เสียงลมพัดผ่านแนวป่าทึบ แสงแดดยามบ่ายสาดลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นประกายสีทอง ทอแสงลงมายังทุ่งหญ้าที่เอนลู่ตามแรงลม ท่ามกลางเสียงนกร้องและเสียงแมลงขับขาน ความเงียบสงบของธรรมชาติถูกฉีกกระชากด้วยเสียงกระแทกที่ดังสนั่น
ตุม!! ร่างชายคนหนึ่งร่วงลงมากระแทกพื้นหญ้าอย่างแรง ฝุ่นฟุ้งขึ้นเล็กน้อยกลางลานโล่ง ที่มีเพียงต้นไม้เก่าแก่ สูงชะลูด เอเลียสรู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เปลือกตาของเขากะพริบถี่ สายตามืดมัวจากแรงกระแทก ทุกอย่างรอบตัวพร่ามัว เขาอ้าปากพยายามหายใจเข้า ก่อนจะกัดฟันยันตัวลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก ม่านตาสีม่วงคล้ำของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งรอบตัว "ที่นี่...ที่ไหน?!" ไม่ใช่ห้องทดลองของเขา ไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ไม่มีตึกสูงระฟ้า มีเพียงแนวป่าทึบและเสียงสัตว์ป่าที่ดังก้องในความเงียบ หัวใจเขาเต้นระรัว เอเลียสยกมือกุมศีรษะ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง "!!" เขาหันขวับ! ชายร่างสูงใหญ่ ผิวแทนเข้ม ปกคลุมร่างด้วยหนังสัตว์สีน้ำตาล รอยข่วนเต็มตัว จนถึงมุมปาก บนมือหนากำหอกไม้แหลมคมที่ดูเหมือนทำขึ้นเอง สายตาของชายแปลกหน้าจ้องเขาด้วยแววตาระแวดระวัง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ แล้วจ่อปลายหอกมาทางเอเลียส บรรยากาศตึงเครียด เอเลียสกลืนน้ำลายลงคอ มือทั้งสองยกขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีอาวุธ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ชายร่างใหญ่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วผิดคาด ราวกับนักล่า เขาตวัดแขนยกเอเลียสขึ้นพาดไหล่ได้อย่างง่ายดาย ร่างของเอเลียสกระแทกลงบนบ่าแข็งแรงของอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะรู้ตัว "เฮ้!!" เขาสบถออกมา ร่างกายลอยเคว้งคว้าง ชายป่าลึกลับวิ่งฝ่าพุ่มไม้ด้วยความเร็วราวกับกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง เสียงกิ่งไม้หักดังเปรี๊ยะๆ ทั่วบริเวณ ใบไม้หนาเฉียดแก้มของเขาหลายครั้ง เอเลียสต้องยกมือขึ้นบังหน้า อีกข้างหนึ่งเกาะไหล่ของชายป่าไว้แน่น ดวงตาของเขาเหลือบไปด้านหลัง—เงาสีดำไหววูบผ่านแนวต้นไม้ มีบางอย่างตามพวกเขามา และมันไล่ล่าพวกเขาอย่างรวดเร็ว! 'นั่นมันตัวอะไรกัน?' เสียงฝีเท้าหนัก ๆ กระทบลงบนพื้นป่าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ความเร็วของมันเหนือกว่าความเร็วของมนุษย์ทั่วไป ทันใดนั้น เงาขนาดใหญ่กระโจนออกมาจากพุ่มไม้ สัตว์สี่ขาขนสีน้ำตาลอมทอง รูปร่างคล้ายแมวส้มแถวบ้านที่เขาเคยเห็น—แต่ใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า! เคี้ยวยาวสีขาวโผล่พ้นออกจากปากของมัน ราวกับดาบยักษ์ ที่พร้อมฉีกกระชากเหยื่อให้กลายเป็นชิ้นๆ เสียงคำรามดังสะท้านไปทั้งผืนป่า "!!" เอเลียสเบิกตากว้าง เขาเห็นมันพุ่งเข้ามา เป้าหมายคือร่างของพวกเขาที่กำลังวิ่งหนีสุดชีวิต! หัวใจของเขากระหน่ำเต้นแรง 'ฉันกำลังจะตายแล้วหรอ?' เขากัดฟันแน่น ภาพของอดีตฉายวาบเข้ามาในหัว 'ยังไม่พร้อมเลย... มันต้องเจ็บมากแน่ ๆ ฉันยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำเลย ชื่อของฉัน... จะหายไปตลอดกาล ไม่มีใครจดจำ ไม่มีใครแม้แต่จะพูดถึงแบบนี้ ได้ยังไงกัน!' เสียงคำรามของสัตว์ยักษ์สี่ขาดังขึ้นอีกครั้ง มันกระโจนเข้าหาพวกเขา! เอเลียสบีบตาหลับแน่น เสียงหอกพุ่งแหวกอากาศ—ตามด้วยเสียงของสิ่งขนาดใหญ่กระแทกลงบนพื้นดังสนั่น ตุ๊บ!! เอเลียสลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพตรงหน้าคือร่างของสัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ที่นอนแน่นิ่งกับพื้น ลำตัวของมันถูกปักด้วยหอกไม้หลายเล่ม เลือดสีแดงเข้มไหลรินชโลมลงบนพื้นหญ้า ชายเจ้าของไหล่วางร่างของเขาลงกับพื้นเบาๆ เงาของชายร่างใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามารายล้อมเขา—แต่ละคนมีหอกอยู่ในมือ พวกเขาสวมหนังสัตว์แบบเดียวกัน ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงสายตาทั้งหลายที่กำลังจับจ้องเขาด้วยความหวาดระแวง ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าหนักอันแน่นดังขึ้น เหล่าเจ้าของสายตาต่างแหวกทางให้ชายอีกคนที่กำลังก้าวเข้ามา เอเลียสมองไปยังบุคคลที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ใคร ผิวแทนเข้ม ท่อนล่างสวมหนังสัตว์ขนหนา หน้าอกมีรอยแผลเป็นพาดยาว และสร้อยกระดูกขนาดยักษ์ห้อยอยู่ที่คอของเขา มือของเขาถือหอกยาว มีผมที่ยาว และยุ่งเหยิงราวกับไม่ได้รับการดูแลมานาน สายตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องเขาอย่างพินิจ แล้วเจ้าของร่างกำยำก็ก้มตัวลงมามองหน้าเขาใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ราวกับเป็นคำถาม "อุกะ?"ตึก ตึก ตึก.. เสียงฝีเท้าเบาๆ กระทบพื้นหินอ่อนของพิพิธภัณฑ์ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของผู้มาเยือนเบาบางแทบจะกลืนไปกับความเงียบสงัดในโถงจัดแสดงตอนบ่ายแก่ๆ แสงมีส้มลอดผ่านกระจกบางใส ที่ขึ้นไอเย็นเล็กน้อย ชายหนุ่มในโค้ทสีน้ำตาลยาวเลยเข่า ผมสีเหลืองอ่อนเล่นเงากับแสงไฟ เขายืนนิ่งอยู่หน้าตู้โชว์กระจกใส ตาในตาสีม่วงหมองแนบมองชิ้นงานภายในอย่างเงียบงัน — สร้อยคอจากกระดูกสัตว์โบราณ ที่ดูคุ้นตาเสียจนหัวใจเขาบีบรัด มันไม่ใช่แค่สิ่งของโบราณธรรมดา มันคือชิ้นส่วนของความทรงจำ ความรู้สึกที่เหมือนมัดแน่นไว้กับอดีต... เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านข้าง พร้อมชายผิวแทนเข้ม กับผ้าพันคอสีเทาอ่อนเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง "คุณมองดูมันเหมือนเป็นของสำคัญเลยนะ.." เอเลียสไม่ได้ตอบ เขาแค่หันศีรษะไปช้าๆ เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกัน ผมดำยุ่งเล็กน้อยอย่างคนไม่ชอบหวี ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงไฟในพิพิธภัณฑ์อย่างแผ่วเบา เขากำลังจ้องมองไปยังสร้อยเส้นนั้น ราวกับมีบ้างสิ่งบ้างอย่างในใจ "..ก็คงงั้น" เอ
