่านเหยียนแบบคล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้ม “น้องหญิงตั้งใจจะมาอาละวาดที่นี่หรือ? คิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”จ่านเหยียนโบกมือ “เรื่องอาละวาดต้องอาละวาดแน่แล้ว สำหรับผลที่จะตามมา ยังไม่มีเวลาคิดจริง ๆ และไม่คิดจะคิดด้วย”อาเสอและอาหูได้ยินคำนี้ของจ่านเหยียนก็ยิ้มร้ายกับถงไทเฮา จากนั้นก็จะเข้าไปค้นทันทีทันใดนั้นก็มีองครักษ์สิบกว่าคนออกมาขวางอาหูกับอาเสอปีศาจสองตนนี้เอาไว้มีหรือเหล่าองครักษ์จะเห็นพวกนางอยู่ในสายตา ผู้ที่อยู่ข้างหน้าคือหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักชิงหนิง เขาตวาดกับอาเสอและอาหู “พวกเจ้ากล้าเหิมเกริมในตำหนักชิงหนิงหรือ?! อย่าหาว่าข้าลงมือไม่ยั้งไมตรีก็แล้วกัน!”กระบี่ยาวชี้มาทางอาเสอด้วยความเร็วยิ่ง ปลายกระบี่มาพร้อมกับคมกระบี่ อาเสอเคยเห็นอาซานแสดงฝีมือมาก่อน แม้เขาจะมีฝีมือด้อยกว่าอาซาน แต่ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นนำแล้วกระบี่ของเขาเร็วนั้นไม่ผิด กลับไม่ส่งผลกระทบซึ่งเป็นการไม่เกรงใจอาเสอใ
ส่วนกัวอวี้นึกว่าจ่านเหยียนซื้อตัวองครักษ์ในวัง ดังนั้นองครักษ์จึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการเดินออกไปของพวกนาง“เข้าไปเถอะ!” อาเสอไม่อยากพูดมาก เดินฉับเข้าไปอย่างเร่งรีบจี๋เสียงกับหรูอี้เพิ่งเรียกกับพู่หยกไปสองสามที เห็นพู่หยกไม่มีปฏิกิริยายังนึกว่าไม่ได้ผล ใครจะรู้พอหันกลับไปก็เห็นจ่านเหยียนกับพวกอาเสอยืนอยู่หน้าห้องแล้ว“คุณหนูใหญ่! ทรงเสด็จกลับมาก็ดีแล้วเพคะ!” จี๋เสียงกับหรูอี้ปรี่ไปหา พูดน้ำเสียงสะอื้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” กัวอวี้รีบถามจี๋เสียงสะอึกสะอื้น “เป็นเช่นนี้ วันนี้ตอนกลางวันมีคนมาจากตำหนักถงไทเฮาเชิญจิ้นหรูกูกูไป แต่ไม่กลับมาสักที อาถงจึงให้พวกบ่าวสองคนไปถาม แต่พอไปถึงนอกตำหนักชิงหนิง หรูหัวกูกูก็ไม่ให้เข้า ซ้ำยังไล่พวกบ่าวออกมา เพียงแต่... เพียงแต่บ่าวได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากในตำหนัก ถึงไม่ยืนยันว่าใช่เสียงร้องของจิ้นหรูกูกูจริงหรือไม่ แต่ฟังแล้วเหมือนมาก ตอนหลังอาถงกับอาเถี่ยก็ไปหา แต่ก็ไม่กลับมา...”จี๋เสียงเหม่อลอย แม้พูดไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็ยังอธิบายเรื่องราวชัดเจน“คุณหนูใหญ่ ถงไทเฮาให้จิ้นหรูไป จะเกิดอะไรหรือไม่เพคะ?” กัวอวี้ถามจ่านเหยียนนึกถึงเรื่องข
ทั้งสองจะยอมหรือ? จึงบอกจะเข้าไปพูดกับจิ้นหรูกูกู หรูหัวกลับหน้าขรึม “พวกเจ้าเห็นตำหนักชิงหนิงคือสถานที่ใด? พวกเจ้าอยากเข้าก็เข้าได้ตามใจชอบหรือ?”อาถงข่มอารมณ์โกรธ กล่าวขอร้อง “กูกูอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย พวกเราก็ทำงานตามคำสั่ง หากเชิญจิ้นหรูกูกูกลับไปไม่ได้ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาต้องพาลมาถึงเราแน่ กูกูคงไม่อยากเห็นพวกเราถูกลงโทษกระมัง?”“พวกเจ้าถูกลงโทษหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า? ข้าแค่ฟังคำสั่งของเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาเท่า...”