เสียงปรบมือดังก้องทั่วทั้งหอประชุมขนาดมหึมาที่ประดับด้วยแสงสีและฉากหลังล้ำอนาคต ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีที่มีแสงสปอตไลต์สาดส่องลงมากลางจุดรับรางวัล พิธีกรหญิงในชุดสูทสะท้อนแสงสีเงินยืนอยู่ตรงกลางเวที ก่อนจะเอ่ยเสียงชัดเจนผ่านไมโครโฟน และมืออีกข้างที่ถือถ้วยรางวัลเป็นกระจกใสที่วาววับเหมือนเพรชถูกออกแบบมาอย่างประณีต "รางวัล The Multiversal Breakthrough Prize—รางวัลแห่งการปฏิวัติความเข้าใจเรื่องจักรวาลคู่ขนาน ผู้คิดค้นและวิจัย ผดร.เอเลียส โรห์น และทีมของเขา!" เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ผู้คนบางส่วนลุกขึ้นยืนแสดงความยินดี บางคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา จากมุมหนึ่งของเวที ชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท ก้าวออกมาจากแถวเก้าอี้ของคณะนักวิจัย ผมยาวสีทองอ่อนถูกรวบไว้หลวม ๆ ดวงตาสีม่วงเจือหมอกอ่อน ๆ ที่มองไกลดูเหมือนแสงสะท้อนของดวงดาว เขายิ้มจางๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเวทีด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ขอบคุณสำหรับรางวัลที่มีเกีตรตินี้.." เสียงของเขาดังผ่านไมโครโฟน น้ำเสียงนุ่
ครืนน.. ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่รุ่งสาง เมฆครึ้มหม่นคล้ายจะพยายามกลืนกลบแสงอาทิตย์ไว้ เอเลียสยืนอยู่หน้ากระท่อม ดวงตาไล่มองหมู่บ้านที่กำลังเคลื่อนไหว ผู้คนต่างโบกมือลา บ้างยิ้ม บ้างร้องไห้ ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวเก่าที่มีรอยฉีดขาด พร้อมรอยยิ้นและโบกมือเป็นการอำลา ก่อนจะหันไปมอง ชายสองคนที่กำลังรอเขาอยู่ พวกเขา โคร และผู้อาวุโส เริ่มต้นการเดินทางมุ่งไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเอเลียสเคยตกลงมาสู่โลกนี้ ที่ที่เขาจะใช้เพื่อกลับไปยังโลกเดิมของตน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาไม่ช้า จากเม็ดเล็กกลายเป็นสายฝนหนัก ลมแรงกระหน่ำราวกับพายุไล่หลัง ทุกย่างก้าวบนพื้นดินชุ่มแฉะกลายเป็นความหนืดรั้งเท้า แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครเอ่ยปาก ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงกลางเนินโล่ง ที่ซึ่งเคยเป็นป่ารกชัฏ บัดนี้ถูกเคลียร์ออกจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกลางธรรมชาติ เครื่องเปิดมิติขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนิน ล้อมรอบด้วยเสาร์โลหะสามต้นโค้งเข้าหาศูนย์กลาง ราวกับกรงโลหะที่ตั้งใจล้อมใครสักคนไว้จากโลกทั้งใบ สายล่อฟ้าถูกติดตั้งเชื่อมเข้ากับเสาร์ทั้งสา
เปลวไฟเต้นเร่าอยู่กลางลานหมู่บ้าน เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ สลับกับเสียงหัวเราะและจังหวะกลองที่ดังเป็นจังหวะเนิบช้า ผู้คนหมู่บ้านนั่งล้อมรอบกองไฟ บางคนลุกขึ้นเต้น บางคนสวมหน้ากากไม้ บางคนผลัดกันร้องเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ บรรยากาศเต็มไปด้วยแสง สี เสียง และรอยยิ้มแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ในหัวใจของบางคน... กลับเงียบงัน เอเลียสนั่งอยู่ข้างโครบนท่อนไม้ยาวที่ถูกจัดวางไว้รอบกองไฟ เขานิ่งมองเปลวไฟสลับกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ความอุ่นไอจากกองไฟไม่สามารถละลายความเย็นเยียบในอกเขาได้เลย เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังไกลออกไปอีกมุมหนึ่ง "เจ้ารู้จักได้ยัง" เอเลียสเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่มองอีกฝ่าย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา โครเลิกคิ้ว "เจ้าหมายถึง?" เอเลียสหันมามองโคร แววตาเปี่ยมด้วยความหมายที่แฝงไว้เบื้องลึก "คำว่า 'อรุณสวัสดิ์' ไง" โครหลุดหัวเราะพรืดออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินปนทะเล้น "อ๋อ... คำนั้นน่ะเหรอ" เขาหันหน้าไปอีกทาง พลางทำเสียง
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกยามเช้า ดังคลอเคล้ากับแสงสีทองบางเบาที่รินรดผ่านหน้าต่างไม้เก่า เสียงเท้าของผู้คนบางตาเริ่มดังแว่วอยู่ไกล ๆ ชวนให้อากาศในยามรุ่งสางดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด เอเลียสขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสแรกที่ตื่นขึ้นมาคือความเย็นว่างเปล่าบนแผ่นหลัง ไม่มีอ้อมแขน ไม่มีแรงกอด ไม่มีเสียงหายใจอุ่น ๆ ที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อคืนก่อน เขาลืมตาขึ้นทันที สายตามองไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว—แต่ตรงนั้นว่างเปล่า "…โคร?" เสียงของเขาเบากว่าลมหายใจ แต่ไม่มีคำตอบ ไม่มีเงาร่าง ไม่มีแม้แต่เสียงเดินอยู่ในกระท่อม ความรู้สึกใจที่หล่นวูบหนึ่งแล่นวาบไปทั้งอก เอเลียสลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูกระท่อมอย่างร้อนใจ เบื้องนอกกลับเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับความเงียบในใจเขาโดยสิ้นเชิง—ผู้คนในหมู่บ้านพากันทำงานอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกเหล็กกลมกลึงผ่านหน้าเขาไป มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังขัดเศษโลหะ อีกกลุ่มกำลังขุดดิน ปรับฐานโครงไม้ บางคนยกฟืน บางคนถือแผ่นแร่ แม้แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังลอยมาตามลม
ยามเช้าอันเงียบสงบในหมู่บ้านยังคงอบอวลไปด้วยหมอกจาง ๆ เมื่อเอเลียสเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสู่ถ้ำ เขาก้าวย่างด้วยความเร่งรีบแต่ระมัดระวัง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่สะท้อนกับผนังหินเย็นเฉียบภายในถ้ำ ผู้อาวุโสประจำอยู่หลังกรงไม้เช่นเคย แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวังเบื้องหน้าเครื่องตรวจจับการซ้อนทับของมิติ ซึ่งประกอบด้วยขดลวดทองแดงพันรอบโครงไม้ แขนกลทำจากเศษเหล็กกลั่นรูปทรงหยาบ และศูนย์กลางของเครื่องคือแท่นหินทรงกลมที่ฝังด้วย หินสีดำอมเทา สะท้อนประกายระยิบระยับแปลกตา"เจ้าเอามาหรือไม่?" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเขาเอเลียสหยิบถุงหนังสัตว์ขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเทสิ่งของในนั้นลงบนแผ่นหินที่อยู่ใกล้เครื่อง หินเม็ดเล็กขนาดนิ้วหัวแม่มือหล่นลงมาเรียงกัน มีลักษณะคล้ายถ่าน แต่ผิวสะท้อนแสงวาวๆ อย่างแปลกประหลาด"นี่คือแร่แมกนีไทต์ที่ท่านขอ" ผู้อาวุโสพยักหน้าเบาๆ ดวงตาลุกวาว "ยอดเยี่ยม สมกับเป็นเจ้า เอเลียส""แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะจ่ายพลังงานได้พอให้เครื่องทำงานหรือไม่…" เอเลียสพูดเบาๆ พลางจัด