อาถงกับอาเถี่ยรีบฉวยโอกาสตอนที่หรูหัวพูดบุกเข้าไปเพียงแต่ทั้งสองเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกองครักษ์สองสามคนขวางเอาไว้“บุกรุกตำหนักของไทเฮา พวกเจ้ามีกี่ชีวิต? เอาตัวไป!” หรูหัวเอ่ยเสียงกร้าวกระบี่หลายเล่มพาดอยู่ตรงลำคอของอาถงกับอาเถี่ย ทั้งสองไม่กล้าต่อต้าน จึงได้แต่หันไปมองหรูหัวและเอ่ย “กูกู พวกเรามิได้จงใจบุกรุก กูกูโปรดเมตตา อนุญาตให้เราไปพบจิ้นหรูกูกูหน่อยเถอะ”หรูหัวหัวเราะเสียงเย็น ส่งสายตากับองครักษ์ “เอาตัวไป ขังอยู่ในห้องมืดก่อน”ห้องมืดใช้กักขังคนในตำหนักที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ บ้างเข้าห้องมืดไม่กี่วันก็ออกมา แต่ทั่วไปแล้วมักมอบให้หัวหน้าขันทีในวั
ทั้งสองคิดไปก็มิใช่วิธี จึงให้จี๋เสียงกับหรูอี้ไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์หมู่โฮ่วฮองไทเฮา ตามจิ้นหรูกลับมาปรนนิบัติที่ตำหนักครั้นจี๋เสียง หรูอี้ไปถึงตำหนักชิงหนิงกลับเข้าไปไม่ได้ ได้แต่ให้ขันทีในตำหนักไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์ของหมู่โฮ่วฮองไทเฮาผ่านไปพักหนึ่ง หรูหัวก็ยิ้มตาหยีเดินออกมา “เซิ่งหมู่ฮองไทเฮากำลังเดินหมากกับจิ้นหรูกูกู นี่กำลังสนุกเลย จะอย่างไรเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาก็ไม่ยอมให้กูกูไป พวกเจ้าสองคนกลับไปทูลรายงานหมู่โฮ่วฮองไทเฮาว่าจะส่งคนกลับไปดึกหน่อยแล้วกัน”“อ๊าาา”เสียงร้องดังมาจากข้างในอีก จี๋เสียง หรูอี้สบตากันทีหนึ่ง สีหน้าเริ่มกังวลเล็กน้อยหรูหัวเอ่ยเรียบ “มีนางกำนัลคนหนึ่งไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่หลังมือของจิ้นหรูกูกู นี่อย่างไร กำลังถูกโบยอยู่เลย”“แต่... เหตุใดเสียงนี้ฟังดูแล้วจึงเหมือนเสียงของจิ้นหรูกูกูล่ะ?” จี๋เสียงเอ่ยอย่างขลาด ๆ“เหลวไหลอันใด?” หรูหัวเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน “เจ้าจะบอกว่าเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาทรมาทรกรรมจิ้นหรูกูกูหรือ? ยังมิได้กล่าวถึงจิ้นหรูกูกูเป็นคนข้างพระวรกายของหมู่โฮ่วฮองไทเฮา แค่อดีตนางคือนางกำนัลคนสนิทของอดีตฮ่องเต้ ทั้งยังมีไมตรีกับเซิ่งหมู่ฮองไทเฮามาต
จิ้นหรูหัวใจรัดแน่น สุดท้ายดวงตาก็ฉายความแตกตื่นออกมา “พระองค์คิดจะทำอันใดกันแน่เพคะ?”“ถามได้ดี!” ถงไทเฮาลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินก้าวหนึ่ง เหยียบหลังมือของจิ้นหรู ออกแรงขยี้ มองดูความทรมานบนใบหน้าของจิ้นหรู ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “เจ็บหรือ?”จิ้นหรูกัดฟัน “ไทเฮาจะลงโทษบ่าวอย่างไรก็ได้เพคะ”อย่างมากก็แค่ตาย ตายแล้วก็คือหลุดพ้น แต่... นางรู้ ถงไทเฮาแค้นนางที่สุด จะไม่ให้นางตายง่าย ๆ เด็ดขาด“ข้าได้ยินว่าคุกทักษิณมีทัณฑ์ทรมานมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเทียบกับข้าที่นี่แล้ว จะเหนือกว่าหรือไม่? มิสู้จิ้นหรูกูกูช่วยข้าเปรียบเทียบสักหน่อย” ถงไทเฮาโน้มตัวลงเชยคางของจิ้นหรู มุมปากแย้มยิ้มชั่วร้ายเหี้ยมเกรียมเดิมรูปลักษณ์ก็มิได้งามวิไล ยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน ยิ่งทำให้ดุร้ายอัปลักษณ์มากกว่าเดิมจิ้นหรูขวัญผวา ไม่กล้ามองดวงตากระหายเลือดของนาง จึงก้มหน้ากัดริมฝีปาก อดทนต่อความเจ็บที่ส่งมาถึงแต่... นี่ยังห่างไกลกับจุดสิ้นสุดหรูหัวยกตะปูมากะละมังหนึ่ง พวกมันมิใช่ตะปูเหล็ก แต่เป็นตะปูไม้ท้อทุกเล่มทำจากไม้ท้อ ส่วนปลายแหลมคมเงาวับ“ถ้าเจ้าร้องสักแอะ ข้าจะเพิ่มตะปูอีกเล่ม” ถงไทเฮาเอ่ย
ด้วยประการละฉะนี้ ทุกคนจึงนึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานแต่ฮองเฮา ทอดทิ้งวังหลังแม้นางสนมจะตำหนิไม่พอใจ แต่เพราะฮองเฮาคือคนสกุลถง จึงไม่มีใครกล้าพูดฮองเฮารูปโฉมไม่โดดเด่น กลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงนี้ เห็นได้ว่าฮ่องเต้รักนางจริง ๆชั่วขณะ ฮองเฮาบารมีไร้ที่สิ้นสุด รั้งตำแหน่งฮองเฮา ทั้งยังมีความโปรดปรานของฮ่องเต้มั่นคงดั่งขุนเขา ทำให้สกุลถงเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันเขาใช้การกระทำบอกนาง ในใจของเขามีแต่นางเท่านั้นสามสิบกว่าปีแล้ว นางเข้าวังในวัยสิบสอง บัดนี้สี่สิบสาม อดีตฮ่องเต้คือแผ่นฟ้าของนาง คือสามีของนาง คือนายของนางเขาจากไปก่อนนาง แม้นางจะเสียใจ แต่ก็มิได้แสดงออกว่าเสียใจมาก เพราะนางรู้ว่าเขากำลังรอนางอยู่ตรงนั้น สุดท้ายนางจะได้ไปพบกับเขานางรู้ ยามนี้ได้เวลาแล้ว“พูด!” หรูหัวดุดันขึ้นมา ตบหน้านางฉาดหนึ่งจิ้นหรูหน้าเอียงไปข้างหนึ่ง แก้มบวมขึ้นรอยประทับนิ้วมือทันทีจิ้นหรูคุกเข่าตัวตรง “บ่าวไม่มีอะไรจะพูดเพคะ”“เจ้ามอบความบริสุทธิ์ของเจ้าให้ผู้ใด?” ถงไทเฮาไม่แสดงออกว่าโกรธมาก ในทางกลับกัน นางพรูลมยาว ข้อกังขาที่เก็บอยู่ในใจนางยี่สิบกว่าปี กระจ่างแจ้งในที่สุด“บ่าวไม่ทร
หรูหัวลากนางเข้าตำหนักชั้นในไปอย่างไม่ให้ปฏิเสธจิ้นหรูมองเสื้อผ้าบนฉากบังลมด้วยความประหลาดใจ เหตุใดหรูหัวจึงมีเสื้อผ้าวางอยู่ในตำหนักบรรทมของไทเฮาได้แต่นางมิได้ถาม เพราะถามแล้วก็คงไม่บอก นางมองเสื้อผ้านางกำนัลชุดนี้ มิได้สงสัยเรื่องอื่นก็เข้าไปเปลี่ยนชุดด้านหลังฉากบังลมนางเพิ่งถอดเสื้อผ้า หรูหัวก็เข้ามา “อุ๊ย ข้าลืมบอกเจ้าไป ชุดนี้เคยใส่แล้ว เปลี่ยนอีกชุดเถอะ!”นางยื่นชุดสีเหลืองอ่อนในมือให้จิ้นหรู พร้อมกับกวาดสายตามองบริเวณแขนของจิ้นหรูอย่างรวดเร็ว เมื่อนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะออกไปจิ้นหรูเพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีหญิงสูงวัยดุดันเข้ามาสองคน ลากแขนจิ้นหรูคนละข้างออกไปข้างนอกจิ้นหรูตกตะลึงพรึงเพริดถามขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ?”หญิงสูงวัยสองคนนั้นลากนางไปแล้วผลักจนนางสะดุดล้มลงพื้น ถงไทเฮามองนางจากมุมสูง ดวงหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต“เซิ่งหมู่ฮองไทเฮา บ่าวทำอะไรผิดไปเพคะ?” จิ้นหรูหัวใจหนักอึ้ง แต่ยังสงบสติอารมณ์แล้วถาม“ทำอะไรผิด?” เสียงของถงไทเฮาราวกับส่งมาจากขุมนรก พกพากลิ่นอายเย็นยะเยือกชุ่มชื้น “แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าเล่า?”จิ้นหรูหัวใจ